Image

ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา

แปลน โมทิฟ 
การออกแบบ
ที่ยังให้เกิดปัญญา
DESIGN TO THE WISDOM

PEOPLE OF THE MUSEUM
นักออกแบบ

เรื่อง : ธัชชัย วงศ์กิจรุ่งเรือง
ภาพ : แปลน โมทิฟ

ชีวิตชุมชนริมน้ำ อยุธยา มรดกไทย มรดกโลก, ข้าว วัฒนธรรมแห่งชีวิต, เรือ วัฒนธรรมชาวน้ำ ลุ่มเจ้าพระยา, เที่ยวสวนโมกข์ให้ถึงธรรม ฯลฯ และ
หนังสืออีกหลายเล่ม เป็นผลงานหนังสือที่แปลนโมทิฟจัดทำขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นก่อนจะพัฒนามาสู่งานออกแบบ จัดสร้าง และบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งก็มีพื้นฐานมาจากความรู้และความสนใจในเรื่องราวของสังคมที่หลากหลาย
เพื่อนำมาถ่ายทอด เพียงแต่เปลี่ยนจากงานหนังสือมาสู่งานในอีกรูปแบบหนึ่ง  

แปลน โมทิฟ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๔ ในฐานะบริษัทลำดับที่ ๑๓ ของกลุ่มบริษัทแปลน ซึ่งมีพื้นฐานมาจากกลุ่มสถาปนิกและงานออกแบบ โดยมีแนวคิด “ชีวิต งาน สังคม อุดมคติ” เป็นสิ่งยึดมั่นร่วมกันในการเป็นองค์กรธุรกิจที่สร้างสรรค์ มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพในการประกอบการ ให้ความสำคัญกับคน ให้โอกาส และพร้อมจะขยายศักยภาพ มีส่วนร่วมจรรโลงสังคม

สัญใจ พูลทรัพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แปลน โมทิฟ จำกัด ซึ่งได้รับโอกาสจากรุ่นพี่กลุ่มบริษัทแปลน และมองเห็นศักยภาพ จึงเกิดแปลนโมทิฟขึ้นมาด้วยเจตนาสานต่อวัฒนธรรมของกลุ่มบริษัทแปลน

“เราต้องทำเรื่องที่ดี ต้องไม่ทำให้สังคมผิดเพี้ยน…เรายึดหลักการนี้มาตลอด  ส่วนตัวเป็นคนรักหนังสือ ตอนเปิดแปลน โมทิฟใหม่ ๆ จึงเริ่มต้นที่ทำหนังสือ ซึ่งได้รับประสบการณ์ทั้งการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก การเดินทางสำรวจ และการทำงานกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ก่อนจะถ่ายทอดความรู้ผ่านงานออกแบบเป็นภาพและตัวอักษรในหนังสือแต่ละเล่ม ซึ่งเหนื่อยแต่สนุกมาก…” 

ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” งานหนังสือและสิ่งพิมพ์ได้รับผลกระทบมาก แต่กลับมีงานด้านนิทรรศการและกิจกรรม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำงานด้านนี้ ทั้งงานนิทรรศการที่ศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์อยุธยา ศาลากลางหลังเดิม งานนิทรรศการและกิจรรม “สนามหลวงของชาวบ้าน” ที่จัดขึ้นในงานแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ ๑๓ เมื่อปี ๒๕๔๑ 

“แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำงานหนังสือ เราก็ทำตลอด เพราะรักงานหนังสือ”

Image

จากซ้ายไปขวา : สัญใจ พูลทรัพย์
รวิอร ชิ้ววงษ์ และ ณชมน พูลทรัพย์
ทีมงานของแปลน โมทิฟ

ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช

พิพิธภัณฑ์ควรจะ “สร้าง” 
มากกว่า “รับ”

สัญใจให้ความเห็นจากประสบการณ์ว่า ช่วงแรกของงานพิพิธภัณฑ์จะเป็นการเปลี่ยนข้อมูลเนื้อหาให้เป็นสื่อที่ผู้ชมเข้าใจง่าย โดยใช้วัตถุจัดแสดง บอร์ดกราฟิก วีดิทัศน์ฉายผ่านจอโทรทัศน์และโปรเจกเตอร์ ต่อมาเริ่มใช้สื่อมัลติมีเดีย แปลงข้อมูลเนื้อหาเป็นเกม กิจกรรม interactive ฯลฯ  ปัจจุบันเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญ งานแสง สี เสียง การสร้างประสบการณ์เสมือนจริง (immersive) ฯลฯ เชื่อมโยงกันทั้งระบบ

