พุทธพาณิชย์
เรื่องที่สังคมไทย
ไม่ค่อย ตั้งคำถาม
อมราพร แผ่นดินทอง
ผู้เขียนบทซีรีส์ สาธุ
INTERVIEW
สัมภาษณ์และเรียบเรียง : ธัชชัย วงศ์กิจรุ่งเรือง
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
เหล่านี้คือบางส่วนของข่าวรายวันอื้อฉาวในแวดวงพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นเฉพาะปีนี้ ซึ่งล้วนพัวพันกับการทำธุรกิจ ผลประโยชน์ และแสวงหารายได้จำนวนมหาศาลจากพุทธศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ ที่เรียกรวม ๆ ว่าพุทธพาณิชย์ ซึ่งปรากฏในสังคมไทยจนเราคุ้นชินแต่มักไม่ค่อยหยิบยกมาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
สาธุ (ปี ๒๕๖๗) ผลงานสร้างของบริษัทจอยลัคคลับ ฟิล์มเฮาส์ และดีลักซ์ โปรดักชั่น กำกับโดย วรรธนพงศ์ วงศ์วรรณ แพร่ภาพทางบริการสตรีมมิง Netflix อาจนับเป็นงานแรก ๆ ที่สื่อในรูปแบบซีรีส์โทรทัศน์ของไทยสะท้อนประเด็นวิพากษ์ปัญหาดังกล่าว หลังจากในอดีตเมื่อนำเสนอเรื่องของวัดและพุทธศาสนาในแง่ลบก็มักถูกเซนเซอร์อยู่บ่อยครั้ง
ซีรีส์ว่าด้วยเรื่องกลุ่มคนรุ่นใหม่สามคนร่วมทำธุรกิจเกมออนไลน์ แต่กลับโดนโกงเป็นหนี้ก้อนโตที่ต้องรีบชดใช้ ทำให้เขามองหาลู่ทางสร้างรายได้จากวัดภุมราม โดยอาศัยความสามารถของแต่ละคนพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งเงินมหาศาล...ซึ่งได้รับผลตอบรับทั้งยอดผู้ชมทางสตรีมมิง และการแสดงความเห็นหลากหลายบนโลกออนไลน์ จน Netflix ประกาศสร้างซีซั่น ๒
อัม-อมราพร แผ่นดินทอง หนึ่งในคนเขียนบทซีรีส์นี้ ที่มีผลงานประสบความสำเร็จอย่าง แฟนฉัน (ปี ๒๕๔๖), Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (ปี ๒๕๔๙) และ บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้) (ปี ๒๕๕๓) จะบอกเล่าถึงการเลือกประเด็นพุทธพาณิชย์มานำเสนอซึ่งต่างจากผลงานในอดีต
จุดเริ่มต้นของเรื่อง สาธุ
มีที่มาอย่างไร
ไอเดียมาจากผู้กำกับคือคุณแจ๊ค-วรรธนพงศ์ วงศ์วรรณ เป็นคนคิดพล็อต แล้วเขียนเรื่องย่อประมาณ ๑๑ ตอน นำไปขายไอเดียกับ Netflix แต่คุณแจ๊คเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ไม่เคยทำหนังหรือซีรีส์ Netflix ต้องการคนที่มีประสบการณ์ทำงานบทซีรีส์ก็เลยติดต่อให้เราเป็นส่วนหนึ่งของทีมเขียนบท
จากที่คุยกับผู้กำกับ เขาเติบโตมาที่อุบลราชธานี แล้วเห็นความแตกต่างของวัดที่นั่น ซึ่งมีทั้งวัดที่มีเงินมหาศาล หลวงพ่อนั่งรถ Alphard กับวัดหนองป่าพง ที่เป็นอีกแนวหนึ่ง เลยตั้งคำถามว่าพุทธศาสนาคืออะไรแน่ โดยทีมบทก็จะมีผู้กำกับ อัมซึ่งถือเป็นซีเนียร์ แล้วน้อง ๆ อีกสามสี่คนจะมา brainstorm แลกเปลี่ยนไอเดียกัน คุยในประเด็นที่เราสนใจ เพื่อใส่เรื่อง ใส่ตัวละครเข้าไป
