วัดบวรนิเวศวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ภาพ : สมุดภาพพระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เหตุเกิดเมื่อปี ๒๓๖๙
จาก “ธรรมยุต” ถึง “พระป่า”
เรื่องและภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
“...๑๑๘๖ ปีวอก ฉศก พระบาทสมเดจพระจอมเกล้าเจ้าสยามเสดจออกทรงผนวช...ทรงทราบว่าลัทธิสมถนั้นมากมูลวุ่นวายไปด้วยสัมโมหะวิหาร เหมือนกับยืมจะมุก (จมูก) ท่านมาหายใจ จะพูจจาอันใดก็เปนแต่อ้างคติ...ว่าท่านผู้ใหญ่เคยทำมาอย่างนี้ ไม่แจ้งแสดงชี้เหตุออกมาให้เหนจริงได้ ถือแต่ลัทธิของตนนั้นดันดื่อไปมิได้รู้ว่าผิดแลชอบ ไม่เปนที่ตั้งแห่งปัญญา ทรงสังเวศเหนื่อยหน่ายขึ้นมาด้วยเหตุนั้น...”
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเล่าถึงเหตุที่รัชกาลที่ ๔ ทรงตั้งธรรมยุติกนิกายใน อภินิหารการประจักษ์
นับถึงปี ๒๕๖๘ เหตุเจ้าฟ้ามงกุฎอุปสมบทเป็น “วชิรญาณภิกขุ” ผ่านมา ๒ ศตวรรษ
คณะสงฆ์ “ธรรมยุต/ธรรมยุติกนิกาย” ที่พระองค์ก่อตั้งยังดำรงอยู่คู่ “มหานิกาย” พร้อมกับมีปัญหาของวงการสงฆ์ไทยเพิ่มขึ้น
ปีนี้ ข่าวจับกุมอดีตพระธรรมวชิรานุวัตรเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (สมีแย้ม) จังหวัดนครปฐม ในคดียักยอกเงินวัด (พฤษภาคม ๒๕๖๘) ข่าวอดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร (สมีอาชว์) กรุงเทพฯ พัวพันสีกาและเงินวัดแล้วหลบไปสึกที่จังหวัดหนองคาย สาวไปถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป (มิถุนายน ๒๕๖๘) สร้างความตกตะลึงไปทั่ว ยังไม่นับคดีย่อย เช่น พระเมา ทะเลาะวิวาท ฯลฯ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
ความคิดเห็นท้ายข่าวที่มักปรากฏบ่อยครั้งคือการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่เกี่ยวข้องกับ “มหานิกาย” เช่นวัดไร่ขิง ผู้ต้องหามักถูกจับกุม แต่ถ้าเรื่องเกิดกับ “ธรรมยุต” อย่างวัดตรีทศเทพผู้ต้องหามักหายตัวไป
ไม่ว่าข้อสังเกตนี้จะตรงข้อเท็จจริงหรือไม่แต่นี่คือภาพสะท้อนรอยร้าวในคณะสงฆ์ไทยยังไม่นับคำถามพื้นฐานของคนจำนวนหนึ่งว่าอะไรคือ “มหานิกาย” อะไรคือ “ธรรมยุต” ? เพราะพระสงฆ์ที่พวกเขาเห็นนั้นไม่ต่างกันและเป็นนิกายเถรวาททั้งหมด
ท่ามกลางข่าววิกฤตคณะสงฆ์ไทย สารคดี ชวนผู้อ่านทบทวน “จุดเริ่มต้น” และ “ปม” ของวงการสงฆ์บ้านเราอีกครั้ง
วชิรญาณภิกขุ -
“บวชหลบราชภัย” ?
เป็นที่รู้กันว่าผู้ก่อตั้ง “ธรรมยุติกนิกาย” คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ขณะเป็นภิกษุ
แต่ก็ถกกันในหมู่นักประวัติศาสตร์มานานแล้วว่าช่วงผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ ๒ สู่รัชกาลที่ ๓ เกิดอะไรขึ้นหลังฉาก อันเป็นเหตุให้ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ทรงพระผนวช
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ฯ เล่าว่า ช่วงปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงออกว่าราชการน้อยครั้ง ผู้มีบทบาทจริงคือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓ ในกาลต่อมา)
ร่องรอยความขัดแย้งเรื่องสืบราชสมบัติปรากฏอยู่ทั่วไปในเอกสารหลักฐาน แต่ที่น่าสนใจคือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ที่เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔ ในกาลต่อมา) ทรงพระนิพนธ์ภายหลังว่าในเวลานั้นทรงมั่นพระทัยว่ามีสิทธิในราชบัลลังก์เพราะ “เกิดดีแล้วแต่ชาติอันประเสริฐทั้งสองฝ่าย” ด้วยพระองค์เป็นพระราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสี (สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์) มีศักดิ์สูงกว่าเจ้าจอมมารดาเรียม (สมเด็จพระศรีสุลาไลย พระชนนีของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์)
ใกล้สิ้นรัชกาลที่ ๒ ทรงทราบว่ากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก็ปรารถนาราชสมบัติ เมื่อทรงประเมินแล้วว่าพระองค์เองยังไม่พร้อม และคาดว่าพระราชบิดาจะมีพระชนม์ชีพอยู่อีกไม่นานจากพระอาการประชวร พระองค์จึงกราบบังคมทูลขอออกผนวช
รัชกาลที่ ๒ และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
ภาพ : จิตรกรรมฝาผนังในศาลาทรงยุโรป พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