สำหรับงานของแปลน โมทิฟ อย่างที่ศูนย์การเรียนรู้กฟผ. ลำตะคอง (EGAT Learning Center, Lum Takong) จังหวัดนครราชสีมา (ปี ๒๕๖๒) โจทย์คือ เป็นพื้นที่เรียนรู้เรื่องพลังงานรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะพลังงานลมและพลังไฮโดรเจนที่ กฟผ. ดำเนินการอยู่ในพื้นที่ 

“ตัวอาคารได้ออกแบบไว้แล้ว เราเสนอให้ปรับผนังด้านหน้าอาคาร (facade) ให้สื่อเรื่องพลังงาน โดยทำเป็นแผงกังหันแนวตั้งขนาดเล็กเต็มพื้นที่ เวลาลมพัดก็จะเคลื่อนไหวสะท้อนแสงระยิบระยับ เราคิดไปถึงว่าถ้าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เลยก็น่าจะดี”

ที่นี่ใช้เทคโนโลยีสื่อมัลติมีเดียหลากหลายรูปแบบ ทั้งโรงภาพยนตร์ ๗ มิติ ห้อง immersive เกม interactive ฯลฯ
เพื่อเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน ถึงแม้ศูนย์การเรียนรู้ฯ จะไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่เมือง แต่ก็มีผู้เข้าชมปีละกว่า ๑ แสนคน ซึ่งมาจากทั้งกลุ่มนักเรียน ครอบครัว นักท่องเที่ยว หน่วยงานและองค์กร

“มีกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนที่สิงคโปร์มาศึกษาดูงานที่นี่ด้วย เหตุผลเพราะสิงคโปร์ไม่มีพื้นที่เรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานไฮโดรเจน เขาต้องการให้เด็กเรียนรู้พลังงานที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในเมืองเขาในอนาคต”

ด้วยพื้นที่ตั้งอยู่ในชุมชน แปลน โมทิฟให้ความสำคัญกับการนำเอกลักษณ์และเสน่ห์ของท้องถิ่นมาจัดแสดงในส่วน “ม่วนซื่นลำตะคอง” ถ่ายทอดเรื่องราววัฒนธรรมท้องถิ่นและบรรยากาศของชุมชนลำตะคอง  ขณะที่ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ผาบ่อง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็มีพื้นที่นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่นอย่างชาวไทใหญ่

“เสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์ไม่ควรลืมท้องถิ่นหรือชุมชนโดยรอบ ไม่ได้คิดเพียงว่านำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนความคิด เทคโนโลยีเป็นเพียงสิ่งดึงดูดเข้าไปหาความรู้ แต่ต้องดูว่าทรัพยากรท้องถิ่นมีอะไร และอะไรจะเป็นต้นทางให้เขา พิพิธภัณฑ์ที่ดีควร ‘สร้าง’ สิ่งที่ทำให้คนนอกที่มาชมและคนในพื้นที่เรียนรู้ว่า เขาจะมีส่วนร่วม ‘เดินต่อ’ ไปในวันนี้และวันข้างหน้าอย่างไร  เวลาทำงาน เราจะมองแบบนี้ตลอด”

“เสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์ไม่ควรลืมท้องถิ่น  ไม่ได้คิดเพียงว่านำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนความคิด แต่ต้องดูว่าทรัพยากรท้องถิ่นมีอะไร และอะไรจะเป็นต้นทางให้เขา”

Image
Image
Image

ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง ซึ่งมีทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ไม่ลืมเรื่องราวของชุมชนและท้องถิ่น

พิพิธภัณฑ์ทำให้ชุมชนมีตัวตน

พิพิธภัณฑ์เมืองยะลา (Museum of Yala City) (ปี ๒๕๖๘) พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าบริบทความเป็นเมืองของ “ยะลา” จังหวัดซึ่งมีผังเมืองสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศและของโลก  การออกแบบอาคารได้รับแรงบันดาลใจจากอาคารโรงยางพารา ตกแต่งด้วยการผสมผสานศิลปะไทยพุทธ จีน และมุสลิม ภายในพิพิธภัณฑ์มีห้องจัดแสดงสามห้อง คือ ยะลาเมืองของเรา เมืองของโลก, ยะลา เมืองแห่งพลังสร้างสรรค์ และยะลา เมืองแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โจทย์ยากคงไม่พ้นการนำเสนอผังเมืองยะลา ณชมน พูลทรัพย์ สถาปนิกและนักออกแบบผังเมืองของแปลน โมทิฟ อธิบายแนวคิดงานออกแบบว่า “จากการทำกระบวนการมีส่วนร่วมในขั้นตอนการออกแบบ เราพบว่าเด็ก ๆ ที่ยะลาก็มีความสนใจเรื่องเมือง บางคนรู้ว่ายะลามีผังเมืองสวย แต่เขาอาจยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เลยพยายามหาวิธีออกแบบให้สื่อสารง่าย ทำให้เขาเห็นว่าเวลาที่เรามองเมืองสวย มันอาจจะไม่ได้สวยแค่ตาเห็น แต่มันมีการวางผังวางระบบบางอย่างให้คนที่อยู่รู้สึกสบายเป็นหนึ่งเดียวกับเมือง”