ทำไมตั้งชื่อซีรีส์ว่า สาธุ
ที่แปลว่า ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว
อันนี้เป็นชื่อที่เรียกตั้งแต่ตอนเราพัฒนาบท เพราะจำง่าย ติดหู และได้ยินบ่อย ๆ ผู้กำกับก็อยากได้ชื่อนี้ แต่ไม่ได้ตีความลึกซึ้งว่าความหมายนั้นตรงข้ามกับเรื่องที่มันเทา ๆ พอพูดคำว่าสาธุ คนจะนึกถึงวัด เป็นคีย์เวิร์ดโยงไปถึงเรื่องที่เรากำลังทำ
ดูจากผลงานที่ผ่านมาของคุณอมราพรดูเหมือนไม่เคยเขียนบทประเด็นศาสนามาก่อน ทำไมตัดสินใจทำ
จริง ๆ ประเด็นที่เราทำก็วาไรตี้อยู่แล้ว ไม่ได้เน้นเรื่องใดเป็นพิเศษ มีทั้งความรักวัยรุ่น ดราม่าครอบครัว ซึ่งประเด็นสังคมอาจไม่เข้มข้นนัก แต่เรื่องศาสนาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่เราไม่เคยหยิบขึ้นมาคุยมากกว่า ตอนแรกเราติดงานเรื่อง Analog Squad (ปี ๒๕๖๖) แล้วทีมโปรดิวเซอร์ให้ช่วยแนะนำคนที่สนใจ แต่พออ่านเรื่องย่อ เฮ้ย ! เราอยากทำ รู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนขนตาที่ติดอยู่ตรงนี้มาตลอด (ชี้ที่ตา) แต่ไม่เคยมีใครตั้งคำถามถึง พล็อตไอเดียแรกที่คุณแจ๊คทำไว้มันสนุก ซึ่งน้อยมากที่เราเจอไอเดียแล้วจะอาสาทำกับคนที่เราไม่รู้จัก เราถูกใจประเด็น เนื้อหาที่เขาอยากพูด รวมถึงทัศนคติของเรื่อง อีกส่วนที่ทำให้เรื่องนี้มีปัญหาน้อยเพราะผู้กำกับไม่มีเจตนาถากถาง เยาะเย้ย เสียดสีในน้ำเสียงของการเล่าเรื่อง สำหรับคนที่เชื่อไม่เหมือนเรา เราอาจตั้งคำถามขึ้นมาแต่ก็บาลานซ์ทั้งสองฝ่าย ต่อให้คนที่ดูงมงาย หรือติดอยู่ในวังวนพุทธพาณิชย์ เช่นการบริจาค เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่คนที่ไม่เชื่อและใช้สิ่งนี้ทำธุรกิจ เขาก็มีเหตุผลเช่นกัน คือทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตนเอง ซึ่งคนดูจะเป็นคนตัดสินใจเอง หลายครั้งเลยผู้กำกับพูดว่าเราแค่ตั้งคำถาม นั่นก็คือหลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับความเชื่อ ๑๐ ข้อที่พระองค์สอนให้เราทบทวนตัวเองก่อนตัดสินใจเชื่อ ซึ่งเราไม่ได้เป็นปฏิปักษ์นะ แต่หน้าตาของมันดูเหมือนเช่นนั้นเพื่อเรียกแขกให้คนมาดู
เดิมหนังที่มีประเด็นศาสนามักถูกเซนเซอร์โดยผู้พิจารณาตรวจสอบของไทย ทั้ง แสงศตวรรษ หรือ นาคปรก ซีรีส์นี้มีปัญหาไหม
เท่าที่ทราบ Netf lix อาจมีอิสระกว่า เพราะเป็นบริษัทต่างชาติ กฎหมายไม่ครอบคลุม เราไม่ต้องส่งไปให้หน่วยงานอย่าง กบว. หรือ กสทช. ตรวจสอบ ก็จะสะดวกขึ้นในการริเริ่มทำสิ่งที่ออกนอกกรอบบ้าง หรือต่อให้มีเซนเซอร์เรื่องนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะเราไม่ได้ตั้งคำถามกับแก่นหลักธรรมคำสอน แต่มุ่งไปที่คำว่า “พุทธพาณิชย์” มากกว่า ซึ่งแทบจะเป็นศัตรูของพุทธศาสนาด้วยซ้ำ ความจริงหน่วยงานด้านนี้ควรสนับสนุนเรา ผู้กำกับเองก็กังวลจึงปรึกษาสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเชิญให้เขามาดูความถูกต้องว่าเนื้อหาที่เรานำเสนอไม่ผิดจากข้อเท็จจริง ซึ่งเขาก็ยินดีให้คำแนะนำ
