“Thainosaur” หรือ “ไทยโนเสาร์” นิทรรศการหมุนเวียนลำดับที่ ๒ ของท่าพิพิธภัณฑ์ ถัดจากนิทรรศการ “200 Years Journey Through Thai Modern Art History” นำเสนอเรื่องราวกว่า ๒ ศตวรรษของศิลปะไทย
Museum Pier
“ท่า” พิพิธภัณฑ์
ไฟฝันสองนักสะสม
พิริยะ-กรกมล วัชจิตพันธ์
PEOPLE OF THE MUSEUM
นักสะสม
เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
ตอนเรียนชั้นอนุบาล พิริยะชอบวิ่งไล่จับกิ้งก่าตามกอต้นเข็ม เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาก็เอาอิกัวนาเกาะไหล่ไปเรียนหนังสือ ถึงมัธยมศึกษาตอนต้นเขาตั้งตู้ปลาไว้หลังห้องเรียน เพาะปลาตัวเล็ก ๆ ขาย จนรวบรวมเงินซื้อปลาตัวละเป็นหมื่นได้ ครั้นย้ายไปเรียนไฮสกูลที่สหรัฐอเมริกาก็เอาเงินเก็บจากการรับจ้างล้างจานไปซื้อฟอสซิลไดโนเสาร์
“โตขึ้นกว่านั้นก็ยังมีตัวอะไรต่อมิอะไรยั้วเยี้ยรอบตัว ทั้งที่เป็น ๆ และกลายเป็นฟอสซิลแล้ว”
หลังแต่งงาน กรกมล วัชจิตพันธ์ นักร้องนำวงละอองฟองเล่าว่า ทุกครั้งเวลาเดินทางไปต่างประเทศ จะมีพิพิธภัณฑ์สามประเภทที่เป็นหมวดโปรดของทั้งคู่
“มิวเซียมที่ต้องเดิน หนึ่ง natural history museum เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา สอง art museum แสดงผลงานศิลปะ สาม aquarium หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ รวมทั้ง zoo หรือสวนสัตว์
“ครั้งหนึ่งเราไปดูมิวเซียมที่อังกฤษ แต่ชุดนิทรรศการเป็นของประเทศอื่น เป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน แลกเปลี่ยน ชั่วคราว คิดมาตลอดว่าอยากให้เมืองไทยมีมิวเซียมแบบนี้บ้าง คนต่างชาติจะได้เวียนเข้ามาชม คนไทยก็ได้ชมทั้งนิทรรศการไทยและต่างชาติ อนาคตเราอาจจะได้ดูฟอสซิลไดโนเสาร์ของต่างชาติที่ท่าพิพิธภัณฑ์ก็ได้”
ฟอสซิลไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์เป็นของรักของสะสมของ พิริยะ วัชจิตพันธ์ มาตั้งแต่เรียนไฮสกูลแล้ว
“จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ พ่อแม่แทบไม่เคยพาไปเที่ยวห้าง แต่พาไปเดินพิพิธภัณฑ์กับสวนสัตว์บ่อย ๆ เท่าที่จำความได้ก็เลยชอบของพรรค์นี้”
ท่าพิพิธภัณฑ์ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงความรู้และความสนุกสนานของเด็ก ๆ ป้ายบรรยายส่วนหนึ่งทำพิเศษสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
ผู้หลงใหลไดโนเสาร์
“การชอบไดโนเสาร์ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เด็ก ๆ เกือบทั้งโลกก็คงจะชอบไดโนเสาร์ เคยเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตาไดโนเสาร์ แต่พอโตขึ้นก็หลงลืมไป คิดว่าไร้สาระ ติงต๊อง หรือเป็นเรื่องของเด็ก ๆ”
พิริยะถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อคราวกว่า ๓๐ ปีก่อน “ผมเองตอนเด็ก ๆ ก็ชอบเล่นตุ๊กตุ่นไดโนเสาร์ ต่างกันตรงผมมีโอกาสเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้เห็นว่าที่สหรัฐอเมริกามีจัดงานฟอสซิลแฟร์ทุกปี งานใหญ่จัดที่แอริโซนา โคโลราโด จัดแสดงทั้งผลึก ฟอสซิล แร่ธาตุ อนุญาตให้ซื้อขาย เรียนอยู่ที่นั่นผมต้องหารายได้เป็นเด็กล้างจานมีเงินเก็บก็ซื้อตั๋วเครื่องบินโลว์คอสต์ไปงานต่าง ๆ บินไปเช้าเย็นกลับด้วยนะเพราะไม่มีเงินค่าโรงแรม แล้วผมก็อยากเก็บเงินไว้ให้มากที่สุดเพื่อซื้อฟอสซิลชิ้นเล็ก ๆ พวกหอย ปลา มาเก็บสะสม”
ถึงช่วงซัมเมอร์เขากลับมาเมืองไทย เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมซากดึกดำบรรพ์ของประเทศไทยไม่ค่อยถูกค้นพบทั้ง ๆ ที่แผ่นดินนี้ก็เคยมีไดโนเสาร์
“กลับเมืองไทยก็เลยไปตามหาฟอสซิล เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อนผมคิดว่าตลาดจตุจักรน่าจะมี ไปเดินหาว่าอยู่ที่ไหน ตระเวนไปตามโซนของโบราณ จนพบก้อนหินที่เจ้าของร้านเอามาทับกระดาษ ผมจำได้เพราะเคยเห็นจากงานแฟร์ แต่เจ้าของเองไม่รู้ว่าก้อนอะไร แค่บอกว่าแถวบ้านที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา มีเยอะ ตรงนั้นเป็นบ่อทรายลึกประมาณตึก ๑๐ ชั้น”
ฟอสซิลไดโนเสาร์ของไทยส่วนใหญ่ค้นพบแถบอีสาน บริเวณที่ราบสูงโคราช แหล่งขุดค้นสำคัญอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา หนองบัวลำภู ขอนแก่น กาฬสินธุ์
กรกมลเล่าวีรกรรมวัยเด็กของสามีว่า “บ้านเจ้าของร้านอยู่ติดบ่อดูดทราย เวลาขุดทรายไปขายจะเจอก้อนพวกนี้เยอะ คนงานไม่ชอบหรอกเพราะติดท่อ ทำให้เครื่องพัง จะทุบเป็นเศษ ๆ แล้วเอาไปวางตามศาลพระภูมิ เรียกกันว่าหงอนพญานาค จริง ๆ คือรากฟันช้างดึกดำบรรพ์ คุณพิริยะเห็นแล้วเสียดายมาก ของพวกนี้ฝรั่งเห็นค่ามาก แต่คนไทยทุบทำลายทิ้ง”
ประเทศไทยหลายพื้นที่น่าจะเคยมีคนพบซากดึกดำบรรพ์มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าวัตถุแข็ง ๆ รูปทรงแปลก ๆ เป็นก้อนอะไร
“ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมีใครศึกษา คนที่เจอไม่เก็บ
เอาไปบูชาก็เขวี้ยงทิ้ง ทั้ง ๆ ที่ฟอสซิลที่พบในเมืองไทย
มักเป็นชนิดใหม่ของโลก บ้านเรามีไดโนเสาร์ครบหมด
ทั้งคอยาว คอสั้น เดินสองขา สี่ขา กินเนื้อสัตว์ กินพืช หลายชนิดพบในเมืองไทยที่เดียวเท่านั้น ทำให้ชื่อของมันไท้ไทย”
พิริยะยกตัวอย่างฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์ไทยตัวเด่น ๆ ที่ตนเองเก็บสะสม บางชิ้นตั้งอยู่บนหัวเตียง
“ยกตัวอย่าง ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน พบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น กินพืชเป็นอาหาร คอยาว หางยาว ตัวใหญ่กว่ารถเมล์ สยามโมซอรัส สุธีธรนิ พบที่ภูเวียงเหมือนกัน แต่พบแค่ฟอสซิลฟันรูปร่างคล้ายกรวยไอศกรีม เปรียบเทียบกับฟอสซิลของต่างประเทศถึงรู้ว่าเป็นไดโนเสาร์เดินสองขา มีปากยาว ๆ คล้ายจระเข้ และคาดว่ามีแผงครีบบนหลัง กินปลาเป็นอาหาร ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กิ ตัวเล็กเท่าหมา เดินสองขา ปากเหมือนนกแก้ว และอาจมีหนามยาว ๆ งอกจากโคนหาง สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส หน้าตาเหมือน ที.เร็กซ์ แต่ย่อส่วนลงมา วิ่งสองขา ฟันแต่ละซี่หยักเหมือนใบเลื่อย ช่วยไล่ล่างับไดโนเสาร์ชนิดอื่น” นักสะสมฟอสซิลและคนรักไดโนเสาร์อธิบาย
ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องไดโนเสาร์พันธุ์ไทย แต่ยังนำเสนอฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์หลายชนิดที่เคยมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินไทย
“สยามโมไทรันนัส มีชีวิตอยู่ในยุคเก่ากว่าทีเร็กซ์หลายสิบล้านปีนะคะ จะเรียกว่าเป็นปู่ของปู่ของปู่ของบรรพบุรุษทีเร็กซ์ก็ได้ เห็นไหมว่าเมืองไทยเคยมีไดโนเสาร์น่าสนใจแค่ไหน” กรกมลเล่าเสริม
ทั้งสองคนไม่มีปริญญาทางบรรพชีวินวิทยา (Paleontology) ความรู้ที่มีอยู่เรียบเรียงมาจากการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง ไถ่ถามผู้รู้ ตามดูตามอ่าน โดยมีความรักเป็นพื้นฐาน
“เห็นไหมไดโนเสาร์สัญชาติไทยเราก็มีตั้งเยอะแยะ ต่อไปคนไทยอยากพาลูกพาหลานไปดูฟอสซิลก็ไม่ต้องดั้นด้นไปถึงเมืองนอกเมืองนา”
ความหลงใหลและไฟฝันที่อยากให้คนไทยได้รู้จักไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์บังเกิดขึ้นในใจของทั้งคู่
"‘ท่า’ คือจุดส่งต่อ ที่จะพาเราไปเชื่อมต่อกับเรื่องอื่น ๆ ไม่ยึดติดว่าต้องอยู่กับศิลปะหรือฟอสซิล จะไป pier หรือ port ไหนต่อก็ได้"
นักสะสมงานศิลปะ
ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ตั้งอยู่ติดท่าช้าง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างวัดพระแก้วและกำแพงพระบรมมหาราชวังเพียงข้ามฝั่งถนนมหาราช ถือเป็นส่วนหนึ่งของอาคารสูงสามชั้นในโครงการท่าช้าง วังหลวง เปิดให้บริการทุกวันเวลา ๑๐.๐๐-๑๘.๐๐ น.
“Thainosaur” หรือ “ไทยโนเสาร์” เป็นชื่อนิทรรศการหมุนเวียนลำดับที่ ๒ ของท่าพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม - ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
ก่อนหน้านั้นพิริยะและกรกมลเปิดตัวท่าพิพิธภัณฑ์ด้วยนิทรรศการหมุนเวียนลำดับแรกชื่อ “200 Years Journey Through Thai Modern Art History” นำเสนอเรื่องราวกว่า ๒ ศตวรรษ หรือ ๒๐๐ ปีของศิลปะไทย จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๘
นอกจากหลงใหลฟอสซิลไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ พิริยะยังเป็นนักสะสมงานศิลปะตัวยง คือ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center (TAAC) สถาบันการประมูลศิลปะอันดับ ๑ ของประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากยอดประมูลและความสม่ำเสมอในการประมูลเพื่อเก็บรักษาผลงานศิลปะของศิลปินไทย
“นิทรรศการชื่อเดียวกันนี้เราเคยจัดมาแล้วที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ระหว่างวันที่ ๑๓ กรกฎาคม - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๗ มีผู้เข้าร่วมเกือบหมื่นคน จนทำให้เราสองคนตัดสินใจนำผลงานของศิลปินมาจัดแสดงอีกครั้งในปีถัดมา คราวนี้โยกย้ายจากหอศิลป์เจ้าฟ้ามาสู่ท่าพิพิธภัณฑ์”
