"ที่ทำ (พิพิธภัณฑ์) มา
เหมือนเป็นคำสัญญา"
ปากคำ เอนก-วรรณา นาวิกมูล
ในวาระ ๑๕๐ ปี
พิพิธภัณฑ์ไทย (ปี ๒๕๖๘)
INTERVIEW
สัมภาษณ์ : สุเจน กรรพฤทธิ์
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
คงไม่เกินไปนักถ้าจะกล่าวว่านิตยสาร สารคดี เป็นเพื่อนเก่าแก่กับ เอนก นาวิกมูล
เขาเป็นเจ้าของคอลัมน์ “มุมสะสม” ต่อเนื่องหลายปีตั้งแต่ สารคดี ถือกำเนิด (ปี ๒๕๒๘) และมีบทความสารคดีในต่างกรรมต่างวาระตีพิมพ์ใน สารคดี มาเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเมื่อปี ๒๕๕๓ ในวาระ สารคดี มีอายุ ๒๕ ปี ได้มอบรางวัล “สารคดีเกียรติยศ” แก่ เอนก นาวิกมูล ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ ๕๗ ปี และทำงานเขียนสารคดีมากว่า ๓๐ ปีแล้ว
ต่อมาปี ๒๕๖๓ เขาได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
หากจะแนะนำอย่างย่นย่อที่สุด เขาคือผู้ที่ทำให้สังคมไทยตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์ของเก่าใกล้ตัวในฐานะประวัติศาสตร์สังคมมาตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็น “ผู้ดูแลบ้าน พิพิธภัณฑ์” สองแห่ง สาขาศาลาธรรมสพน์ ซอย ๓ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และสาขางิ้วราย อำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นเจ้าของประโยค “เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า” ผู้ทำงานอย่างหนัก อุทิศทั้งครอบครัวและตัวเองเพื่องานพิพิธภัณฑ์มาจนทุกวันนี้
ปี ๒๕๖๘ ในวัย ๗๒ ปี เอนกถืออายุเป็นเพียงตัวเลข เขายังทำงานที่รัก ปัดกวาดบ้านพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่ง แบกของ ขนเก้าอี้ ปลูกต้นไม้ รับโทรศัพท์ตอบคำถามผู้มาติดต่อขอความรู้ด้วยอารีไม่ว่าจะวัยไหน
ข้าง ๆ กายเอนกคือคู่ชีวิต คู่ทุกข์คู่ยาก วรรณา นาวิกมูล “ผู้ร่วมคิดร่วมทำ” ที่ทำทุกอย่างมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เธอยังเป็นแม่ของลูกสาวสองคน และเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานบ้านพิพิธภัณฑ์
ในวาระ ๑๕๐ ปี พิพิธภัณฑ์ไทย จึงไม่มีอะไรที่จะเหมาะสมเท่ากับนั่งลงสนทนากับเอนก-วรรณา เกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านพิพิธภัณฑ์ รวมถึงปุจฉา-วิสัชนา ถึงวงการพิพิธภัณฑ์เมืองไทย
ภาคที่ ๑
บทสนทนากับ
เอนก นาวิกมูล
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
เปิดบ้านพิพิธภัณฑ์แห่งที่ ๒ ที่ตำบลงิ้วราย มาร่วมปี สุขภาพพี่เป็นอย่างไรบ้าง
ปีที่แล้ว (ปี ๒๕๖๗) วันหนึ่งช่วงสุดสัปดาห์ ผมเข้าห้องน้ำแล้วปวดหลัง ลุกไม่ได้ ดีที่ลูกอยู่บ้าน ช่วยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ทำกายภาพบำบัดแต่ก็ไม่ดีขึ้น ย้ายไปโรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา นอนอยู่ ๔ คืน หมอบอกไขข้อสันหลังอักเสบ ต้องฉีดยา ในที่สุดฟื้นกลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมเป็นโรคนี้มา ๔๐ ปีแล้ว เพราะแบกหามของมาตลอด รอบนี้หนักที่สุด ดีที่รัฐสนับสนุนค่ารักษาพยาบาล (ในฐานะศิลปินแห่งชาติ)
กิจการบ้านพิพิธภัณฑ์ที่งิ้วรายเป็นอย่างไร เข้าเนื้อ (ขาดทุน) แค่ไหน
ครอบครัวผมเรียกกันเองว่า “งิ้วราย” เปิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๗ ตอนเปิดผมจัดของได้ ร้อยละ ๗๐ ของในโกดังยังเอาออกมาไม่หมด วันนั้นท้องฟ้าครึ้ม แต่ไม่นานก็แจ่มใส คนมามาก แต่หลังจากนั้นคนยังไม่ค่อยไปเที่ยวกัน ต่างกับบ้าน ๑ ช่วงเปิดปี ๒๕๔๔ คนมากันมาก แต่ตอนนี้ (ปี ๒๕๖๘) ฟุบทั้งสองที่ มีคนมาชมเดือนละ ๓๐ คนก็เก่งแล้ว ผมเข้าใจว่าคนมีตัวเลือกในการเที่ยวมากขึ้น บางคนบอกเพราะสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจไม่ดี งานปีใหม่ ลอยกระทง คนก็สนุกไม่เต็มที่ ส่วนใหญ่ยังคงสนใจเรื่องการกิน เข้าพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องรอง กระทั่งตลาดที่คึกคักก็เงียบเหงา สองเดือนที่ผ่านมา (พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๘) มีอยู่วันหนึ่งเงียบสนิท ไม่มีคนมาดูเลยก็มี
ผมระดมทุนสร้างที่นี่ในปี ๒๕๖๒ ได้ ๓ ล้านบาท ลงเงินตัวเองกับอาจารย์วรรณาหลักล้าน ถ้าไม่ได้เงินจากพี่สาวอีก ๓ ล้านบาทก็ไม่น่าเสร็จ ยังไม่นับที่เพื่อนบริจาคอีกมาก เงินเดือนศิลปินแห่งชาติผมก็เอาไปเลี้ยงคนงาน ตู้คอนเทนเนอร์ ๑๕ ตู้ที่เป็นตัวอาคารได้จากคุณไพศาล ชื่นจิตร อดีตข้าราชการกรมศุลกากร กับค่าที่ดิน ๔ ไร่ ประมาณ ๖ ล้านบาท สรุปลงทุนร่วม ๑๐ ล้านบาท ทำแล้วเข้าเนื้อทุกเดือนก็ต้องยอมรับ มีรายจ่ายประจำต่อเนื่องด้วย ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนงาน เช่น ทำความสะอาดประจำสัปดาห์ทุกวันศุกร์ อาทิตย์ละ ๑,๐๐๐ บาท เดือนหนึ่ง ๔,๐๐๐ บาท สองบ้านก็ ๘,๐๐๐ บาทต่อเดือน
คนที่ช่วยมาตลอดคือคุณวิโรจน์ อยู่ยืน ผมเจอแกตอนรถยกตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาแล้วเกี่ยวกับสายไฟตรงทางเข้า วิโรจน์ปลูกเพิงขายของอยู่แถวนั้น เขาเอาไม้ไผ่ค้ำสายไฟจนรถลอดไปได้ ผมเลยจ้างเขาช่วยบุกเบิกพื้นที่บ้าน ๒ ซึ่งเมื่อก่อนมีแค่ต้นมะขามเทศ ต้นสะแก ในทุ่งนาก็มีงูเห่า ต้นที่เห็นเริ่มปลูกปี ๒๕๖๒ มีทั้งต้นไม้ซื้อและบริจาค เช่น ต้นมะริด ที่มาของชื่อเมืองมะริดในพม่า ต้นกระทิงที่คนโบราณเอาเหรียญใส่ทำเป็นต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหนาดที่ว่ากันว่าไล่ผีได้ ฯลฯ