ดูเหมือนประเด็นที่ซีรีส์เน้นสุดคือ พุทธพาณิชย์
เริ่มจากโครงเรื่อง ตัวละครต้องการใช้หนี้มาเฟีย การหาเงินในระบบปรกติด้วยเวลาจำกัดไม่สามารถทำได้ เขาจึงมองเห็นช่องทางนี้ พอเข้าไปที่วัดเลยต้องมีเรื่องมาร์เกตติง ธุรกิจ ซึ่งก็เชื่อมโยงมาจากตัวละคร
ในแง่ประเด็นทางสังคม เราพบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่รอบตัวเรา พุทธพาณิชย์เป็นเส้นเทา ๆ ต่างจากเรื่องผิดศีล เสพเมถุน ประเด็นพุทธพาณิชย์มันก้ำกึ่ง ถูกก็ได้ผิดก็ได้ บางคนบอกพระเครื่องขายกันปั่นราคา แต่อีกทางหนึ่งก็เป็นพุทธคุณ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าถึงแก่นแบบลึกซึ้ง ซึ่งประเด็นเทา ๆ แบบนี้ชวนถก ชวนคิดมากกว่าเรื่องที่มันสุดขอบ ทำให้เราสามารถสร้างเป็นซีรีส์ความยาวเก้าตอนได้
จากที่ทำงานกับทีมหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ มีการขอร้องให้อย่าแตะประเด็นไหนไหมครับ
ก็ไม่มีห้ามนะ อาจมีคนบอกเบาไปด้วยซ้ำ แต่ความแรงเราเห็นในข่าวเยอะแล้ว เราต้องการเลือกความเทามากกว่า อย่างตัวละครพระดล ความจริงพระสงฆ์มีอะไรกับสีกาก็เป็นข่าวเยอะแยะ เราไม่จำเป็นต้องเล่าอีกก็ได้ แต่ว่าเราถอยกลับมาที่ความรัก ซึ่งพระดลแทบจะไม่ได้ทำอะไรล่วงเกิน แค่เรื่องทางใจ มันสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์กว่า หรือสิ่งที่เด็กกลุ่มนี้ทำสามารถไปได้ไกลกว่านั้น อย่างกรณีวัดไร่ขิงมันหนักมาก มีบางคนบอก อุ๊ย ! สาธุ เบาจัง โดนใครเบรกหรือเปล่า เราเคยคุยกับผู้กำกับ เขาบอก เฮ้ย ! พี่ ตัวละครเป็นเด็กอายุ ๒๐ กว่าเองนะ ความรู้ ความเข้าใจโลก หรือธุรกิจในวัด พวกเขามองแบบเด็กอายุ ๒๐ ไม่ได้เขี้ยวลากดินเหมือนคนที่อยู่ในแวดวงมา ๕๐-๖๐ ปี เราเลยไม่กังวลหรือกลัวมีปัญหาว่าจะถูกต่อต้าน โดนแบนไม่ให้ฉาย เพราะเราพูดเรื่องปรกติด้วยท่าทีสุภาพ
ธุรกิจที่ตัวละครหลักทั้งสามทำเกี่ยวกับเกมออนไลน์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) ต้องการเปรียบอะไรกับพุทธพาณิชย์หรือเปล่า
มันเป็นตามคาแรกเตอร์ในยุคที่ซีรีส์ออกฉาย ธุรกิจเหล่านี้กับวัยรุ่นสอดคล้องกัน ถ้าเรื่องนี้เขียนเมื่อ ๕-๑๐ ปีก่อน อาจไม่ใช่ธุรกิจ NFT ก็ได้ แต่วันที่เราทำ NFT กำลังบูม มีคนรวยชั่วข้ามคืนด้วยคริปโตเคอร์เรนซี
ทำไมเลือกให้เหตุการณ์เกิดในวัดแถบภาคกลาง มีเค้าโครงจากเรื่องจริงไหม
