นิทรรศการ “I think the old days are really gone ภาพวููบไหวในคำเล่าของเมืองเชียงใหม่”
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์
นักจัดแจงชีวิตใส่พิพิธภัณฑ์
PEOPLE OF THE MUSEUM
ภัณฑารักษ์
เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
แค่นิทรรศการเดียวจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ?
แต่หากมีโอกาสดูนิทรรศการดี ๆ สักครั้งอาจเปลี่ยนความคิด
บางเรื่องสนุกกับเนื้อหา ตื่นตาข้าวของประหนึ่งเดินทางสำรวจเรื่องราวทั่วโลก บางชิ้นเยียวยาจิตใจ ฉลาดในการนำเสนอแบบทิ้งให้ผู้ชมสงสัยเล่น บางประเด็นสามารถสะกดร่างกายเราให้นิ่งกับความเงียบเชียบขณะไล่สายตาผ่านสิ่งที่ปรากฏเพื่อซึมซับให้แผ่ซ่านเข้าความคิด
ชวนท่องโลกจัดแสดงไปกับ รศ. สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ นักมานุษยวิทยาผู้แสวงการเดินทางพอกับเสพงานศิลปะในหอศิลป์-พิพิธภัณฑ์
ไม่เพียงเปิดโลกทัศน์วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ความรัก กระทั่งความตายที่เต็มด้วยส่วนผสมศรัทธาของคนเป็น ยังได้รู้จัก “ภัณฑารักษ์” เพิ่มในฐานะผู้รังสรรค์ชีวิตชีวาให้นิทรรศการไม่จำเจ
การดูนิทรรศการครั้งต่อไปอาจให้ความรู้ (สึก) ที่ต่างจากเดิม
ประวัติศาสตร์ของจริง
ปลายปี ๒๕๖๓ ในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
เราออกเดินทางสู่โลกของสิ่งจัดแสดงกับผู้อำนวยการ “พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ” เพื่อท่องจังหวัดเชียงใหม่ พ้นประตูทางเข้ามีผ้าเหลือง-เครื่องหมายแห่งพุทธศาสนาผืนใหญ่กางล้อมทางลาดขึ้นชั้น ๒ ของพิพิธ-ภัณฑ์ที่อุปโลกน์เป็นกำแพงเมืองเก่า มองข้ามเรื่องที่ท่องเที่ยวคูล ๆ ศิลปวัฒนธรรม ชาติพันธุ์บนดอยสูง หรือทรัพยากรธรรมชาติอันงดงามก่อน อยากชวนสัมผัสอีกมุมซึ่งน่าตื่นเต้นกว่า
“ผมไม่มีบัตรหรอก แต่ผมมีร่างกายของผม”
ลายมือของชายชาวไทใหญ่ แรงงานข้ามชาติผู้มีอาชีพค้าบริการทางเพศ ปรากฏบนผ้าเหลือง
“สิ่งน่าสนใจคือเป็นการเล่าเรื่องเมืองเก่าที่ไม่ใช่แค่อธิบายถึงเมืองที่ฝันจะเป็นมรดกโลกว่าคืออะไร หรือจัดแสดงเฉพาะวัฒนธรรมดีงาม แต่ฉายภาพจริงของเชียงใหม่ที่ไม่ได้มีเพียงคนเมือง ยังมีหลากอาชีพโดยหลายชาติพันธุ์ที่ร่วมอาศัยในพื้นที่เดียวกัน ทั้งหมอนวด ขายบริการทางเพศ นิทรรศการนี้จึงมีถ้อยความต่าง ๆ สะท้อนว่าพวกเขาซึ่งถูกจัดอยู่ในมุมมืดของเมืองส่งเสียงถึงเชียงใหม่อย่างไร”
อาจารย์สุดแดนอธิบายภาพรวมของนิทรรศการชื่อยาว “I think the old days are really gone ภาพวูบไหวในคำเล่าของเมืองเชียงใหม่” ที่แตกยอดจากงานวิจัยเกี่ยวกับมรดกโลกเชียงใหม่ของ ผศ.ดร. เทียมสูรย์ สิริศรีศักดิ์ อาจารย์ร่วมคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ยังมีวิดีโอกึ่งสารคดีสั้น-ส่วนหนึ่งของสิ่งจัดแสดง ฉายถึงวิถีผู้คนในสังคมกลางคืนบนถนนยามราตรีเริ่มทวีความคึกคักเมื่อสมทบแสงสีตามไนต์คลับ หลายภาพวูบไหวของชายกำยำทั้งผู้ค้าและลูกค้าเพศเดียวกันสะกดให้ยืนดูและฟังสำเนียงแปร่งอยู่นานโดยยากจะห้ามสายตาไม่ให้เหล่ผ้าเหลืองที่ล้อมอยู่