ต้นปี ๒๕๖๕ เพื่อนเริ่มมาช่วยลงแขกปลูกต้นไม้อื่นล้างถ้วยล้างจานชาม เขียนชื่อใต้ก้นชามเป็นหมื่นชิ้นด้วย หมึกพิเศษ ต้องช่วยกันขนของ ซึ่งเราก็อายุเข้าเลข ๗ แล้ว ยกเองไม่ไหว อาสาสมัครไม่พอก็ต้องจ้างคนช่วย ผมอยากใส่ลูกเล่นอีกมาก เช่น มีรถอีแต๋นให้นั่ง อยากให้มีร้านอาหารจะได้ดึงคนเข้า แต่คนทำคงต้องลงทุนเยอะ
พอมีสองที่ ในครอบครัวแบ่งการดูแล บริหารจัดการอย่างไร
ทั้งสองที่เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ตั้งแต่ ๑๐.๐๐-๑๗.๐๐ น. หลายสิบปีที่ผ่านมา ที่บ้าน ๑ ลูกสาวสองคนเสียสละช่วยดูแล ตอนนี้ผมกับอาจารย์วรรณาแยกมาดูแลบ้านงิ้วรายมีเพื่อนแวะไปช่วยบ้าง ยังขาดคนช่วยเรื่องโซเชียลมีเดีย ช่องยูทูบยังไม่ได้ทำ ผมเพิ่งปล่อยคลิปลงติ๊กต็อก ยังต้องให้คนรุ่นใหม่สอนอีกเยอะ
“การเป็นศิลปินแห่งชาติไม่แน่ใจว่า ทำให้คนฟังเรามากขึ้นหรือไม่”
หน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือแค่ไหน ตอนเปิดบ้าน ๒
องค์การบริหารส่วนตำบลงิ้วรายมาดูแลตามกำลังที่เขาทำได้ มากางเต็นท์วันเปิดโรยหินถนนลูกรังเดิม คุณอรรถวุฒิ พึ่งเนียม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมบอกว่าให้ อบต. พาคนมาดู ก็มีมาบ้าง ต้องขอบคุณท่านไว้ตรงนี้ด้วย คนมาดูพิพิธภัณฑ์ส่วนหนึ่งคือกลุ่มนักสะสมของเก่า ประชาชนทั่วไปที่ทราบข่าวจากสื่อและโซเชียลมีเดีย ปัญหาเรื่องทางเข้าบ้าน ๒ ซึ่งซับซ้อน ถ้าแก้ก็ใช้งบประมาณอีก ท้องถิ่นคงต้องเอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน ส่วนการเพิ่มจำนวนคนเข้าชม ผมมองว่าต้องมีของล่อ เช่น มีร้านอาหารอร่อย แต่เราเปิดแค่สุดสัปดาห์เสาร์-อาทิตย์ ใครจะมาลงทุนขาย
พี่เอนกยังคงมุ่งเก็บของเก่า อายุราวศตวรรษที่ผ่านมาใช่ไหม
ผมยังคงเน้นเก็บของชาวเมืองชาวตลาดในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา จริง ๆ มีคนจะเอาของมาให้เพิ่ม เป็นของตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ ขึ้นมา แต่เราไม่รับเพราะสถานที่ไม่พอแล้ว ถ้ารับของมาก็ต้องนำมาลงทะเบียน ถ่ายภาพ กรอกข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ต้องใช้พลังมาก ไม่นับของเก่าที่เรายังทำทะเบียนไม่เสร็จอีกมาก
ถึงวันนี้พี่เอนกจัดระบบและเก็บรักษาภาพถ่ายอย่างไร โดยเฉพาะฟิล์มที่เสื่อมสภาพลง
ผมพบว่าฟิล์มสไลด์ทนกว่าฟิล์มขาวดำซึ่งผมซื้อยี่ห้อราคาถูกมา เพราะสมัยก่อนไม่มีเงินซื้อยี่ห้อดีอย่างโกดัก ปรากฏว่าฟิล์มที่เก็บไว้กรอบ ละลายเป็นน้ำไปมาก
ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ ผมเริ่มสแกนฟิล์มและดึงไฟล์ภาพจาก CD ลงคอมพิวเตอร์ หลังปี ๒๕๕๙ รุ่นน้องคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตะติยะ ซอโสตถิกุล พาช่างมาจัดระบบด้วยอุปกรณ์จัดเก็บที่เรียกว่า QNAP ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาว่าพื้นที่ ๑๑ เทระไบต์เต็มหมดแล้ว
ผมให้ความสำคัญเรื่องจัดระบบมาก เพราะเวลาเขียนหนังสือต้องอ้างอิง ภาพที่ถ่ายมาต้องตั้งชื่อทุกไฟล์ ถ้าฟิล์มสไลด์ก็อ้างอิงว่า “SLA-สไลด์เอนก...” หรือถ้าเป็น CD เก็บภาพ ก็อ้างว่า “CD ๑ รูปที่...” ไล่เลขไป ๑-๑๕๐ ถ้าไม่ทำก็ตามหาภาพยากมาก ที่น่ากังวลคือฮาร์ดดิสก์เสียได้ตลอด ต้องทำสำเนาไฟล์ไปเรื่อย
เดี๋ยวนี้ผมถ่ายภาพทุกวันผ่านโทรศัพท์มือถือเพราะสะดวก สองเดือนภาพเต็มเครื่องก็ต้องดึงลงคอมพิวเตอร์ ขยันก็ต้องไล่ตั้งชื่อ มั่นใจว่าสำรองแล้วก็ลบภาพในโทรศัพท์มือถือออกไป
ไฟล์เสียงที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์บันทึกแบบเก่า จัดการอย่างไร
ผมพยายามแปลงเป็นดิจิทัล แต่ก็ยังทำไม่ได้ทั้งหมด เคยมีเพื่อนอาสารับเทปคาสเซตไปแปลง คงต้องทำไปเรื่อย ๆ เพราะมีเป็นพันม้วน จริง ๆ อยากได้เครื่องที่ใช้ง่ายกว่านี้ งานพวกนี้ไม่มีใครอยากทำ ผมก็ต้องจัดการเอง
ตำแหน่งศิลปินแห่งชาติมีส่วนช่วยให้
บ้านพิพิธภัณฑ์มั่นคงขึ้นหรือไม่ และส่งเสียงเรื่องพิพิธภัณฑ์ได้มากขึ้นแค่ไหน
การเป็นศิลปินแห่งชาติไม่แน่ใจว่าทำให้คนฟังเรามากขึ้นหรือไม่ ถ้าจะขอสนับสนุนจากภาคเอกชนก็ต้องมีคนเป็นสื่อกลางพาไปเจรจา ต้องดูด้วยว่าเอกชนรายนั้น มีนโยบายอย่างไร บางทีอาจต้องเขียนโครงการไปเสนอ ซึ่งผมเบื่อที่สุด ทำมาขนาดนี้แล้วยังจะให้เขียนอะไรอีก ข้อดีของศิลปินแห่งชาติคือมีทุนให้ตีพิมพ์หนังสือ ผมเพิ่งขอพิมพ์ไปเล่มเดียว ผมอยู่กับหนังสือมาตั้งแต่เด็ก หนังสือทำให้เราชอบอ่าน ชอบเขียน ทุนสร้างตึกของบ้าน ๑ ได้จากการเขียนหนังสือ แม้หนังสือผมอาจขายไม่ได้เท่านิยายแต่ก็อยู่มาได้และต่อทุนให้เราไปทำงานอื่น สำหรับผมแค่มีที่อยู่แล้วได้ทำสิ่งที่ชอบก็พอใจแล้ว จะพอใจมากขึ้นก็คงเป็นการได้พิมพ์หนังสืออีกมาก ๆ เพราะยังมีหลายเรื่องที่ต้องเขียน แต่ปัญหาคือพอทำมา ๒๐๖ เล่ม ทั้งเขียน ทั้งพิมพ์ พิสูจน์อักษร กำกับการออกแบบปก หลัง ๆ ลูกเริ่มบอกแล้วว่าปกที่ผมออกแบบเชย (หัวเราะ)
ตอนนี้เพิ่งออกหนังสือ เด็กสงขลา เป็นเรื่องที่คุณพ่อเล่าเรื่องสมัยรัชกาลที่ ๖ กับสงขลาเอาไว้ แล้วก็หนังสือ คนสงขลา เกิดจากการสัมภาษณ์พ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นแม่ชีที่บันทึกเรื่องตระกูลนาวิกมูลไว้ อีกเล่มคือ สาวสงขลา เป็นงานของคุณป้าที่เขียนหนังสือไว้ก่อนเสียชีวิต ป้าเคยเที่ยวงานฉลองรัฐธรรมนูญปี ๒๔๙๒ ผมเห็นว่าสนุกดีเลยเอามารวมเล่ม สุดท้าย รวมกลอน ข้อเขียนเรื่องสั้น ที่ผมเคยเขียนลงนิตยสาร ชัยพฤกษ์, หนังสือชมรมวรรณศิลป์ จุฬาฯ
อยากเห็นบ้านพิพิธภัณฑ์ในอนาคตเป็นอย่างไร