งานศิลปะที่จัดแสดงส่วนใหญ่นำมาจากคอลเลกชันส่วนตัว ถือเป็นสมบัติลํ้าค่าซึ่งหาดูได้ยาก บอกเล่าประวัติศาสตร์ศิลปะตั้งแต่ยุคขรัวอินโข่ง ศิลปินเอกสมัยรัชกาลที่ ๔ เรื่อยมาถึงศิลปินรุ่นใหม่ เช่น กันตภณ เมธีกุล, นิสา ศรีคำดี เจ้าของคาแรกเตอร์ Crybaby
ประวัติศาสตร์ศิลปะของไทยยังได้รับการร้อยเรียงผ่านผลงานของศิลปินระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็น ถวัลย์ ดัชนี, จักรพันธุ์ โปษยกฤต, มณเฑียร บุญมา
พิริยะให้ความเห็นว่า “เราเริ่มจัดแสดงตั้งแต่ศิลปะสยามในยุคล่าอาณานิคม เคลื่อนสู่ปฐมบทของศิลปะสมัยใหม่ ก่อร่างสร้างฐานก่อนจะส่งต่อมายังศิลปะไทยร่วมสมัยที่น่าตื่นตาตื่นใจ การที่พวกเราร่วมกันสนับสนุนศิลปะของบ้านเมืองให้พัฒนา ดำรงไว้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน ก็ถือเป็นการสร้างสาธารณประโยชน์ที่ใหญ่หลวงอีกวิธีหนึ่งแล้ว”
"ต้องจินตนาการจากโครงกระดูกให้เป็นเนื้อเป็นหนัง อ้างอิงสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีเรื่องราว มี history มี anatomy ต้องเรียนรู้เยอะมาก เวลาปั้นขึ้นอยู่กับขนาด ถ้าตัวใหญ่มากมีโครงเหล็กเสริมอยู่ข้างใน ยึดกับพื้นไว้ไม่ให้ล้ม ใช้เวลา ๒ เดือน ศึกษามาเรื่อย ๆ บางเทคนิคเมืองไทยเพิ่งทำเป็นครั้งแรก"
ธนรัชต์ สงวนบุญ ผู้ร่วมก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์และควบคุมการผลิตหุ่นไดโนเสาร์
แอนิเมชันจำลองภาพเคลื่อนไหวพฤติกรรมไดโนเสาร์ ช่วยบอกเล่าเรื่องราวครอบคลุมมหายุคทั้งสาม ได้แก่ พาลีโอโซอิก มีโซโซอิก และซีโนโซอิก
ท่วง “ท่า” ของท่าพิพิธภัณฑ์
ฟอสซิลคือซากหรือร่องรอยสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืชในอดีตที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้โดยธรรมชาติเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ ๑ หมื่นปีขึ้นไป
การเกิดฟอสซิลที่พบบ่อยที่สุดคือวิธีเพอร์มิเนอรัลไลเซซัน (permineralization) โดยซากสิ่งมีชีวิตเฉพาะส่วนที่แข็ง เช่น กระดูก เปลือก ถูกฝังอยู่ใต้ผิวดิน ผ่านไปนาน ๆ แร่ธาตุต่าง ๆ จะซึมผ่านเข้าไปแทนที่ซากนั้น ๆ ตกผลึกแข็งตัวจนกลายเป็นหิน
เมื่อมีสภาพเป็น “ก้อนหิน” เจ้าของพิพิธภัณฑ์จึงอนุญาตให้ผู้เข้าชมหยิบจับฟอสซิลบางชิ้นได้
พิริยะอธิบายว่า “สัตว์และพืชโบราณที่ขุดเจอเป็นฟอสซิลเป็นเพียงส่วนน้อยไม่ถึงร้อยละ ๑ ของชีวิตที่เคยมีอยู่บนโลก การได้ลูบคลำสัมผัสก็เปรียบได้กับการย้อนเวลา ทำให้ได้สัมผัสภาพบางส่วนของโลกในอดีต เข้าใจความเป็นมาของสิ่งมีชีวิต รวมถึงตัวเราเอง”
พื้นที่ชั้น ๓ ของท่าพิพิธภัณฑ์ที่กำลังจัดแสดงนิทรรศการไทยโนเสาร์ บอกเล่าเรื่องราวยุคสุดท้ายก่อนไดโนเสาร์จะหายไป จุดเด่นอยู่ที่โครงกระดูก ภูเวียงโกซอรัส และ สยามแรปเตอร์ รวมถึงไดโนเสาร์กินพืชชนิดอื่น ๆ โดยมีมุมด้านหนึ่งนำเสนอเรื่องราวอารยธรรมใหม่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งบางชนิดเริ่มสูญพันธุ์