อาจารย์-นักมานุษยวิทยาพาออกจากย่านบันเทิง ลอดซอยแคบที่คลุมผ้าดำจนมืดชวนจินตนาการว่าเป็นตรอกของคนทำงานให้บริการความสุข เราแลกเปลี่ยนกันว่าน่าจะดีถ้ามีแสงไฟกะพริบพรายอยู่ในห้องมืดนี้พร้อมโต๊ะวางเครื่องดื่มสักชุดเพื่อดึงดูดให้ยิ่งเข้าถึงบรรยากาศของนิทรรศการ
ภัณฑารักษ์หัวเราะ เพราะก่อนเดินมาตรงนี้เขาเพิ่งเล่าถึง “พิพิธภัณฑ์เกบร็องลี (Musée du quai Branly)” ที่กรุงปารีส สวรรค์ของผู้นิยมศิลปะแห่งชาติพันธุ์และเรื่องราวอารยธรรมโลก
“พิพิธภัณฑ์นั้นจัดตั้งขึ้นเพื่อแสดงสิ่งของชาติพันธุ์จากทั่วโลก แต่ภายในกลับนำเสนอราวกับพื้นที่ทางศิลปะ จัดแสงสีสวยงาม ฝ่ายนักมานุษยวิทยาวิจารณ์ว่าเป็นการมุ่งเน้นให้เสพความงามทางศิลปะมากกว่าความเข้าใจวัฒนธรรมในสังคมผ่านการจัดแสดงสิ่งของ ขณะเดียวกันก็มีผู้สนับสนุนว่าการนำเสนอในรูปแบบศิลปะเป็นเพียงวิธีดึงดูดความประทับใจผู้ชมอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังคงให้ข้อมูลอยู่ ซึ่งมีช่องทางแนะนำให้ผู้สนใจไปศึกษาเพิ่มเองได้ เราว่าประเด็นนี้น่าสนใจนะ เช่นเดียวกับในยุคแรกของการจัดตั้ง ‘พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์’ สิ่งของชาวชาติพันธุ์แทบไม่เห็น มีแต่งานศิลปะชั้นเลิศอย่างภาพเขียน โมนาลิซา หรือผลงานของ Louis David มายุคนี้ถึงมีห้องหนึ่งจัดแสดงสิ่งของชาติพันธุ์ เป็นเรื่องน่ายินดีว่าการที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แสดงประติมากรรมหินอ่อนผลงาน Michelangelo ร่วมกับงานแกะสลักไม้ของชนเผ่า ก็คือการยอมรับว่ามีคุณค่าเทียบเท่ากัน”
นิทรรศการ “เจ้าชายน้อย : หนังสือ ของสะสม และการสนทนาข้ามวัฒนธรรม”
ออกจากตรอกกลางคืนย่านกำแพงเมืองเก่า อาจารย์สุดแดนพาเยี่ยมวิถีชาวคุก
“มีชาวไทใหญ่จำนวนไม่น้อยถูกตัดสินความผิดในหลายคดีที่สะท้อนปัญหาและการแก้ปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญอันเนื่องจากเข้ามาทำงานในเมืองเชียงใหม่”
อย่างที่ต่างรู้ นับแต่แบ่งเขตประเทศ ชนกลุ่มน้อยจากเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา ลาว เวียดนามตอนเหนือ จีนตอนใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย อพยพมาไทยจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือชาวไทใหญ่-รัฐฉานที่แยกย้ายหางานทั่วภาคเหนือ บ้างได้บัตรผู้พลัดถิ่น บัตรประชาชนชาวเขา บัตรประชาชนปลอม ฯลฯ ซึ่งแสดงสิทธิแตกต่างในสังคมไทย ชาวพลัดถิ่นจึงพยายามแสวงหาโอกาสในเชียงใหม่