ที่ผ่านมางานสำเร็จได้จากความสามัคคีและเอื้อเฟื้อของญาติพี่น้องและกัลยาณมิตร ผมเป็นแค่ตัวแทนดูแลบ้านพิพิธภัณฑ์และอยากให้มันอยู่ได้นาน ๆ แต่สายป่านเราไม่ได้ยาวมาก คิดว่าคงทำให้ดีที่สุดในปัจจุบัน เคยคิดจะส่งต่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม ดูแล้วก็ยังไม่มีใครสนใจ ผมมองว่ารัฐบาลควรรับดูแลเรื่องนี้ต่อจากเราที่เริ่มต้นให้ คิดดูสิว่าเราจะเอาเงินที่ไหนมาหล่อเลี้ยงพิพิธภัณฑ์ได้ตลอดไป ลูกผมก็อยู่กับมันมา ๓๐ ปีแล้ว ผมเองหาเงินให้ได้เดือนละสัก ๒ หมื่นบาทก็แย่แล้ว ลูกยังบอกเลยว่าพ่อต้องจัดการให้เรียบร้อยนะ เกิดผมไม่อยู่หรือเป็นอะไรไปขึ้นมา เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน
“ประชาชนยังคงเป็นชาวบ้านบางระจันแบกภาระเรื่องพิพิธภัณฑ์ รัฐควรสนับสนุนเงินหรือให้กำลังใจบ้างก็ยังดี”
ปี ๒๕๖๘ ครบรอบ ๑๕๐ ปี พิพิธภัณฑ์ไทย วงการพิพิธภัณฑ์ไทยมีพัฒนาการที่ดีหรือแย่ลง
หลายแห่งจัดแสดงได้ดี ทันสมัยขึ้น เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ทำได้น่าดู สะอาดตาขึ้น ครั้งหนึ่งจัดนิทรรศการ “สาส์นสมเด็จ” ก็น่าสนใจ ปรกติเราอ่านก็ไม่เคยเห็นต้นฉบับ เขาก็เอามาให้ดู ผมยังอยากไปถ่ายภาพเครื่องทองกรุงศรีอยุธยาที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะเดี๋ยวนี้ในพิพิธภัณฑ์ให้ถ่ายภาพได้แล้ว เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วผมเคยพูดหลายครั้งว่าอนุญาตได้แล้ว แค่ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง ห้ามใช้แฟลช จะมีติดบ้างก็คือ ตึกของพิพิธภัณฑ์ที่กรมศิลปากรดูแลค่อนข้างเชย ไม่จูงใจคนรุ่นใหม่ให้เข้าชม อาจแก้ด้วยการทำฉากหน้าให้ดูน่าเข้ามากขึ้น
ส่วนภาคเอกชนยังมุ่งมั่น “ทำเอง” ต่อไป ส่วนมากขาดทุนเข้าเนื้อทั้งนั้น ยกตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ศตวรรษสยามที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ลงทุนเกือบร้อยล้านบาท ซื้อของเก่าที่มีคุณค่ามาจัดแสดง กรณีนี้ถ้าไม่มีต้นทุนจะอยู่ยากมาก เรื่องเก็บค่าเข้าชมให้ได้กำไรไม่มีทางเป็นไปได้ หรือที่ชมเฌย (The Memory Gallery) อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เลี้ยงตัวเองโดยให้กองถ่ายละครใช้พื้นที่ถ่ายทำหนังย้อนยุค แต่คนเข้าชมให้เข้าฟรี นี่คือน้ำใจของเอกชน ยังไม่ต้องพูดถึงพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน อย่างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จ่าทวี ช่วงหลังเก็บค่าเข้า ๕๐ บาท ไม่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ไหว โดยรวมเทียบกับ ๔๐ ปีก่อน คนเข้าชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้น มีคนทำพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เอกชนยังคงตื่นตัวกว่าภาครัฐ ผมเชื่อว่ารัฐบาลไทยมีเงิน แต่ยังคงไม่สนใจและลงมือทำงานด้านนี้จริงจัง
ปี ๒๕๖๘ “เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า” ยังคงเป็นหน้าที่เอกชน รัฐไม่สนใจ
ประชาชนยังคงเป็นชาวบ้านบางระจัน แบกภาระเรื่องพิพิธภัณฑ์ รัฐควรสนับสนุนเงินหรือให้กำลังใจบ้างก็ยังดี องค์กรที่ดูแลงานพิพิธภัณฑ์ก็ยังไม่มี สมัยรัฐบาลทักษิณ (ปี ๒๕๔๔-๒๕๔๙) เคยคิดว่ามิวเซียมสยามที่ตั้งใหม่จะทำหน้าที่เหมือนสถาบันสมิธโซเนียนของอเมริกาที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ทั้งเอกชนและรัฐ ตอนนี้กลายเป็นทำงานตัวเองไป ผมมองว่าอย่างน้อยรัฐควรตั้งกองทุนสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ภาคละ ๑๐ แห่ง ใช้งบประมาณไม่มากหรอกครับ ลองเทียบดู บ้าน ๒ ผมต้องใช้ ๑๐ กว่าล้านบาท แทบตาย แต่พอราชการจัดอีเวนต์ เขาใช้ ๓๐ ล้านบาทแล้วก็หายไปเลย ยังไม่นับว่าเวลาเกษตรกรขายผลผลิตไม่ได้รัฐยังสนับสนุน แต่คนทำพิพิธภัณฑ์ไม่เคยไปเดินขบวนนะ (หัวเราะ) ไม่มีปากเสียง ทั้งที่งานนี้คือต้นทุน คือพื้นฐานของสังคมไทย
ทุกวันนี้เอกชนลงแรงมหาศาล อย่างคุณพฤฒิพล ประชุมผล ทำพิพิธภัณฑ์เครื่องเล่นกระบอกเสียงและหีบเสียงไทย ไปประมูลของจากต่างประเทศกลับมา ฝีมือภาคเอกชนทั้งนั้น ผมเรียกคนเหล่านี้ว่าบ้าห้าร้อยจำพวกหรือคนบางระจัน มีคนที่ทำสำเร็จคือคุณโดม สุขวงศ์ ที่รัฐยอมทำหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ให้ ผมก็สงสัยว่าจะทำแบบนี้ให้งานพิพิธภัณฑ์ไม่ได้หรือ เคยถามสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เขาบอกว่าไม่ใช่งานของเขา ก็สงสัยว่ารัฐจะทำแต่เรื่องแอลกอฮอล์ บุหรี่ สื่อ แค่นั้นหรือ น่าจะเพิ่มการสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ด้วย
แน่นอนงานเก็บของเก่าเรายังต้องเก็บ เก็บแค่ “ตัวอย่าง” หาที่ให้มันอยู่ เมืองไทยไม่เก็บรักษาของเก่าเลย เวลาตามหามันก็ช้าไปแล้ว ทำไมไม่ทำแต่ต้นมือ ผมเห็นพิพิธภัณฑ์สงครามของเวียดนามในกรุงฮานอย เขามีของใช้ตั้งแต่สมัยสงครามจัดแสดง นี่แสดงว่าเขาคิดมาก่อนหน้านี้ว่าต้องเก็บ
บ้านเรายังขาดศิลปินที่วาดภาพประวัติศาสตร์ ไปเน้นวาดภาพเชิงนามธรรมกันหมด ถ้าสังเกตห้องรับรองเวลาผู้นำไปเยือนต่างประเทศ จะมีภาพทิวทัศน์ บุคคล เหตุการณ์สำคัญ แต่บ้านเราไม่มี เราหาคนอย่าง เหม เวชกร ไม่ได้ ศิลปินวาดภาพบุคคลในเชิงกายวิภาคแย่มาก เวลาถ่ายภาพนายกรัฐมนตรีก็ถ่ายครึ่งตัว ฉากหลังเป็นสีฟ้าหาภาพดี ๆ ไม่ได้ ทำไมไม่ใช้จิตรกรวาดภาพนายกฯ ให้ครบทุกท่าน นี่แค่ภาพครูใหญ่โรงเรียนเก่าของผมยังหาได้ไม่ครบเลย
สถานการณ์ของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขนาดเล็กหรือพิพิธภัณฑ์ในวัดเป็นอย่างไร