แต่เป็นการสูญพันธุ์ที่ผิดแผกจากที่เคยเป็นมาก่อน
“การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดมาแล้วห้าครั้ง ปัจจุบันกำลังเข้าสู่การสูญพันธุ์ครั้งที่ ๖ ซึ่งไม่เหมือนทุกครั้ง จากเคยสูญพันธุ์ตามธรรมชาติ ครั้งนี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ที่เห็นอยู่คือเศษซากจากการสูญพันธุ์ด้วยน้ำมือมนุษย์เกือบทั้งนั้น” กรกมลมองไปยังกำแพงพิพิธภัณฑ์
“แผงนี้ตั้งใจเล่าว่าสัตว์เหล่านี้เคยมีชีวิตอยู่จริง ๆ เพิ่งสูญพันธุ์ไปไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ซ้ายมือคือกูปรีตัวเมีย ตรงกลางคือกูปรีตัวผู้ รวมถึงสมันซึ่งถือเป็นกวางเขาสวยที่สุดของไทย สมันเคยอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี พื้นที่ใกล้ ๆ ถึงถูกล่าได้ง่าย พรานจะไล่มันเข้าไปในพงเพื่อให้เขาเกี่ยวกับต้นไม้ นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจอยากเล่า ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี ที่มีอยู่น้อยนิดตอนนี้ ก่อนที่จะเหลือแต่เศษซากไว้ให้เราดู”
ชั้นล่างของท่าพิพิธภัณฑ์เป็นร้านจำหน่ายอาหาร หนังสือ ของที่ระลึกต่าง ๆ ช่วงจัดนิทรรศการ “Thainosaur” มีของน่าสะสมอย่างพระผงฟอสซิลดึกดำบรรพ์, สมเด็จไดโน (รุ่นไทยโนเสาร์), สมเด็จดึกดำบรรพ์ทรงกลมแบบเทวราชโพธิสัตว์, จตุคามไดโนเสาร์เทพ (รุ่นฟอสซิลแท้)
ภาพวาดไดโนเสาร์ ผลงานศิลปินร่วมสมัยที่ใช้ศิลปะสื่อสารและตีความเรื่องราวของสัตว์โลกล้านปีให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสอรรถรสแปลกใหม่ สะท้อนความตั้งใจและพยายามสร้างสรรค์นิทรรศการร่วมกับศิลปินท่านอื่น
ด้วยมุ่งหวังว่าจะทำให้พิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่เรียนรู้และเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ริมฝั่งเจ้าพระยา
กรกมลอธิบายว่าทำไมถึงตั้งชื่อว่า “ท่าพิพิธภัณฑ์”
“ใช้คำว่า ‘ท่า’ เพราะอยู่ติดท่าน้ำ และสำหรับเราแล้ว ‘ท่า’ คือจุดส่งต่อ ที่จะพาเราไปเชื่อมต่อกับเรื่องอื่น ๆ ไม่ยึดติดว่าต้องอยู่กับศิลปะหรือฟอสซิล จะไป pier หรือ port ไหนต่อก็ได้ เชื่อมโยงไปถึงโลกต่าง ๆ ที่น่าสนใจ พูดง่าย ๆ ถ้าว่างมาตรงนี้จะมีอะไรใหม่ ๆ ให้ดูตลอด จะเป็นนิทรรศการหมุนเวียน ไม่ใช่อยู่ถาวรแบบยาว ๆ
“พวกเราชอบเดินมิวเซียม อยากทำให้วัฒนธรรมการเดินมิวเซียมเป็นเรื่องปรกติ ให้เด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเดินห้าง วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ทำอะไรดีนะ ไปเที่ยวท่าพิพิธภัณฑ์ดีกว่า ไม่รู้มีนิทรรศการอะไรบ้างตอนนี้...”
นี่คือความปรารถนาที่นักสะสมสองคนลุกขึ้นมาทำพิพิธภัณฑ์
ริมท่าน้ำแห่งสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำเลทองที่ถ้าประกอบธุรกิจอื่น ๆ ก็คงทำเงินได้มากกว่า
“แต่การเผยแพร่สิ่งที่ตัวเองรักให้คนอื่น ๆ ได้เห็นคุณค่าด้วยนั้น มันวิเศษและอิ่มอกอิ่มใจกว่าการหาเงินหาทองเป็นไหน ๆ”