“พวกนี้เป็นจดหมายจริงที่เขียนโดยผู้ต้องขังในเรือนจำ บางคนเขียนไปขอเพลงกับดีเจที่สถานีวิทยุ”
ภัณฑารักษ์ชี้ชวนดูกระดาษที่วางใต้แผ่นกระจกตื่นตาพอควรสำหรับเราซึ่งเป็นคนต่างถิ่น แต่คงไม่แปลกสำหรับคนพื้นที่ รู้กันว่ามีสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ ภาคภาษาชนเผ่า ที่ให้บริการถึงเจ็ดภาษา นักจัดรายการวิทยุชื่อดังที่เป็นชาวไทใหญ่ก็มี แม้แต่คอนเสิร์ตเพลงไทใหญ่ก็เคยจัดในสวนสัตว์เชียงใหม่ แต่จดหมายขอเพลงฉบับจริงด้วยลายมือผู้ต้องขังคงหาดูไม่ง่าย
ในแง่ประวัติศาสตร์หลักฐานน้อยใหญ่ล้วนทำหน้าที่ยืนยันความเป็นไปของยุคสมัย
สำหรับพิพิธภัณฑ์ถือเป็นสิ่งจัดแสดงที่มีชีวิต มีลมหายใจ มีกลิ่นสถานที่จดปากกา
“แต่ไหนแต่ไรเราต่างยอมรับว่าหัวใจของพิพิธภัณฑ์ต้องมี ‘วัตถุจัดแสดง’ ของจริงเพื่อประโยชน์ในการศึกษา แต่เดี๋ยวนี้พิพิธภัณฑ์บางแห่งก็จัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ โดยไม่มี ‘ของจริง’ หรือมีน้อย แต่อาศัยการสื่อสมัยใหม่ที่อาจดูหวือหวากว่า เช่น ภาพยนตร์ สื่อเคลื่อนไหว หรืองานสร้างสรรค์ ในระยะหลังจึงมีการถกเถียงว่า ความเป็นพิพิธภัณฑ์ต้องมีสิ่งของจัดแสดงมากน้อยแค่ไหน มีแต่ของจำลองหรือใช้เทคโนโลยีทำเป็นภาพ ๓-๔ มิติพอไหม ถ้าเช่นนั้นสถานที่อาจเป็นเพียงแหล่งให้ประสบการณ์ใหม่แต่ไม่ได้มีของจริง แล้วหน้าที่ของวัตถุกับพิพิธภัณฑ์ยังจะมีความเชื่อมโยงกันหรือ”
เช่นเดียวกับการได้มารู้เห็นเชียงใหม่ในอีกมิติวันนี้ก็ตื่นใจระดับหนึ่ง แต่อาจสัมผัสไม่ถึงความเป็นเมืองเชียงใหม่นัก ต่อเมื่อเห็นจดหมายของจริงหลายฉบับจากลายมือผู้ต้องขังนั่นละ
“ภาพวูบไหวในคำเล่าของเมืองเชียงใหม่” จึงสมบูรณ์และมีชีวิตชีวา
“ความเป็นพิพิธภัณฑ์ต้องมีสิ่งของจัดแสดง มากน้อยแค่ไหน มีแต่ของจำลองหรือใช้เทคโนโลยีทำเป็นภาพ ๓-๔ มิติพอไหม ถ้าเช่นนั้น สถานที่อาจเป็นเพียงแหล่งให้ประสบการณ์ใหม่แต่ไม่ได้มีของจริง แล้วหน้าที่ของวัตถุกับพิพิธภัณฑ์ยังจะมีความเชื่อมโยงกันหรือ”
ข้าวของบอกเล่าวิถีมนุษย์
ชั้น ๒ ของพิพิธภัณฑ์เป็น “นิทรรศการถาวร” ที่มาเมื่อไรย่อมได้เห็น
ว่าด้วยเรื่อง “สิ่งของกับผู้คน” แสดงศิลปวัตถุกว่าครึ่งหมื่นชิ้นซึ่งสะสมมานานกว่า ๔๐ ปี เกือบครึ่งได้รับบริจาคจาก ดร. วินิจ วินิจฉัยภาค ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย และคุณหญิงพรรณี วินิจฉัยภาค
“ปัจจุบันมีการเรียกร้องว่าพิพิธภัณฑ์น่าจะทำอะไร ได้มากกว่าให้ความรู้ เช่น จัดแสดงเนื้อหาที่ให้สังคมได้ถกเถียง-แลกเปลี่ยนบ้าง... แต่ก็มีความเห็นแตกเป็นสองฝ่ายว่าจะดีหรือหากพิพิธภัณฑ์มีบทบาทแบบนั้น”
พรมแดนเป็นเพียงเส้นสมมุติ กว่า ๒ ศตวรรษมาแล้วที่บรรพบุรุษไทย-กะเหรี่ยงใช้มหานทีสีน้ำตาลเป็นทางสัญจรไปมาหาสู่และค้าขาย