กรณีพิพิธภัณฑ์ในวัด วัดต้องใช้ลูกศิษย์ช่วยดูแล แต่หาคนสนใจยาก บางวัดปล่อยทิ้งจนฝุ่นเกาะ หลายวัดมีเงินมากแต่เอาเงินไปสร้างห้องน้ำอลังการจนเกินเหตุ ไม่มีความสมดุลเลย หลายวัดก็ไม่ทำประวัติตัวเอง ยังใช้ข้อมูลกรมการศาสนาในยุคที่ทำแบบฟอร์มให้วัดกรอกว่าสร้างเมื่อไร ก็เขียนลงไปทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ข้อมูลคลาดเคลื่อนมาก นักวิชาการก็ไม่ได้สนใจช่วยสืบค้น จำได้ว่าทศวรรษ ๒๕๒๐ วงการคติชนวิทยาเฟื่องฟู มีครูบาอาจารย์ลงไปช่วยวัดอยู่บ้าง แต่ภายหลังก็เงียบ เรื่องนี้เป็นปัญหามานาน เราไม่มีปูมวัด ปูมโรงเรียน สมัยก่อนครูใหญ่จะเขียนเรื่องของโรงเรียนบันทึกเก็บไว้ ลายมือสวยมาก แต่คนยุคต่อมาเอาไปทิ้งกันหมด ทุกวันนี้ถ้ากูเกิลข้อมูลวัดก็ได้แค่ว่ามีพระเกจิอาจารย์องค์ไหน เป็นพุทธพาณิชย์หมด
ชีวิตประจำวันของ เอนก นาวิกมูล ในปี ๒๕๖๘
ไม่นับงานดูแลบ้านพิพิธภัณฑ์ ทุกวันนี้ผมกินนอนที่ตึกส่วนตัวใกล้บ้าน ๑ ตื่นก็เปิดมือถือดูโซเชียลมีเดีย ๐๗.๐๐-๐๙.๐๐ น. เดินออกกำลัง เขียนเฟซบุ๊กจนถึงเที่ยง ตกบ่ายขับรถไปดูทุ่งนา ผมชอบอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เป็นอำเภอเล็กน่ารัก มีคลองมะสง คลองพระพิมล ไปนั่งหลับในสวนสาธารณะ เดินเลียบคลอง ดูต้นไม้ ดูสวนผัก บ้านเรือนผู้คน ดูเด็กนักเรียนเดินผ่านสถานีตำรวจเก่า สบายตาสบายใจ นึกถึงสมัยเด็ก ผมซาบซึ้งกับสีเขียวของต้นไม้ ตกเย็นฟ้าก็สวยมาก อีกที่ก็ตำบลรางกระทุ่ม อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม มีทุ่งนากว้าง บางทีผมก็ไปดูพิพิธภัณฑ์เมืองต่าง ๆ ผมไปดูจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยเรียน ถ่ายภาพไว้ก่อนจะเสียหายโดนทำลาย อย่างวัดขนอนเหนือ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีจิตรกรรมฝาผนัง รูปฝรั่ง ตอนนี้โดนน้ำท่วม กะเทาะจนจะหายไปแล้ว ช่วงค่ำก็กลับบ้าน เขียนหนังสือต่อ
ภาคที่ ๒
บทสนทนากับ
วรรณา นาวิกมูล
อยากให้อาจารย์วรรณาเล่าชีวิตวัยเด็ก
เราเกิดในสวนแถวคลองบางแวก ฝั่งธนบุรี ชีวิตก็ลำเค็ญไปตามประสา แม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เก่งมาก เก็บลูกผักตามแปลงที่เขาให้ถอนทิ้งมาลงเรือแล้วพายไปเร่ขาย เอาเรานอนตัก เอาหมวกวางกันแดด เคยมีบ้านของทวดในคลองบางแวกด้วย ปิดเทอมแม่เอาเราไปปล่อยในสวนจึงคุ้นกับตลาดน้ำมาแต่เด็ก
สมัยเด็กแม่บอกว่าไม่มีอะไรจะให้ ลูกต้องเรียน เรานี่ได้ดังใจแม่เพราะชอบไปโรงเรียนมาก ไม่เคยขาด ไม่เคยสาย ไม่เคยลา ไปโรงเรียนแต่เช้าเพราะอยากเล่นชิงช้า อยู่จนโรงเรียนเลิกก็เดินกลับ
สมัยประถมฯ เรียนโรงเรียนเขียนนิวาสน์ บ้านอยู่ตรอกไก่แจ้ ก็เดินไปโรงเรียนได้ แม่ไปขายลอตเตอรี่แถวราชดำเนิน เราก็ตามแม่ไปวิ่งเล่นอยู่แถวกองสลาก ตรอกข้าวสารเดินจนทะลุ เรียนจนจบ ป. ๗ แม่ตัดสินใจให้ไปสอบเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา พอเข้าสตรีวิทยาก็ย้ายบ้านไปท่าพระจันทร์ แล้วย้ายไปฝั่งธนบุรี ก็ต้องนั่งรถประจำทาง จำได้ว่ารถเมล์เบรกจนเราที่นั่งเบาะหลังสุดพุ่งไปข้างหน้า แข่งกับกระป๋องที่ไหลจากข้างหลังว่าใครจะไปถึงหน้ารถก่อนจนเราจับเสาหลังคนขับได้ (หัวเราะ) สรุปคือเราเป็นเด็กถนนราชดำเนินมานาน นั่งสามล้อถีบ สามล้อเครื่อง แท็กซี่รุ่นรถเป็นสีเทา นั่งมาหมดแล้ว
ปี ๒๕๑๒ เลือกสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ เพราะสมัยนั้นเขาว่าถ้าเรียนเก่งต้องเข้าอักษรฯ ใฝ่ฝันอยากเป็นครูก็เลือกคณะอักษรฯ ไว้ก่อน เลือกอย่างอื่นครูจะดุ ส่วนคณะรัฐศาสตร์ที่เอนกเรียนเราไม่สนใจเลย เพราะต้องสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่เกลียดมาก แต่พอรุ่นเอนก (ปี ๒๕๑๕) น่าจะไม่ต้องสอบแล้ว และด้วยชอบแต่งกลอนก็ไปเข้าชมรมวรรณศิลป์ แต่งกลอนมาตั้งแต่โรงเรียนสตรีวิทยา เวลามีเทศกาลงานบวช งานโกนจุก ครูจะเอาตัวไปช่วย เรื่องนี้คงได้จากคุณแม่ที่ชอบพูดเป็นกลอน “การกินการอยู่ใครไม่สู้แม่ การตอหลดตอแหลแม่ไม่สู้ใคร” หรือ “ไม่ใช่ชาติใช่เชื้อ ถ้าแม้เอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้ออาตมาถึงเป็นชาติเป็นเชื้อ ถ้าไม่เอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้อหมา” แม่จะเป็นคนแนวนี้
รู้จักกับ เอนก นาวิกมูล ได้อย่างไร
รู้จักตอนเรียนปี ๔ ที่ชมรมวรรณศิลป์ เอนกอยู่ปี ๑ คณะรัฐศาสตร์ เราเป็นนักกลอนรุ่นพี่ ถ้านับรุ่นก็คือ CU12 อเนก CU15 สมัยนั้นเอนกแต่งตัวประหลาด ใส่เสื้อเชิ้ต ที่ตัดปกคอออก แรกรู้จักคือเธอผอม อดมื้อกินมื้อ มีเงินก็เอาไปซื้อฟิล์มถ่ายรูป ซื้อเทปคาสเซตเอาไปบันทึกเสียงพ่อเพลงแม่เพลง น่าเวทนา ตอนนั้นพวกวรรณศิลป์เฮ ไปไหนไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ มาคบกันจริงจังตอนหลังไปเรียนต่างประเทศจบกลับเมืองไทยแล้ว ที่แซวเอนกกันว่า “ขุนวิบากบริโภค” (กินยาก) นี่มาเห็นตอนไปภาคสนามด้วยกันหลังแต่งงานแล้ว
ครั้งหนึ่งเป็นเทศกาลออกพรรษา ที่บ้านครูสมปอง อัครวงษ์ (ผู้เชี่ยวชาญจิตรกรรมไทย) ชาวบ้านทำขนมจีนแผ่ไว้ในกระด้ง เอาผ้าขาวบางคลุม ทำน้ำยาหม้อใหญ่ กินกันหลายมื้อ เรากินง่ายก็ไม่มีปัญหา แต่เอนกบอกเพื่อนว่าช่วยพกเนื้อแดดเดียวไปเผื่อเขาด้วย จะเอาไว้แทะ เพราะเขาไม่กินอาหารบ้านใครอยู่แล้ว เจอเขาทำต้มเปรตปูไว้ต้อนรับอีก เอนกก็ไม่ยอมกินเลย กินข้าวสามคำแล้วแทะเนื้อ ตกหัวค่ำทนหิวไม่ไหวก็ขอเข้าตลาดไปกินบะหมี่ เราถึงรู้ว่าเอนกกินยาก