เรารีเสิร์ชค่ะ แต่ไม่เชิงเอาเรื่องจริง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์มาทำแค่เพื่อให้เข้าใจก่อนจะเขียน แล้วขยายขอบเขตจินตนาการ ที่เลือกวัดภาคกลางเพราะเข้าใจง่ายกว่าวัดภาคอื่น อีกทั้งตัวละครก็เป็นเด็กกรุงเทพฯ เขาก็อาจเลือกโดยไม่ได้ข้ามภาคและวัดดังในกรุงเทพฯ ก็จะมีเจ้าภาพอยู่แล้ว เขาจึงเลือกวัดที่อยู่ชานเมืองหน่อยเป็นดินแดนที่เหมือนจะเจริญแต่ถูกลืม เป็นจุดบอดที่คนมองข้ามก็ได้
ในเรื่องจะมีการแข่งขันเชิงธุรกิจของวัดที่เป็นคู่แข่ง และมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง อิงมาจากเรื่องจริงใช่ไหม
ใช่ค่ะ เป็นข้อมูลจากการรีเสิร์ช วัดถ้าเปรียบไปก็เหมือนบริษัท พื้นที่นี้วัดไหนมีเงินทำบุญเยอะ อีกวัดหนึ่งก็จะมองว่าวัดนั้นได้ยอดมากกว่า และวัดดัง ๆ จะมีนักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการเข้าไปอยู่แล้ว เพราะที่ไหนมีเงิน ที่นั่นก็มีเรื่อง
ในการค้นข้อมูล พอจะทราบไหมว่าพุทธพาณิชย์ในไทย เช่น พระเครื่อง มีมูลค่าในตลาดสูงแค่ไหน
ไม่มีข้อมูล ก็อย่างที่ตัวละครพูด เรื่องพวกนี้ทุกอย่างใช้เงินสด ไม่มีแทร็กกิงทางการเงิน เป็นช่องทางหากิน เพราะตรวจสอบไม่ได้
สาธุ เคยขึ้นถึงอันดับ ๑ ใน Netflix เขาวัดผลตอบรับจากอะไรบ้างครับ
เขามีระบบ AI วัดผล เช่น วันแรกที่เผยแพร่มีคนกดดูเท่าไร ดูจนจบเท่าไร ดูรวดเดียวโดยไม่เบรกเท่าไร กดคลิกถูกใจเท่าไร เป็นการเก็บคะแนนแบบระบบวิทยาศาสตร์เลย ไม่ใช่เห็นคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตดีถึงทำซีซั่น ๒
แต่เคยเช็กต่างชาติ อย่าง สงครามส่งด่วน เพราะเนื้อเรื่องสู้เพื่อฝัน การทำงานเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจมันรีเลตกับคนทั่วโลกได้ ส่วนประเด็นพุทธศาสนานิกายเถรวาทมีแค่ไทยกับศรีลังกา คนที่พอเข้าใจบ้างอาจเป็นฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ซึ่งคนยังไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทว่าไม่ได้ไปไกลระดับคนเม็กซิโก บราซิล อเมริกา มันเป็น niche market เมื่อโยนเข้าไปในคอนเทนต์ระดับโลก
ในฐานะคนเขียนบท ผลตอบรับแบบไหนที่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จจากเรื่อง สาธุ
ทั้งไกลตัวและใกล้ตัว เหมือนมีการเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างจากคนที่เคยมีคำถามกับพุทธศาสนาในทางลบ พอดู สาธุ กลับเป็นบวกมากขึ้น มีคนตัดสินใจบวชมาเล่าให้ฟัง โดยส่วนตัวจะวัดจากอะไรแบบนี้ หากดูแล้วชอบ สนุก นั่นเป็นหน้าที่หนึ่งของความบันเทิง แต่เรื่องที่ดีควรเปลี่ยนความคิดหรือมุมมองของคนดู เขย่าเขาให้มีสติขึ้นก่อนจะทำอะไรโดยไม่หยุดคิด เรื่องที่ดีควรส่งผลกระทบต่อสังคมมากกว่าความดังหรือขึ้นอันดับ ๑
มีคนดูเรื่อง สาธุ แล้วอยากบวชด้วย ?