“คุณค่าสิ่งของคือช่วยให้เราเข้าใจมนุษย์ สิ่งสะสมที่รับบริจาคอันหลากหลายจึงมีความหมายเมื่อผ่านสายตาของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ซึ่งมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับสังคมวิทยาพิพิธภัณฑ์ โบราณคดี พิพิธภัณฑ์และมรดกวัฒนธรรม ที่นี่จึงเป็นทั้งที่จัดแสดงและใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในตัว”
อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาชวนชมสิ่งละอันพันละน้อยตามกำแพงทางลาดที่ใช้กั้นกำหนดเขตสู่อีกบริเวณและเป็นตู้จัดแสดงในตัว หลังกระจกกั้นมีทั้งภาชนะดินเผาเครื่องเบญจรงค์ เครื่องจักสาน เครื่องสำริด เครื่องประดับเครื่องรางของขลัง ฯลฯ อายุนับพันปีไล่มาถึงของที่ทันเห็นในช่วง ๕๐ ปี
เราสนใจขวดแก้วจิ๋วบรรจุตุ๊กตาแกะสลักจากไม้-ความจริงคือรากของ “ต้นรัก” และ “ต้นมะยม” อุปโลกน์เป็นตุ๊กตาเด็กผมจุก นุ่งโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ แล้วเรียก “รัก-ยม”
ต้องไม่ลืมว่านี่คือของจริงจากเจ้าของเดิมซึ่งคงไม่ได้ตั้งโชว์เป็นตุ๊กตาเฉย ๆ นึกถึงครอบครัวตัวเองสัก ๓๐ ปีก่อน พ่อนำเข้าบ้านมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “สมาชิกใหม่ของครอบครัว” เวลากินข้าวก็เรียก ไปเที่ยวก็ชวน เซ่นไหว้อาหาร ของเล่น เครื่องนอนเหมือนของมนุษย์ย่อส่วน ด้วยเชื่อว่าผ่านพิธีปลุกเสกแล้ว เด็กสองตนที่แช่อยู่ในน้ำมันจันทน์ขวดจิ๋วจะช่วยให้ธุรกิจค้าขายของพ่อรุ่งเรือง เป็นหูเป็นตาดูแลคนในบ้าน
ไม่มีใครเคยเห็นวิญญาณเด็กสองตน แต่แปลกที่มักแว่วเสียงหัวเราะ-วิ่งเล่นในบ้านเสมอ
“สมเด็จพระเทพฯ เคยเสด็จฯ ตอนเปิดพิพิธภัณฑ์นี้แล้วรับสั่งว่าต้องมีของกินให้เขาด้วย”
จากที่รู้สึกเฉย ๆ สิ้นเสียงเรื่องเล่าจากภัณฑารักษ์เลยเกิดอาการขนลุกเล็ก ๆ นึกตามว่าถ้านำขนมหรือน้ำหวานเสียบหลอดตั้งไว้หน้าตู้จัดแสดงจริงและมีเจ้าหน้าที่คอยเปลี่ยนให้ทุกวันคงพิลึก
“เคยมีเพื่อนเล่าถึงนิทรรศการที่เมืองเบอร์ลินว่าจัดแสดงวัตถุในวัฒนธรรมอิสลาม ครั้งหนึ่งมีผู้ชมชาวมุสลิมเข้าไปทำพิธีสวด นับเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมาก ปรกติวัตถุที่จัดแสดงก็เพื่อการมองดู แต่เมื่อมีศาสนิกบางคนนั่งลงเบื้องหน้าและสวดทำพิธี ทำให้พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์เปลี่ยนความหมายไปจากเดิม คนที่ยึดติดหลักการพิพิธภัณฑ์ก็มองว่าไม่เหมาะ เพราะพิพิธภัณฑ์ควรอยู่ในโลกฆราวาสทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ความรู้ หากให้ประกอบพิธีกรรมจะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ภัณฑารักษ์ที่นั่นก็เปิดโอกาส จริงอยู่บางพิพิธภัณฑ์อาจมีเสียงในพิธีกรรมเปิดให้ได้ยินเพื่อสร้างบรรยากาศขรึมขลัง ทว่าเสียงจากลำโพงก็เป็นเพียงเครื่องประดับของการจัดแสดง