อีกครั้งที่บ้านน้าบัวผัน แกทอดไข่ดาว เพราะรู้ว่าเอนกไม่กินกับข้าวอื่น ปรากฏว่าเอนกไม่กินไข่เป็ด มันคาว จริง ๆ ที่สงขลามี “ไข่ครอบ” ทำจากไข่เป็ด เหมือนไข่เค็มแดดเดียว เอนกเคยชอบ แต่ตอนหลังเกิดอาการไม่กินไข่เป็ด สรุปเขาเอามาม่าแห้งไปแทะกิน มีหนหนึ่งตอนจัดของในบ้าน ๑ อยู่กันดึกมาก ต้องตระเวนส่งคนที่ไปช่วยจัดของ หิวกันไส้จะขาด เวียนรถกัน ๑๕ รอบ เพราะเอนกเลือกร้านไม่ได้ ช่วงดึกมีแต่รถเข็น สรุปจบที่ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ลูกชิ้นน้ำใส แต่ทุกคนต้องหิ้วท้องรอให้เอนกเจอร้านที่กินได้ ตอนหลังพอเขาถามว่าวันนี้จะกินอะไรกันดี เลยตอบว่าเธอจะกินอะไรบอกมาเลยดีกว่า ถ้าเธอกินได้ เรากินไม่ได้ ก็แยกกันไปกิน นี่ปรกติ (หัวเราะ) แต่บางทีเขาก็ยอมตามมติมหาชนเหมือนกัน
ฝืนไหมกับการไปดูวัด ไปตามพ่อเพลงแม่เพลงกับเอนก
สิ่งแรกที่เอนกจับคือเพลงพื้นบ้าน คุณแม่เราก็เป็นแฟนเพลงพื้นบ้าน ชอบฟังลำตัด ลิเก ดูหนัง ตัวเราเองก็ไม่ใช่สายเที่ยว พอกลับจากต่างประเทศเจอเอนก เอนกก็ชวนไปสำรวจวัด ถ้าเที่ยวกับเอนกก็วัดนี่แหละ การดูลิเก ฟังเพลงพื้นบ้าน ทำให้ได้ปฏิภาณไหวพริบ เอนกไปดูเราก็ไป ชอบ ไม่ได้ฝืนใจหรือรู้สึกว่าเอาใจผู้ชายคนหนึ่ง เราอาจจะรู้สึกเอ็นดูเขาตอนหลัง เพราะเขาบ้าจริง เดินท่อม ๆ ไปตามวัด เป็นยุคที่เครื่องเล่นเทปคาสเซตเพิ่งเข้ามา แม่ก็เพิ่งซื้อให้ ใส่เทปไปก็อัดเสียงได้ ก็หิ้วกันขึ้นรถประจำทางหนักมาก บางทีไปนั่งกันที่สนามหญ้าหน้าคณะบัญชี สมัยนั้นคนชมรมวรรณศิลป์ที่เรียนจบแล้วยังกลับมาที่ชมรม ศูนย์กลางของทุกคนก็คือพี่อี๊ด (ชมัยพร แสงกระจ่าง) เพราะทำกลุ่มวรรณกรรมพินิจ พวกเรามักจะไปรวมตัวที่บ้านพี่อี๊ดในซอยวัดพระยาไกร ตอนหลังแกแต่งงานย้ายไปอยู่หมู่บ้านนักกีฬา ย่านรามคำแหง ไกลมาก แต่พวกเราก็ดั้นด้นไปกันอีก ทุกวันนี้ก็ยังคงมีไลน์กลุ่มคุยกัน คนไหนไปต่างประเทศ ไปอยู่ไกล เวลากลับมา กทม. ก็จะนัดเจอกัน
“ในเมืองไทยทุกวันนี้มีพิพิธภัณฑ์
หลากหลายและมากขึ้น น่าเสียดายว่าอาจเหมือนสถานการณ์ ร้านกาแฟ คือเปิดเยอะ แต่ไม่มีใครแน่ใจเรื่องความยั่งยืน”
สมัยเรียน อาจารย์ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ บ้างไหม
สมัยเรียนจบปริญญาตรีแล้ว กำลังเรียนต่อปริญญาโทที่เดิม บ้านอยู่ใกล้ศาลเจ้าพ่อเสือ จำได้ว่าตั้งใจจะไปร่วมขบวนประท้วงตอนเขาอยู่ที่ธรรมศาสตร์แต่ก็ไปไม่ได้ วันที่ ๑๔ ตุลาคม แม่ไปไหว้หลวงพ่อโสธร เลยไม่มีใครมาห้าม ไปนั่งอยู่ที่ตีนบันไดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เดินไปตามถนนราชดำเนิน ขบวนมุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาล พอถึงสนามมวยราชดำเนิน ข้างหน้าบอกว่ารัฐบาลยอมแล้ว สลายตัวได้ ก็กลับบ้าน แม่กลับจากไหว้พระ บอกว่าถนนปิดหมด เหนื่อยมากกว่าจะเข้ามาถึง เราก็อาบน้ำแต่งตัวคิดว่าจะออกไปอีกครั้ง เจอแม่เอาเก้าอี้มาวางนอนปิดประตูหน้าบ้าน บอกว่าจะไปต้องข้ามศพฉันไปก่อน ตอนกลางคืนได้ยินเสียงปราศรัยของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กับ เสาวนีย์ ลิมมานนท์ ลอยมา เลยได้แต่โทรศัพท์หาเพื่อนกันจนสายแทบไหม้ นอนร้องไห้กันไป คืนนั้นมีข่าวลือเยอะมาก (ว่าแกนนำถูกจับถูกยิง) แม่บอกว่าเราอยู่เมืองไทยก็คงเหลวไหล ไปเรียนต่างประเทศเถอะ แม่ยอมส่งให้ เราก็สงสารแม่ พยายามประหยัดและโอนหน่วยกิตไปใช้ที่นั่นได้หลายวิชา พอช่วง ๖ ตุลาฯ เราเลยอยู่ต่างประเทศแล้ว ก็ยังได้ร้องไห้อีกเพราะเพื่อนโดนจับหลายคน
กลับเมืองไทยปีไหน
ประมาณปี ๒๕๒๐-๒๕๒๑ กลับมาแล้วก็ยังไม่ได้ทำงานทันที ไปช่วยงานครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ที่ทำงานในสลัมคลองเตย ตอนนั้นครูประทีปดังมาก รับบริจาคจักรเย็บผ้าเอาไปให้คนในชุมชนใช้ประกอบอาชีพ เราก็เข้าไปช่วยเขาสอน ปรากฏว่าคนที่มาเรียนเป็นเด็กในชุมชนทั้งนั้น สมัยนั้นไปชุมชนคลองเตยยากมาก ต้องนั่งรถประจำทางสาย ๔๗ แล้วไปต่อรถสองแถว แล้วก็ต้องเดินต่ออีกจนถึงบ้านครูประทีป
งานแต่งงานของเอนกกับวรรณาเป็นอย่างไร
ตอนตกลงแต่งงานกัน เอนกก็พาไปเปิดตัวบ้านเขาที่สงขลา วิบากกรรมมาก จองตู้นอนรถไฟ ปรากฏว่าตกรถ ต้องคืนตั๋ว แต่ไม่อยากเสียแผนเลยซื้อตั๋วใหม่ได้ตู้แบบธรรมดา ต้องยืนตลอด พอผ่านสถานีเพชรบุรี มีคนขึ้นมาเขาน่าจะเชี่ยวชาญ ถือหนังสือพิมพ์เป็นเล่ม ๆ มาแจกให้คนอื่นปูนั่ง เราก็นอนกันบนพื้น เอาปลายเท้าสอดใต้ที่นั่ง ตั้งแต่นั้นมาเอนกเลยปวดหลัง บางทีต้องใส่เครื่องพยุงหลัง ยิ่งอายุสูงขึ้นอาการก็มากขึ้น ตัดไปที่วันสู่ขอ ขบวนขันหมากมีแม่เพลงไปด้วย สนุกมาก ต้นเสียงมียายทองหล่อ ยายทองอยู่ ป้าชื้น ในซอยเพชรเกษม ๔๘ บ้านเรายังมีที่ดินมรดกแม่ เป็นสวนส้มเก่า มีกอกล้วยขึ้น พอขบวนไปหน้าบ้านเพื่อนเจ้าบ่าววิ่งไปตัดต้นกล้วยมาเข้าขบวน ยายทองหล่อ ป้าชื้นเห็นก็ทักว่าไปตัดแบบนั้นได้ยังไง เดี๋ยวจะไม่มีลูก มารู้ทีหลังว่าเอนกแอบทุกข์ใจ พอมีลูกแล้วถึงมาบอกว่ากลัวมาหลายปี
ตอนสู่ขอ แม่เรียกสินสอดเอนกเป็นทองแค่บาทเดียว พี่สาวเอนกจะไปซื้อให้ เราบอกว่าชอบใส่กำไล พี่สาวเอนกบอกว่ากำไลสองวงยังหนักไม่ถึง ๑ บาท เลยแถมสร้อยทองให้อีกเส้นหนึ่ง พอส่งตัวแม่ห่วงลูกสาวมาก บอกกับลูกเขยว่าหนักนิดเบาหน่อยอภัยกันนะลูก แม่รู้ว่าลูกสาวขี้วีน วันที่เอนกย้ายบ้านมาอยู่ด้วยกัน คุณแม่เห็นลูกเขยก็อุทานว่าดีที่ลงเสาเข็มแน่นหนา เพราะรถหกล้อขนของมามีแต่หนังสือกับชั้นหนังสือ ไม่มีสมบัติอย่างอื่น เรื่องหนึ่งที่คุณแม่เราเสียใจมากคือเอนกไม่กินอาหารที่ท่านทำ เพราะแม่ภูมิใจฝีมือทำอาหารมาก เราก็ปลอบว่าอย่าเสียใจ แม่เอนกเองทำเขายังไม่กิน ยกเว้นภรรยา (หัวเราะ)