Image

พิพิธภัณฑ์เมืองยะลา
จังหวัดยะลา

งานศิลปกรรมที่แยกชั้นองค์ประกอบของเมืองทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ชั้นล่างสุดคือลักษณะทางกายภาพของเมืองผืนดิน แหล่งน้ำ เส้นทางน้ำ  ชั้นที่ ๒ คือเส้นทางสัญจรทั้งรถยนต์ รถจักรยาน ทางเดินเท้า ฯลฯ  ชั้นที่ ๓ คือโครงสร้างพื้นฐานของเมือง เช่น อาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณูปโภค  ชั้นที่ ๔ คือ พื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ ต้นไม้ ฯลฯ มีการเชื่อมโยงให้เห็นภาพเมืองที่ดี ซึ่งเป็นต้นทุนในการบริหารและพัฒนาเมือง และยะลาเป็นเมืองที่มีต้นทุนผังเมืองที่ดี เพื่อต่อยอดไปสู่เมืองอัจฉริยะ (smart city) และเมืองแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“อยากให้เด็ก ๆ ยะลาภูมิใจในเมืองของตัวเอง และเหมือนได้เดินทางไปเรียนรู้เมืองอื่นในต่างประเทศ ได้เห็นว่าผังเมืองแต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร ใครเหมือนเราไม่เหมือนเราอย่างไร แต่ละเมืองมีทิศทางการออกแบบและพัฒนาเมืองต่อไปในอนาคตอย่างไร”

นอกจากนั้นยังมีพื้นที่จัดแสดงผังเมืองยะลาประกอบภาพยนตร์แอนิเมชัน แสง สี เสียง  กลุ่มเด็กได้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่สนุกสนานตื่นตาตื่นใจ กลุ่มผู้ใหญ่สามารถใช้โมเดลของชุมชนถ่ายทอดประสบการณ์และเรื่องราวสู่คนต่างวัย ผู้บริหารเมืองใช้จุดนี้เป็นเครื่องมือบอกเล่าวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมือง

“เทคโนโลยีเป็นแค่สิ่งดึงดูดให้เข้าไปหาความรู้ แต่ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีความรู้ให้รู้คิดว่านั่นไม่ใช่พิพิธภัณฑ์”

การออกแบบ
ที่ยังให้เกิดปัญญา

“ฐานความคิดของเรา ให้ความรู้เป็นเรื่องสำคัญ”

แม้ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในงานพิพิธภัณฑ์ เพื่อการสร้างประสบการณ์เสมือนจริง (immersive experience) สร้างความตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับแปลน โมทิฟ สัญใจมองว่า แนวคิดของแปลน โมทิฟไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ Design to the Wisdom การออกแบบที่ยังให้เกิดปัญญา

“เทคโนโลยีมีส่วนเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของงานในแต่ละช่วง แต่ลึก ๆ เรายังเชื่อเรื่องความรู้ และยิ่งเชื่อว่า ณ วันนี้ เทคโนโลยีเป็นแค่สิ่งที่ดึงดูดให้เข้าไปหาความรู้แต่ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีความรู้ให้รู้ คิดว่านั่นไม่ใช่พิพิธภัณฑ์”

อย่างพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุ ก็สามารถออกแบบประสบการณ์ด้วยการเล่าเรื่องผ่านวัตถุให้น่าสนใจได้ 

“สิ่งที่ต้องระวังคือ คนจะติดดูแต่ของเก่า ถ้าเราต้องการให้ความรู้ ต้องยกระดับให้ไปไกลกว่านั้น” 

รวิอร ชิ้ววงษ์ หนึ่งในทีมงานแปลน โมทิฟ เล่าเสริมถึงการเล่าเรื่องผ่านวัตถุจัดแสดง ซึ่งใช้วิธีบอกเล่าและสื่อสารที่แตกต่างจากที่อื่น โดยยกตัวอย่างงานออกแบบและจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ปี ๒๕๖๐)