แต่นี่คือเสียงสวดจริงทำให้วัตถุนั้นมีพลังจากศรัทธา หรืออย่างพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่กรุงเดลีในอินเดียซึ่งจัดแสดงพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จากเคยให้แต่ความรู้ว่าเป็นกระดูกที่พบในโบราณสถาน ต่อมามีคนเข้าไปกราบ สวดมนต์ ภัณฑารักษ์ก็อนุญาต พิพิธภัณฑ์นั้นจึงเสมือนพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่มีชีวิต”
ข้อดีหนึ่งของศิลปะคือทำให้มนุษย์เห็นความงามและเคารพในสิ่งอื่น พอหัวใจละเอียดอ่อนก็ช่วยให้ใช้ปัญญามากกว่ารสนิยมตัดสิน มองเห็นคุณค่าจริงที่อยู่ในสิ่งนั้น
“มีเหมือนกันที่บางพิพิธภัณฑ์นำสิ่งศรัทธาทางศาสนามาจัดแสดง แล้วเกิดข้อเรียกร้องว่าควรออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย ของบางสิ่งไม่เหมาะสำหรับให้ทุกคนชม หรือวัตถุบางอย่างก็มีคุณค่าขนาดว่าควรสงวนสิทธิ์ให้ชมได้เฉพาะชาวชาติพันธุ์นั้น ๆ พิพิธภัณฑ์จึงต้องปรับตัวเข้าหาสังคมมากขึ้น”
ในแง่ของการจัดแสดงสิ่งต่าง ๆ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ภัณฑารักษ์ยิ่งต้องคิดให้รอบด้าน
“สมัยก่อนพิพิธภัณฑ์นำศพคนมาแสดงเป็นกรณีศึกษาได้ แต่ปัจจุบันถือเป็นเรื่องละเมิดสิทธิ เห็นได้จากประเด็นซีอุยที่เคยอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของโรงพยาบาลศิริราช ต่างประเทศก็เจอปัญหานี้ มีชาวอินเดียนแดงเรียกร้อง ขอคืนร่างนักรบเพื่อประกอบพิธีกรรมให้ถูกต้อง ทางพิพิธภัณฑ์จึงประนีประนอมให้ชนเผ่าเข้าไปประกอบพิธีแก่ซากศพที่พวกเขาเคารพปีละครั้ง”
แม้จะมีข้อควรระวังมากมาย แต่ในแง่ดีก็ช่วยเปิดโอกาสให้มีพื้นที่สนทนา
“ปัจจุบันมีการเรียกร้องว่าพิพิธภัณฑ์น่าจะทำอะไรได้มากกว่าให้ความรู้ เช่น จัดแสดงเนื้อหาที่ให้สังคมได้ถกเถียง-แลกเปลี่ยนบ้าง อย่างเรื่องเพศ การเหยียดสีผิว ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เลิกทาส แต่ก็มีความเห็นแตกเป็นสองฝ่ายว่าจะดีหรือหากพิพิธภัณฑ์มีบทบาทแบบนั้น”
เพราะอาจกลายเป็นพื้นที่สร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจ
“อีกครั้งตอนที่นี่จัดนิทรรศการ ‘เจ้าชายน้อย’ มีเจ้าชายน้อยยืนดูเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นภาพชายใช้เก้าอี้พับตีศพนิรนามที่ถูกแขวนคอ ก็มีผู้ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมว่าตอกย้ำความรุนแรงไหม หรือละเมิดสิทธิผู้ตายหรือเปล่า กรณีนี้เราอธิบายว่าการนำภาพจำนี้ของสังคมมาใช้มีเป้าหมายเพื่อสะท้อนความรุนแรงของเหตุการณ์วันนั้น มันขึ้นอยู่กับเจตนาของการจัดแสดง จากเดิมอาจมองว่านิทรรศการคือศิลปะ เสนอความรู้ สื่อความสำคัญ แสดงความงาม แต่ปัจจุบันไม่พอแล้ว ต้องให้ความเคารพด้วย”