ช่วยเล่าที่มาของการสร้างบ้านพิพิธภัณฑ์แห่งแรก หรือบ้าน ๑ ที่ศาลาธรรมสพน์
เริ่มจากสมัยที่เอนกยังทำงานที่ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานผ่านฟ้า (ปี ๒๕๒๒-๒๕๔๕) สมัยนั้นมีกลุ่มคนคอเดียวกันที่นัดเจอกันเสมอคือ โดม สุขวงศ์, เจนภพ จบกระบวนวรรณ, สุกรี เจริญสุข, มนัส พูนผล อีกคนคือ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ โดมสายภาพยนตร์ เจนภพสายเพลงลูกทุ่ง สุกรีสายดนตรี มนัสอยู่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ พลาดิศัยสายประวัติศาสตร์ เอนกถามว่าทำไมเมืองไทยไม่มีพิพิธภัณฑ์เก็บของเก่าของชาวเมืองชาวตลาด ๕๐-๖๐ ปี ก็คุยกันว่าต้องเก็บของที่ไม่ “โบราณ” บ้าง ไม่อย่างนั้นจะสูญหายหมด ก็เริ่มจากจัดงาน “อวดของ” ทำเป็นซีรีส์เลย แต่ละครั้งก็มีธีม เช่น “คนเก่าหนังสือแก่” “เครื่องดนตรีเก่า” “ของเล่นไขลาน” ครั้งที่ดังมากคือ “อวดของ ๕๐๐ จำพวก” เพราะรายการ “ตามไปดู” มาถ่ายทำไปออกอากาศ
สมัยนั้นเวลารายการนี้หาวัตถุดิบ จะให้คนแจ้งเข้าไปแล้วมีรางวัลเป็นทองคำให้คนแจ้งหนึ่งเส้น ให้เจ้าของเรื่องอีกเส้น พอได้มาก็ไปขายเอาเงินมาทำนิทรรศการอื่น ๆ ต่อ เวลาจัดงานก็ต้องทำกันเอง เอาของมาวาง ช่วยกันพิมพ์คำบรรยาย นั่งพิมพ์ดีดกันตรงนั้น ตอนนั้นเราเริ่มสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว กลางวันสอนหนังสือ ตกเย็นไปที่ศูนย์สังคีตศิลป์ ทุกวันศุกร์ก็อยู่จนคนคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์ เคยมีคนมาบอกว่าห้องน้ำมีปัญหานะ เราก็ได้แต่ “ค่ะ” (หัวเราะ)
“ที่ทำมาขนาดนี้เหมือนคำสัญญาว่า เราจะไม่เป็นเด็กเล่นขายของ”
ตอนนั้นแบ่งเวลาอย่างไร เข้าใจว่าอาจารย์มีลูกแล้วด้วย
มันเป็นชีวิตอีกด้านหนึ่ง เวลาเอนกจัดงานเพลงพื้นบ้าน เชิญพ่อเพลงแม่เพลงมาแสดงในกรุงเทพฯ ก็ให้มานอนบ้านเรานี่แหละประหยัดดี คุณแม่ก็ชอบ สนุกไปด้วย ทำสำรับข้าวต้อนรับ นั่งคุย รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำ ตอนที่ยายทองอยู่ (ทองอยู่ รักษาพล) ได้รับพระราชทานโล่รางวัลศิลปินพื้นบ้านดีเด่น แม่นี่แหละหาผ้านุ่ง หาเสื้อ หารองเท้าให้ เพราะยายไม่ใส่รองเท้าหุ้มส้น แม่มีรองเท้าหุ้มส้นสวมง่าย ๆ ทำจากจีนก็จัดให้ ชุดเข้าเฝ้าฯ นี่ฝีมือแม่ เรื่องเอาลูกไปทำงานด้วยไม่เป็นปัญหากับเรา แต่อาจเป็นปัญหากับลูก (หัวเราะ) ตอนนั้นส้มจิ๊ด ส้มจุก เกิดแล้ว เวลาทำนิทรรศการต่าง ๆ สองคนนี้ยังโดนเอาไปเป็นตัวประกอบฉาก เช่น มีคนเอาตู้กับข้าวเก่ามาบริจาค เราก็เอาลูกสองคนไปนั่งเล่นให้คนถ่ายรูป
ชีวิตเป็นแบบนี้มาตลอด คือไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ แม่อยากให้ลูกสาวอยู่เรือน แต่เราชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่มัธยมฯ เป็นนักกีฬา ต้องซ้อม กลับบ้านค่ำ เรียน ม.ศ. ๕ ก็เป็นประธานสี เข้ามหาวิทยาลัยแม่นึกว่าจะลดลง ปรากฏว่าไม่ ปีแรกเป็นน้องใหม่ ปี ๒ ดูแลน้องใหม่ ต่อมาทำงานชมรม ไปเรียนต่างประเทศ กลับมาทำงาน ปรากฏว่ามันไม่เลิกกลับค่ำ แต่งงานมีลูกแล้วก็ยังไม่เลิกอีก (หัวเราะ)
ช่วงเตรียมเปิดบ้าน ๑ ระดมทุนอย่างไร
ตอนจะสร้างอาคาร เรามีเงินอยู่ราว ๕ แสนบาทจากการทำ “บัตรภาพ” ขาย สำนักพิมพ์สารคดีกับสำนักพิมพ์แสงแดดช่วยพิมพ์ให้เลยได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพ อาจารย์สุกรีบอกว่าจะมัวแต่รอเงินไม่ได้ ให้ทำเลย เราจึงเป็นหนี้จากการสร้างโกดัง สร้างอาคาร แต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากกัลยาณมิตรหลายคน คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันตั้งแต่เด็กสมัยบ้านอยู่ท่าพระจันทร์ วันหนึ่งเขาจะเลี้ยงข้าวเราบอกว่าขอเลี้ยงคืนบ้าง เพื่อนบอกว่าให้เธอเงินเดือนเท่าฉันสักครึ่งหนึ่งค่อยทำ เราถามว่าเงินเดือนเธอเท่าไร เขาบอกว่าแสนกว่าบาท เลยยอมให้เขาเลี้ยง ตอนนั้นเงินเริ่มจะหมดแล้ว กินข้าวก็ไม่มีความสุข พอเพื่อนรู้ก็หยิบสมุดเช็คขึ้นมาถามว่าเอาเท่าไร เขาให้ยืมเพราะรู้แน่ว่าเราเอาไปทำงาน ไม่ได้ใช้ส่วนตัว เขาบอกว่าทำงานแบบนี้ไม่ควรมีความทุกข์ หลังจากนั้นเขาก็จ่ายค่าก่อสร้างให้ผู้รับเหมาทุกงวด เป็นหนี้เพื่อนล้านกว่าบาท ใช้เวลาปีครึ่งถึงคืนเงินให้เขาได้ทั้งหมด
มีแนวคิดในการจัดวางของ จัดการพื้นที่ต่าง ๆ ของบ้าน ๑ อย่างไร
เราได้รับความช่วยเหลือจากคุณศรายุทธ พึ่งสุจริต มาออกแบบพื้นที่ให้ เขาน่ารักมาก แต่ไม่คุ้นเคยกับตลาด เอนกต้องส่งภาพตลาดไปให้ดู เขาขับรถไปดูตลาดเก่าด้วยก่อนจะออกแบบ ทำโมเดล หาผู้รับเหมา คุมงานให้ ทั้งหมดเขาทำให้ฟรี เราได้รับความช่วยเหลือลักษณะนี้จากกัลยาณมิตรเยอะมาก
เอนกบอกว่าแนวคิดคือตลาด แต่ข้าวของมีจำนวนมาก ถ้าเอาทั้งหมดใส่ตู้โชว์แล้วอธิบายคงไม่ได้ สถาน-การณ์ต่างกันมากกับการจัดนิทรรศการอวดของ ๕๐๐ จำพวก ต้องใช้วิธีเอาหนังสือมาทำเป็นร้านหนังสือ เอาของเล่นมาทำเป็นร้านของเล่น ร้านของเล่นจัดไว้ตรงทางเข้า เพราะสีสันโดดเด่น ทั้งหมดเป็นของที่เราคุ้นเคยมาแต่เด็ก กรณีร้านขายยา เรามีซองยา กล่องยา แต่ไม่มีตู้ยา มีแต่ตู้ทรงไทย ก็คิดว่าทำเป็นร้านยาแผนไทยดีไหม แต่ลองยกตู้มาวางก็ไม่ลงตัว ขัดใจมาก ก็ปรากฏว่ามีคนโทร. มาจากจังหวัดอุทัยธานี บอกว่ามีร้านยาจะเลิกกิจการ จะขายตู้ให้ พี่เอนกสนใจไหม ก็สนใจทันทีทั้งที่ยังไม่เห็น เอนกนั่งรถ บขส. ไปที่อุทัยธานีกับคุณนิรัติ หมานหมัด ไปจ้างแรงงานคนถีบสามล้อและรถสิบล้อที่นั่นขนตู้ยามา ได้เฟอร์นิเจอร์กับลังไม้ใส่สมุนไพรมาชุดใหญ่