“แบงก์ชาติมีวัตถุจัดแสดง เช่น เงินตราโบราณ เหรียญ ธนบัตร ฯลฯ ซึ่งหลายพิพิธภัณฑ์ก็มีวัตถุจัดแสดงแบบเดียวกัน คำถามที่เกิดขึ้นคือ เงินตราหลากหลายที่เกิดขึ้นในยุคเดียวกัน เขาแลกเปลี่ยนกันอย่างไร เขากำหนดอัตราแลกเปลี่ยนกันอย่างไรถึงค้าขายกันได้  เราจึงเลือกนำเสนอผ่านเรื่องราวของ “คน” หรือ “หน่วยงาน” ที่ดูแลระบบเศรษฐกิจการเงินและการแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละยุค ซึ่งปัจจุบันคือแบงก์ชาติ  เราเลือกนำของจัดแสดงมาเล่าในบริบทที่เชื่อมโยงกับองค์กร”

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย
กรุงเทพมหานคร

Image

อาคารภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส 
จังหวัดสกลนคร

อีกตัวอย่างหนึ่งของงานพิพิธภัณฑ์ซึ่งไม่มีทั้งเทคโนโลยี ทันสมัยและไม่มีวัตถุจัดแสดง คืออาคารภูริทัตโต ในวัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ซึ่งภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ จัดแสดงรูปปั้น อัฐิธาตุ และเครื่องบริขารของพระอาจารย์มั่นอยู่แล้ว  เมื่อผู้มีจิตศรัทธาประสงค์ให้มีพื้นที่บอกเล่าประวัติ ปฏิปทา และข้อธรรมคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่าธุดงคกรรมฐาน ให้เด็กรุ่นปัจจุบันได้เรียนรู้ แปลน โมทิฟจึงออกแบบปรับปรุงจากอาคารอเนกประสงค์เดิมที่ชำรุดทรุดโทรมมาเป็นพื้นที่เรียนรู้

ด้วยโจทย์ที่ต้องการให้อาคารภูริทัตโตมีความอ่อนน้อมถ่อมตน กลมกลืนกับบรรยากาศโดยรอบ รวมทั้งสามารถจัดการได้สะดวก มีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลน้อย ผลคืองานออกแบบที่เรียบง่าย ใช้แสงธรรมชาติ และระบายอากาศด้วยลมธรรมชาติ  ส่วนการจัดแสดงภายใน ใช้แนวคิดหลักเรื่อง “ป่า ทาง ถ้ำ” ซึ่งเป็นหนทางให้เกิดปัญญาตามแนวทางพระวัดป่า สะท้อนผ่านงานศิลปกรรมกายคตาสติ ภาพป่าและต้นไม้ประกอบข้อธรรมคำสอนที่ผูกขึ้นจากอักษรคำว่า “พุทโธ” เสมือนได้ทดลองปฏิบัติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก มีสติอยู่กับปัจจุบันไปพร้อมกับการเรียนรู้เรื่องราวของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

“สิ่งที่เราอยากให้เรียนรู้ก็คือ ชีวิตของบุคคลหนึ่งซึ่งดำรงอยู่บนเส้นทางของตนเอง เรียนรู้ด้วยประสบการณ์และปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่น  สิ่งที่ค้นพบคืออะไร และเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างไร” สัญใจสรุป

หลังจากทำงานด้านพิพิธภัณฑ์มายาวนาน สัญใจเห็นว่ามีคนสนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้น หลากหลายกลุ่ม และหลากหลายวัย ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเหมือนอดีต พิพิธภัณฑ์จึงเป็นเสมือน “สะพาน” เชื่อมให้ปู่ย่าตายายพ่อแม่ลูกหลานมีโอกาสแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าพิพิธภัณฑ์ยังเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของสังคม

“คนอาจจะกำลังงงกับสภาพการศึกษา ใบปริญญาไม่มีความหมาย เด็กไม่รู้จะหาความรู้จากไหนนอกจาก AI พ่อแม่ที่สั่งสมความรู้มาทั้งชีวิตก็ไม่รู้จะสอนหรือพูดให้ความรู้แก่ลูกอย่างไร ลูกบอกว่าฉันดูยูทูบก็ได้… เรากำลังอยู่ในช่วงที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงจนสับสนข้อมูลล้นจนไม่รู้จะพูดเรียบเรียงแต่ละเรื่องให้เข้าใจได้อย่างไร

“พิพิธภัณฑ์เป็นคำตอบหนึ่งของการศึกษาในสังคมปัจจุบัน เรื่องราวต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์สามารถเป็นหัวข้อเริ่มต้นในการเรียนรู้หรือแลกเปลี่ยนกันได้”