เขาว่า แรกคิดทำนิทรรศการ “เจ้าชายน้อย : หนังสือ ของสะสม และการสนทนาข้ามวัฒนธรรม” ก็มีฉากนี้อยู่ในใจ ว่าถ้าเจ้าชายน้อยเดินทางมาถึงสนามหลวงในช่วงสายของวันนั้นตามคำแนะนำของนักภูมิศาสตร์แห่งดวงดาวหมายเลข ๓๓๐ “ภาพนี้” อาจคือสิ่งที่เจ้าชายน้อยจะได้พบ
“หากใช้สายตาพิพากษาคงอดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิคนที่ยืนนิ่งมองดูคนทำร้ายศพ แต่ถ้านึกถึงคำพูดของสุนัขจิ้งจอกที่บอกความลับแก่เจ้าชายน้อยว่า ‘สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา เราจะเห็นได้ก็ด้วยหัวใจเท่านั้น’ อาจต้องหยุดคิดและตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนเหล่านี้ สิ่งใดทำให้เขาเป็นเช่นนั้น”
อันที่จริงจะเรื่องรัก-ยม วัตถุสัญลักษณ์ของอิสลาม พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ศพซีอุย ร่างนักรบอินเดียนแดง หรือภาพศพนิรนามที่ถูกแขวนคอ มองให้ดีก็เป็นเรื่องเดียวกัน
ดูของเพื่อเข้าใจคน…
“พิพิธภัณฑกร” ผู้จัดแจงชีวิต
ใส่พิพิธภัณฑ์
ขยับเป้ให้กระชับบ่าอีกครั้ง ผู้อำนวยการกำลังนำทางกลับ “ทุ่งรังสิต”
เวลานั้นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวของท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นแอ่งรับน้ำหลากจากภาคเหนือเมื่อฤดูฝนมาเยือน และเป็นที่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ตั้งแต่หนู นก งู สัตว์เลื้อยคลานอย่างเหี้ย ไปจนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างกวาง ละมั่ง สมัน และช้าง น่าสนใจ “สมัน” สัตว์สูญพันธุ์แล้ว เคยมีชุกตามทุ่งหญ้าภาคกลางย่านบางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รวมถึงทุ่งรังสิต กระทั่งยุคที่ “นาข้าว” มาแทนที่ทุ่งธรรมชาติ สมันจึงหายจากพื้นที่ มีผู้บันทึกว่า “สมันตัวสุดท้ายของไทย” เป็นตัวผู้ อาศัยอยู่วัดหนึ่งในย่านมหาชัย ได้รับการเลี้ยงโดยสมภาร เมื่อทางราชการได้ข่าวก็ติดต่อขอซื้อ แต่ช้าไปวันเดียวสมันตัวนั้นถูกตีตายด้วยเหตุผล “มันขวางทาง” ปิดตำนานกวางที่มีเขาสวยที่สุดในโลกลงอย่างถาวรเมื่อปี ๒๔๘๑ ปัจจุบันตัวอย่างสมบูรณ์ของซากสมันจริงสตัฟฟ์ไว้ให้ชมเพียงแห่งเดียวที่ “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ (Muséum national d’histoire naturelle)” ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ถึงอย่างนั้นเรื่องสมันก็น่าศึกษาในฐานะสิ่งสะท้อนความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทุ่งรังสิตก่อนเป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญของประเทศ กระทั่งเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเฟื่องฟูก็พัฒนาเป็นย่าน “อุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศ” เกิดอาชีพ “สาวโรงงาน” มีวิถีอยู่บนพื้นที่เดียวกับ “นักศึกษา” ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ยุคบุกเบิก เครื่องแบบหนึ่งทำงานเป็นเวลา อีกเครื่องแบบร่ำเรียนวิชาเพื่อเป็นบัณฑิต