วันเปิดบ้าน ๑ (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔) ลูกสาวซินแสร้านยามาร่วมงาน เอาป้ายชื่อร้านและภาพถ่ายของซินแสมาให้ด้วยเพราะเห็นว่าเราทำพิพิธภัณฑ์กันจริงจัง
ตรงนี้มีเรื่องเล่าเล็ก ๆ ว่าตอนกำลังจะเปิด บ้านตรงข้ามบ้านพิพิธภัณฑ์กำลังสร้าง คนงานเขามาคุยกับเราว่าบ้านอาจารย์นี่ดีนะ มีคนเฝ้าตลอด ไม่ต้องกลัวของหาย เพราะเขามองเห็นบนชั้น ๓ มีคนเดินไปมา เราก็ชอบนะดีเลย ไม่ต้องจ้าง รปภ. (หัวเราะ) แต่ส่วนตัวไม่เจออะไรเหนือธรรมชาติเลย ถ้ามีจริงก็คงมีหลายคนเพราะของมาจากหลายที่
พิธีเปิดทำง่าย ๆ เชิญอาจารย์วราภรณ์ สุรวดี เจ้าของบ้านที่ยกให้ กทม. ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก มาเป็นประธาน เราใช้เชือกมนิลาโยงผ่านหน้าประตูทางเข้า ใช้โบผูกปลายเชือกให้ติดกัน ตอนจะเปิดแค่กระตุกหางโบให้ปมที่ผูกไว้คลาย ไม่สิ้นเปลือง ไม่เสียของ อาจารย์วราภรณ์ น่ารักที่สุด เรียกเด็ก ๆ ที่มาร่วมงานกับพ่อแม่รวมทั้งเด็ก ๆ แถวบ้านพิพิธภัณฑ์ที่มาเมียงมอง ช่วยกันจับหางโบดึงเปิดทางให้ทุกคนเดินตามกันเข้าไปข้างใน
เปิดบ้าน ๑ แล้วได้รับความสนใจมากน้อยแค่ไหน
ปังมาก อาจเพราะเป็นแห่งแรกที่ทำพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับของแนวนี้จริงจัง คนมายืนรอราวกับรอห้างสรรพสินค้าเปิด เรามีกำลังคนน้อย เดินนำชมบางห้อง ที่เหลือให้เดินดูเอง แล้วมาขายของที่ระลึก ขนม หนังสือของเอนกกันไป แบ่งเวลาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มาช่วยตรงนี้ ชีวิตอาจารย์มหาวิทยาลัยยุคนั้นต่างกับยุคนี้ ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรที่ชอบได้ การจราจรก็ยังไม่ย่ำแย่ ไม่นับว่าตอนนั้นเราเป็นผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยด้วย
ช่วงที่คนเข้ามาก ๆ กินเวลากี่ปี
เปิดปี ๒๕๔๔ คนมามากจนถึงก่อนน้ำท่วมใหญ่ ปี ๒๕๕๔ ช่วงนั้นเราพยายามมีลูกเล่น เช่น พิมพ์บัตรเข้าชมเป็นสี่แบบ ออกแบบใหม่เรื่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นของสะสม ยุคนั้นยังไม่มีการเช็กอินในโลกออนไลน์ ดังนั้นคนจะบอกกันปากต่อปาก มีหนังสือพิมพ์ ทีวีมาทำข่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีเงินสนับสนุนรายการที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม ดังนั้นผู้ผลิตก็จะแห่กันมาหาเรา เราก็ได้ประชาสัมพันธ์ไปด้วย คนที่มาก็มีทั้งทำงานฉาบฉวยกับจริงจัง จำได้ว่าช่วงที่เราจัดของเตรียมเปิด บริษัทพาโนราม่า เวิลด์ไวด์ เขามาถ่ายทำเก็บไว้ ไม่แน่ใจว่าเขายังเก็บฟุตเทจเอาไว้หรือไม่
บ้านพิพิธภัณฑ์ ๑ มีจิตอาสามาช่วยงานเป็นประจำ รุ่นแรก เช่น คุณประยูร สงวนไทร กับภรรยาและลูกสาว คุณวิศิษฏ์ ฤกษ์ศิระทัย บางเสาร์-อาทิตย์ ส้มจุก ส้มจิ๊ด ก็ไปช่วยขายของที่ระลึก ตอนมีร้านกาแฟโบราณก็ขายดีมาก มีจิตอาสารุ่นใหม่มาเพิ่ม สิบปีแรกมีอุปสรรคไม่มาก มีเงินหมุนเวียน ช่วงนั้นงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติจัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เราก็จะไปออกบูทกับสำนักพิมพ์ต้นฉบับ เข้าใจว่าเป็นบูทแรกที่นำของที่ไม่ใช่หนังสือมาขายด้วย นอกจากหนังสือของเอนกที่พิมพ์กับหลายสำนักพิมพ์ เราขายสมุด โปสต์การ์ด บัตรภาพขายดิบขายดี ต้องมีกระเป๋าเงินคาดเอว แต่ตอนหลังเราเลิกเพราะเขาขึ้นค่าบูททำให้ได้กำไรน้อยจนไม่คุ้มกับค่าขนย้าย ค่ากิน ค่าเดินทาง
สถานการณ์ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔
เสียหายแค่ไหน
น้ำเข้าบ้าน ๑ เกินระดับหัวเข่า ตัวบ้านสูงกว่าถนน ๕๐ เซนติเมตร ปรากฏว่าน้ำท่วม ๑.๖๐ เมตร ท่วมนานความชื้นเลยเยอะมาก ช่องไทยพีบีเอสมาทำข่าวตอนเข้าไปเปิดบ้าน น้ำตาซึมเพราะรู้สึกว่าคงต้องบอกลาบ้าน ๑ แน่ เอนกกลายเป็นคนดัง เพราะเขาถอดเสื้อ ดำน้ำลงไปไขกุญแจประตูเลื่อน กลายเป็นภาพจำของคนดู ตอนหนีไปอยู่เพชรบุรี คนยังจำได้ว่าตาคนนี้ดำน้ำ (หัวเราะ) ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าบ้าน ๑ อาจต้องปิดตัว แต่ปรากฏว่ามีกำลังใจจากแฟนคลับเยอะ น้องคนหนึ่งขับรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากนครสวรรค์ลงมาช่วย เขาบอกว่ารู้วิธีดูแลของที่จมน้ำ บ้านเขาท่วมจนน้ำแห้งแล้วเลยลงมาช่วย น้องอีกคนที่วิจัยเกี่ยวกับจุลินทรีย์อีเอ็มก็มาช่วยเรื่องน้ำไม่ให้เน่า ผู้คนจากหลายสารทิศมาช่วยล้างข้าวของ เป็นความประทับใจไม่รู้ลืม ตอนนั้นเราทิ้งของที่หมดสภาพ เลยได้ปรับเรื่องการจัดแสดงไปในตัว ที่เสียดายคือหนังสือ “พล นิกร กิมหงวน” ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ราขึ้นต้องทิ้ง
ตอนนั้นบ้าน ๒ ที่งิ้วรายเป็นรูปเป็นร่างแค่ไหน
ที่ดินที่งิ้วรายซื้อช่วงปี ๒๕๕๑ มีคนช่วยออกค่าที่ครึ่งหนึ่ง เพราะบ้าน ๑ รองรับของไม่ไหวแล้ว และยังคงมีคนเอาของเก่ามาให้เรื่อย ๆ จะปฏิเสธก็ยาก บางคนเอาของมาวางไว้แล้วหายตัวไปเลยก็มี เราแทบไม่ได้มาดูที่ที่งิ้วราย เอนกเป็นตัวหลัก ตอนแรกสร้างไว้แค่ตึกเดียว ทำเป็นโกดังเก็บของ
ต่อมาคุณจรัญ หอมเทียนทอง บริจาคตู้คอนเทนเนอร์หกตู้ก็แปรสภาพเป็นโกดังเก็บของเพิ่ม เพราะเอนกแอบซื้อตู้โต๊ะรุ่นเก่าใส่ไว้อีกมากโดยที่เราไม่รู้ ช่วงน้ำท่วมปี ๕๔ ที่งิ้วรายก็ยังมีเท่านั้น
หลังน้ำท่วม สถานการณ์บ้านพิพิธภัณฑ์เป็นอย่างไร