ใช่ เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ เคยมีคำถามกับพุทธศาสนา เหมือนที่ตัวละครถามว่ามันมีแต่เรื่องเปลือก ๆ ขณะเดียวกันก็มีวัดที่ดี พระที่ดี คือทุกอย่างไม่ได้มีด้านเดียว ต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนมองพุทธศาสนาในแง่ลบยิ่งกว่าในซีรีส์อีกใช่ไหม ทัศนคติของเด็กรุ่นใหม่ปัจจุบันไม่เข้าวัดไม่ใส่บาตรหรอก เพราะมีแต่ข่าวเสียออกมา แต่เรื่องนี้ทำให้เห็นความหลากหลายของคำว่าพุทธ พระที่พยายามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มี แต่ก็ไม่ง่ายนะ อย่างพระดล
ตัวละคร “พระดล” น่าสนใจตรงที่เป็นพระวัดป่าซึ่งปฏิบัติดี แต่สุดท้ายก็ทานกระแสทางโลกไม่ไหว
เราได้แรงบันดาลใจจากพระที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง ท่านเคยเป็นพระป่าที่เด่นทางปฏิบัติ แล้ววันหนึ่งกลับสึกออกมาแต่งงาน คนก็ผิดหวัง ตอนเราเป็นวัยรุ่นมีรุ่นพี่ที่ศรัทธาเลื่อมใสท่าน ก็รู้สึกผิดหวังจนเราเฟลไปด้วย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ มายุ่งเกี่ยวกับทางโลก แต่พอเราเขียนบทเรื่องนี้ก็พบว่าพระก็คนนะ เป็นนักบวชที่กำลังฝึกตน ไม่ใช่ผู้บรรลุ คือพระที่ไม่รู้สึกอะไรคือพระประธาน เราไม่ควรคาดหวังกับเขาเกินจริง ต้องมีสติในการเคารพและศรัทธา ไม่ได้หมายความว่าพอเป็นพระแปลว่า ดี สว่าง สะอาด สงบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านก็กำลังฝึกอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าท่านจะพลาดบ้างก็เป็นเรื่องปรกติไหม เราพูดเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมา ชี้แจงให้เห็นว่าพระสงฆ์-นักบวชต้องเผชิญความขัดแย้งใด ๆ บ้าง
เราได้รับเชิญไปบรรยายทั้งที่สวนโมกข์และวัดไร่ขิง เรามี FC สาธุ ที่เป็นพระสงฆ์ด้วย ท่านบอกประเด็นนี้โดนใจมาก เพราะผู้หญิงเป็นสิ่งที่ยากที่สุดของผู้ชาย แล้วพระที่มีเงินก็เหมือนผู้ชายรวย ๆ ที่ผู้หญิงเข้าหา นี่คือเรื่องปรกติแต่เราไม่พูดกัน เพราะเดี๋ยวบาป จึงเป็นช่องให้ทำผิดมากขึ้น
หลายคนมองข้ามว่าที่จริงพระสงฆ์ก็มีรายได้
ใช่ และไม่ต้องตรวจสอบ เงินใส่บาตร ใส่ซอง ทั้งโยมถวายรถยนต์หรือเงินสดจำนวนมาก ไม่ต้องยื่นสรรพากรด้วย
ในเรื่องนี้ยังสะท้อนว่าปัญหาพุทธพาณิชย์มีมานานแล้วจากตัวละครวัยรุ่นทั้งสาม เพราะคนรุ่นก่อนเช่นแม่ของตัวเอกไม่เคยตั้งคำถาม แต่คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามมากขึ้น
ใช่ค่ะ มันมีอยู่ทุกยุคสมัยในสังคมไทย เหมือนที่บอกว่า “พูดแบบนี้ได้ไงเขาเป็นพระ” ก็ทำให้เราหยุดถาม แต่จริง ๆ แล้วการถามมีหลายวิธี เช่น ต้องตั้งคำถามสิ่งที่ทำเป็นธรรมเนียม ใส่บาตร เงินเราไปอยู่ที่ไหน ก่อนทำเรื่องนี้เราไม่เคยตั้งคำถาม เราเป็น Gen X อยู่ในกรอบคอนเซอร์เวทีฟ ได้บุญก็สบายใจแล้ว ไม่เคยคิดต่อ เพราะกลัวจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ มันบล็อกความจริงไว้
บางทีอาจเคลียร์ขึ้นด้วยซ้ำถ้าเรากล้าถามหรือตรวจสอบสิ่งเหล่านี้