เมื่อไม่ใช่แค่มนุษย์ที่มีอัตชีวประวัติ สถานที่แต่ละแห่งก็มีชีวประวัติของตน
อุรฉัตร อุมาร์, เหมือนพิมพ์ สุวรรณกาศ และ เดชาภิวัชร์ นพมิตร คณะภัณฑารักษ์แห่งทุ่งรังสิตจึงจัดนิทรรศการหมุนเวียน “จากสมัน นาข้าว สาวโรงงาน ถึงนักศึกษา และเหี้ย” โดยจำลองบางส่วนของ “ทุ่งรังสิต” มาเล่าความสัมพันธ์ผ่านการเชื่อมโยงเรื่องราวกับวัตถุทางวัฒนธรรม
สิ่งจัดแสดงไม่เพียงให้ความรู้ ยังแฝงอารมณ์ขันและความสนุกไว้กับตุ๊กตา “เหี้ย” ตัวโต นอนสงบอยู่กลางห้องขนาด ๑๐ x ๑๐ เมตร ที่สมมุติเป็นส่วนหนึ่งของท้องทุ่งให้อุ้มขึ้นกอดหรือนอนหมอบคลานเป็นเพื่อนเหี้ยถ่ายรูปเล่นได้ บนป้ายนิทรรศการมีเกร็ดคำเรียกขานเหี้ยด้วยชื่อต่าง ๆ เช่น คิตตี้ บุ๋ย ตุ๊ดตู่ กุ๊งกิ๊ง จุ๊บแจง ฯลฯ พร้อมเรื่องน่ารักน่าชังของฝูงเหี้ยกับชาวธรรมศาสตร์
“พิพิธภัณฑ์ของเราที่มีของในคลังมากมาย การจะทำให้ข้าวของเหล่านั้นนำไปสู่ความเข้าใจในมนุษย์ก็ต้องคิดว่าจะนำสิ่งใดมาใช้บ้าง เพื่อเสนอเรื่องอะไร จะเล่าแบบไหนจึงจะสื่อความถึงผู้ชมได้มากสุด ก็เป็นหน้าที่ของพิพิธภัณฑกรนั่นละ”
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
นึกชื่นชมคนเบื้องหลัง ด้วยรู้ว่านิทรรศการสวย ๆ สักเรื่องไม่เพียงต้องใส่ใจบรรยากาศการเดินชมที่ควรต้องมีชีวิต และถ่ายทอดให้ใกล้เคียงประสบการณ์ของผู้เคยเห็นมากที่สุด ยังหมายรวมถึงป้ายความรู้ที่ต้องจัดวางตัวหนังสือ รูปภาพ สเปซ อย่างพอเหมาะ ภาพประกอบที่เลือกมาจัดวางก็ต้องดึงดูดสายตาเป็นระยะ เพราะเลย์เอาต์ที่ดีจะช่วยเสริมให้เนื้อหายิ่งทรงพลัง
สมัยก่อนแทบจะไม่มีใครคิดว่านั่นคือบทบาทของภัณฑารักษ์
ย้อนความกันหยาบ ๆ ตามพจนานุกรม “ภัณฑารักษ์” คือผู้ดูแลสถานที่และสิ่งจัดแสดง
มาจากศัพท์สันสกฤต “ภาณฺฑารกฺษ (ภาณฺฑ + อารกฺษ)” คนไทยจึงเหมาความว่าคงเป็นงานด้าน “อนุรักษ์” โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑ์ ทำหน้าที่เบื้องหลัง จัดทำทะเบียนหมวดหมู่สิ่งของ ฯลฯ
ภาษาอังกฤษเรียกตำแหน่งที่รับผิดชอบสูงทั้งแง่บริหารและปฏิบัติการนี้ว่า “คิวเรเตอร์ (curator)” ยืมจากคำละติน “cura” หมายถึง “การดูแล” อดีตใช้กับผู้รักษาวัตถุทางวัฒนธรรมของหอศิลป์-พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ แต่ปัจจุบันมีบทบาทด้านจัดงานนิทรรศการรวมถึงคัดสรรงานของศิลปินใด ๆ มาจัดแสดงก็ล้วนผ่านวิสัยทัศน์ของคิวเรเตอร์ กลายเป็นตำแหน่งสำคัญและมีงานชุกในระดับนานาชาติ
“สำหรับพิพิธภัณฑ์ที่นี่เราอยากเรียกใหม่ว่า ‘พิพิธภัณฑกร’ มากกว่า”
แรกฟังการออกเสียง “พิ-พิด-ทะ-พัน-ทะ-กอน” ถึงกับอุทาน “ฮะ ?”