หลังน้ำท่วม พอกลับมาเปิดบ้าน ๑ อีกครั้งก็มีคนมาแต่ไม่คึกคักแล้ว อาจเพราะมีแหล่งท่องเที่ยวคล้ายกันมากขึ้น แม้เน้นให้ถ่ายภาพแต่คนก็ชอบเช็กอินมากกว่า บางที่เขาก็ไม่เก็บเงิน แค่ซื้อน้ำก็เข้าไปได้ เอนกไปอยู่ตึกส่วนตัวติดกับบ้านพิพิธภัณฑ์ ๑ เพราะ ๘ โมงเช้าต้องเปิดประตูให้ช่างมาซ่อมของ ตกเย็นก็ต้องส่งช่างกลับ ทำแบบนี้ประหยัดเวลาและน้ำมันมากกว่าเดินทางไปกลับจากบ้านที่เพชรเกษม ๔๘ ทุกวัน และเขาคงชอบเพราะมีพื้นที่คลี่หนังสือมากขึ้น ก็เลยค่อย ๆ ย้ายหนังสือจากบ้านมาไว้ที่ตึกข้างบ้านพิพิธภัณฑ์ ๑ ซึ่งตอนนี้เป็น “บ้านศิลปินแห่งชาติ” พอช่วงโรคโควิดระบาดเราก็ปิด ๆ เปิด ๆ เอาแน่ไม่ได้ เลยถือโอกาสปิดปรับปรุงโครงสร้าง ย้ายของเอามาไว้ที่งิ้วราย
ตอนนี้ทั้งบ้าน ๑ กับบ้าน ๒ มีคนมาชมบ้าง แต่บางสัปดาห์เป็นศูนย์เลย ที่บ้าน ๑ เราไม่เก็บค่าเข้าผู้สูงอายุ ส่วนที่งิ้วรายผู้สูงอายุเราเก็บครึ่งเดียว เด็กเล็กไม่เก็บทั้งสองแห่ง
การจัดการสิ่งของต่าง ๆ ของเอนก มีแนวทางอย่างไรต่อไป
เอนกกำลังจัดการหนังสือหลายหมื่นเล่ม คอมพิวเตอร์สี่เครื่อง หน่วยเก็บข้อมูลอีกหนึ่งทาวเวอร์ บ้านที่ซอยเพชรเกษม ๔๘ รับไม่ไหวแล้ว แทบจะกินข้าวดูทีวีกันในห้องสมุด เพราะมีหนังสือเต็มบ้าน ลูกก็บอกว่าถ้าพ่อไม่จัดการแล้วเป็นอะไรไปเขาจะไม่รู้เลยว่าอันไหนต้องจัดการอย่างไร อะไรถ่ายเทได้ให้พ่อทำเลย ซึ่งเราก็แอบเห็นด้วย
ตำแหน่งศิลปินแห่งชาติของเอนกสำหรับครอบครัวเป็นอย่างไร มีส่วนช่วยงานแค่ไหน
ทำให้เอนกทุกข์กังวลน้อยลง เพราะทุกวันนี้การเขียนหนังสือไม่ใช่อาชีพที่จะพึ่งได้ โดยเฉพาะสำหรับสายสารคดี คนซื้อน้อยลงมาก เมื่อก่อนออกหนังสือปีละหลายปก เดี๋ยวนี้กว่าจะออกสักปกยาก ตลาดหนังสือเปลี่ยน คนอ่านเปลี่ยน สวัสดิการของศิลปินแห่งชาติมาช่วยลดความเสี่ยงเรื่องไม่มีเงินใช้ สมัยทำงานศูนย์สังคีตศิลป์เขาก็ไม่ได้มีเงินเดือนมาก เป็นแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดา พนักงานธนาคารหน้าเคาน์เตอร์ยังได้เงินเดือนมากกว่า เวลาป่วยไข้บางทีก็เบิกผ่านเราที่เป็นข้าราชการ พอเป็นศิลปินแห่งชาติก็มีสนับสนุนตรงนี้ แม้ว่าบางเรื่องต้องเขียนโครงการ แต่ถือว่ามีช่องทางให้พิมพ์ต้นฉบับบางเล่มได้ ตำแหน่งนี้ไม่ได้ดึงเงินทุนเข้ามา มีแต่น้ำใจของคนที่มาช่วย
ตอนนี้ความกังวลหลักคืออะไร
กังวลว่าเราจะไปต่อยังไง ค่าใช้จ่ายการดำเนินการบ้านสองแห่งมาจากการระดมทุน ขายของ ตอนนี้ก็ร่อยหรอลงมาก เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง เงินเดือนจ้างผู้ดูแลประจำบ้าน ๒ คือคุณวิโรจน์ ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณงาน เอนกเพิ่มให้อีกส่วนจากเงินเดือนของเขา ส่วนใหญ่เงินเดือนวิโรจน์ได้มาจากรายรับบ้าน ๑ ถ้ามีงานนอกเวลาเราก็ต้องให้ค่าล่วงเวลา เราไม่คิดว่าตัวเราลำบากแล้วต้องทำให้เขาลำบากด้วย เพราะเขาก็มีครอบครัวต้องดูแล เอนกทำใจแล้วว่าถ้า “เงินรองรัง” หมดก็เข้าเนื้อเขาแล้ว มีหันมาถามนะว่าเข้าหุ้นกันไหม เราก็ตอบว่าทุกวันนี้เข้าหุ้นกันอยู่หรือเปล่า (หัวเราะ)
หลายสิบปีที่ผ่านมา มองว่าที่เอนกลงแรงไป ถือว่าได้ผลที่ต้องการหรือยัง
ในเมืองไทยทุกวันนี้มีพิพิธภัณฑ์หลากหลายและมากขึ้น น่าเสียดายว่าอาจเหมือนสถานการณ์ร้านกาแฟ คือเปิดเยอะ แต่ไม่มีใครแน่ใจเรื่องความยั่งยืน งานที่เอนกทำไม่มีคำว่าคุ้ม มันไม่เคยคุ้มอยู่แล้ว เอนกจะไปดูทุ่งนาก็คงไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ เราไม่เคยว่าเขาว่ากำลังทำอะไร แค่ถามว่าไปซื้อของมาเพิ่มอีกทำไม ไม่ว่าเรื่องทำไมต้องเปิดบ้าน ๒ เราแค่เกรงใจทุกคนที่มาช่วยเรามาก ๆ บางทีพูดขำ ๆ ว่าเพื่อนคณะอักษรฯ ฉันเป็นเมียทูตนะ แต่ฉันเป็นภรรยานักเก็บกระป๋อง (หัวเราะ)
เราทำทุกอย่างด้วยความสมัครใจ เพราะมันมีคุณค่า ทำได้ถึงบัดนี้ก็นับว่าเกินกว่าที่เคยคิดแล้ว
มองอนาคตของบ้านพิพิธภัณฑ์อย่างไร
คนที่เอาของมาให้หลายท่านก็อายุมาก เอนกปีนี้ ๗๒ แล้ว แต่ยังมีคนเชื่อมั่นในบ้านพิพิธภัณฑ์โดยเอนก-วรรณาอยู่ มันเลยไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือสมบัติส่วนตัว
ลูก ๆ เขาว่า เขาไม่ได้มีกัลยาณมิตรแบบที่พ่อแม่มีคนรุ่นเขามีวิถีชีวิตที่ต่างกับคนรุ่นเรา ถ้าเขาจะไม่รับช่วงต่อก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำไม่ดี เพียงแต่เขาก็อยากมีชีวิตแบบของเขาเอง
ตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าใครจะสืบทอด ใจคืออยากให้มีคนมารับช่วงและมีใจเดียวกับเรา อุทิศตัวและเวลาให้ได้แต่บทเรียนก็คือมีมูลนิธิหลายแห่งก็ปิดตัวลงหลังจากคนหมดแรง การขึ้นทะเบียนเป็นวิสาหกิจสังคมก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีผู้รู้ให้คำแนะนำไว้ ต้องฟันฝ่ากันต่อไป
จนถึงตอนนี้ หวังการสนับสนุนจากภาครัฐหรือไม่
ไม่หวัง เพราะกระทั่งพิพิธภัณฑ์ของภาครัฐเองก็ยังไม่ได้รับการสนับสนุนมากพอ แล้วรัฐจะช่วยคนอื่นได้อย่างไร ยังไม่นับว่าชอบจัดงานอีเวนต์ จุดพลุแล้วหายไป ไม่ลงทุนอะไรที่ยั่งยืน แค่คนในตำแหน่งตอนนั้นได้เอาหน้าออกสื่อ โปรโมตตัวเอง มากกว่าทำให้ศิลปวัฒนธรรมงอกงาม ใช้เงินเยอะมาก ถ้าเรามีเงินขนาดนั้นคงทำอะไรได้ดีกว่านี้
อยากบอกอะไรกับแฟนคลับบ้านพิพิธภัณฑ์
ถ้าเห็นว่ามีคุณค่า กรุณาบอกต่อ เรื่องบริจาคสิ่งของขอพักก่อน เงินบริจาคได้ (หัวเราะ) ช่วยให้กำลังใจพิพิธภัณฑ์แห่งอื่นด้วย อย่าคิดว่าไปพิพิธภัณฑ์ต้องเข้าฟรี มีหนหนึ่งคนมาแง้มประตูถามว่าเสียค่าเข้าชมไหม เราว่าค่ะ (๔๐ บาท) เขาบอกไปไหว้พระไม่เห็นเสียเงินเลย เราก็งงมาก เพราะไม่ได้เอาเงินเข้ากระเป๋า แต่เอามาบำรุงรักษาบ้านพิพิธภัณฑ์ให้ดำรงคงอยู่เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวของปู่ย่าตายายสำหรับลูกหลานในวันข้างหน้า
ขอบพระคุณและขอบคุณทุกท่านค่ะ