“มาจาก ‘พิพิธ + ภัณฑ์ + กร’ เพื่อสื่อถึง ‘มือของผู้จัดแจง จัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์’ ซึ่งน่าจะตรงกับบทบาทที่แท้จริงมากกว่า อย่างพิพิธภัณฑ์ของเราที่มีของในคลังมากมาย การจะทำให้ข้าวของเหล่านั้นนำไปสู่ความเข้าใจในมนุษย์ก็ต้องคิดว่าจะนำสิ่งใดมาใช้บ้างเพื่อเสนอเรื่องอะไร จะเล่าแบบไหนจึงจะสื่อความถึงผู้ชมได้มากสุด ก็เป็นหน้าที่ของพิพิธภัณฑกรนั่นละ วัตถุแต่ละชิ้นเล่าเรื่องได้ไม่รู้จบ นำมาหมุนเวียนจัดนิทรรศการได้หลายเนื้อหา กระดูกชิ้นเดิมครั้งหนึ่งเคยเล่าเรื่องความเป็นมนุษย์ ครั้งต่อไปอาจเล่าเรื่องเพศ ชนชั้น หรืออื่น ๆ อีกมาก ขึ้นอยู่กับเราจะมองในประเด็นไหน”
รองศาสตราจารย์เจ้าของพื้นที่เล่าความตั้งใจในการออกแบบพิพิธภัณฑ์
“แต่ละปีจะมีนิทรรศการหมุนเวียนอย่างน้อยสองเรื่อง คำนึงถึงประโยชน์การศึกษาเป็นหลักเพื่อให้นักศึกษาจากหลายคณะเวียนมาเยี่ยมชมแบบมีส่วนร่วม เช่น อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ที่สอนสิ่งแวดล้อมรู้ว่าพิพิธภัณฑ์กำลังจัดแสดงเกี่ยวกับทุ่งรังสิตซึ่งเกี่ยวพันกับในสาขาวิชาก็ให้นักศึกษามาดู หรือออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนก็ให้นักศึกษามาชมเพื่อทำรายงาน หรือนิทรรศการเจ้าชายน้อยก็มีอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาภาษาฝรั่งเศส จัดการเรียนให้นักศึกษามาเล่นละครสั้น ๆ เช่นเดียวกับในรายวิชา ‘Voice Training’ ของคณะศิลปกรรมก็มาเรียนกันที่นี่”
เขาว่าในอนาคตอาจผลักดันนิทรรศการหมุนเวียนเรื่องทุ่งรังสิตขึ้นเป็นนิทรรศการถาวร
“เพราะพื้นที่นี้มีความสำคัญกับประเทศหลายด้าน ทั้งทรัพยากรธรรมชาติไปจนเศรษฐกิจ และอย่างน้อยสุดนักศึกษาที่เพิ่งเรียนปี ๑ จะได้รู้จักและเข้าใจพื้นที่อยู่อาศัยของตนเอง มากกว่านั้นคืออยากเห็นพิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของทุ่งรังสิต ให้ภาพจำของย่านนี้มีมากกว่ามหาวิทยาลัยหรือหอพักนักศึกษา แต่เนื่องจากชาวชุมชนละแวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษานับหมื่นคน วันว่างถ้าพวกเขาไม่อยากเข้าห้องสมุดหรือโรงละครก็อาจมาพิพิธภัณฑ์บ้าง คนที่อยู่ในย่านนี้ก็มาเที่ยวได้”
ยังมีอีกหลายประเด็นสนุกที่น่าใช้เวลาละเลียด นอกจากอิ่มสมองกับเกร็ดของทุ่งรังสิตยังมีโอกาสย้อนความทรงจำที่แฝงอยู่กับสรรพสิ่งจัดแสดง ซึ่งบางอย่างอาจถูกหลงลืมให้ฟื้นคืนมีชีวิตอีกครั้ง
“โดยปรกติที่นี่เปิดโอกาสให้เดินชมตามอัธยาศัยแต่หากต้องการให้พิพิธภัณฑกรนำชมทุกคนก็ยินดี ผู้ชมจะเที่ยวสนุกขึ้น อาจได้ข้อมูลเพิ่มในส่วนที่ป้ายนิทรรศการเล่าไม่หมด หรือพิพิธภัณฑกรบางคนก็อาจเล่าไปไกลกว่าเรื่องที่อยู่ในนิทรรศการด้วย”
กลับจากการเดินทางท่องโลกนิทรรศการ ไม่ช้าจะมีเรื่องอื่นแทนที่ เชื้อเชิญให้ผู้คนหวนมาเยือนอีก เพื่อเสพความรู้ ดูงานศิลปะ และซึมซับความคิดสร้างสรรค์ของเหล่านักจัดแจงชีวิตใส่พิพิธภัณฑ์
ขณะที่พวกเขาคิดวิธีจัดแจงนิทรรศการ
พิพิธภัณฑ์ก็จัดแสดงวิธีคิดของพวกเขา