ก่อนสิ้นรัชกาล ๑๕ วัน พงศาวดารจึงบันทึกว่ารัชกาลที่ ๒ มีพระราชดำริว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ “...มีพระชนม์ (๒๑ พรรษา) ควรจะอุปสมบทแล้ว” แม้จะเกิดเหตุช้างเผือกประจำรัชกาลล้มถึงสองเชือกอันถือเป็นลางไม่ดี ก็มีพระราชดำรัสให้จัดงาน “อย่าให้เสียปีเสียเดือนเลย”
หลังงานอุปสมบท พระอาการประชวรของรัชกาลที่ ๒ ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนสวรรคต ๘ วัน (๑๔-๒๑ กรกฎาคม ๒๓๖๗) “...มึนเมื่อยพระองค์ เรียกพระโอสถชื่อจารในเพชรข้างที่ที่เคยเสวยนั้นมาเสวย ครั้นเสวยแล้วให้ร้อนเป็นกำลัง เรียกทิพยโอสถมาเสวยอีก พระอาการก็ไม่ถอยให้เชื่อมซึมไป แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้...ถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาท เสด็จสู่สวรรคต” และการที่ “มีพระอาการตรัสไม่ได้มาแต่แรก จึงไม่ได้ทรงมอบราชสมบัติแก่พระราชวงศ์พระองค์ใด”
โคลงลิลิตมหามกุฎราชคุณานุสรณ์ บทกวีของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กล่าวถึงเหตุการณ์หลังสวรรคตที่คนส่วนใหญ่น่าจะไม่เคยได้ยินว่า เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎไปถวายบังคมพระบรมศพ กลับถูกกักไว้ที่พระอุโบสถวัดพระแก้ว ซึ่งสอดคล้องกับ “บันทึกความทรงจำ” ใน ๓๓๑ ปี สกุลอมาตย์ และ ๗๓ ปี แห่งการพระราชทานนามสกุลอมาตยกุล ที่เล่าว่า เมื่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเห็น “(รัชกาลที่ ๒) สวรรคตแล้วก็ทรงพระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลำดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสง (ดาบ) เข้าไป พระจอมเกล้าก็ตกพระทัย รับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเสียเลย...พระนั่งเกล้ารับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทำอะไรหรอกอย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทำอย่างไรได้ เวลานั้นท่านตกพระทัย พระบังคนไหลออกมาเปียกสบงเป็นครึ่งผืน”
พระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ ในซุ้มปรางค์ บริเวณลานประทักษิณชั้นบนทิศตะวันออกของพระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร
หลักฐานต่างชาติก็ดูเหมือนจะยืนยันเรื่องนี้ เพราะ ๔ เดือนหลังจากนั้น จอห์น ครอว์เฟิร์ด เขียนจดหมายลับลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๓๖๗ รายงานข่าวรัชกาลที่ ๒ สวรรคต ถึง จี. วินสตัน ที่สิงคโปร์ว่า กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้รับการสนับสนุนจาก “กลุ่มของพระองค์” ให้ครองราชย์ ซึ่ง “ขัดกันกับสิทธิของเจ้าฟ้า” ที่ “...พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงฝึกปรนหวังจะให้เป็นผู้สืบราชสมบัติ”
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยกลับมองตรงข้ามว่า เรื่องชิงราชสมบัติยังไม่มีน้ำหนัก ด้วยถ้าดูสถานการณ์ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ ๒ ไม่ว่าอย่างไรกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก็ต้องได้ราชบัลลังก์ เพราะทรงคุมเศรษฐกิจผ่านกรมพระคลังมหาสมบัติ กรมท่า (ค้าขายต่างประเทศ) คุมฝ่ายตุลาการ (ตัดสินคดีความ) คุมกรมพระตำรวจ มีเครือข่ายขุนนางกว้างขวาง หมายถึงรัชกาลที่ ๒ ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาแต่ต้น อีกทั้งกฎการสืบราชสมบัติสยามสมัยนั้นก็ไม่ตายตัว อาจถูกส่งไปสู่พี่น้องหรือลูกของกษัตริย์ก็ย่อมได้ ข้อกล่าวหานี้จึงน่าจะมาจาก “อคติ” ของชาวตะวันตกที่เจรจากับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เรื่องการค้าไม่สำเร็จ โดยเฉพาะในกรณีของครอว์เฟิร์ด
แต่ไม่ว่าทฤษฎีการชิงราชสมบัติจะเป็นจริงหรือไม่ เรื่องที่ชัดเจนในหลักฐานร่วมสมัยคือ ราชสำนักสยามเวลานั้นตึงเครียด พระยากระสาปนกิจโกศลเขียนใน ความทรงจำ ว่า หลังรัชกาลที่ ๒ สวรรคตราว ๑ สัปดาห์ ไม่มีขุนนางคนใดกล้าติดต่อหรือไปมาหาสู่กับวชิรญาณภิกขุที่ประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ จนกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ พระอนุชาที่พระชนมายุไล่เลี่ยกันเสด็จไปหา วชิรญาณ-ภิกขุทรงซาบซึ้งพระทัย ตรัสว่าภายหน้ากรมหลวงองค์นี้จะ “เดินหน้า” พระองค์จะ “เดินกลาง” และกรมพระเทเวศร์วัชรินทร์จะ “เดินหลัง” ซึ่งมีนัยทางการเมืองสูง เพราะอาจหมายถึงวังหน้า วังหลวง
อย่างไรก็ตามพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎก็ตัดสินพระทัยว่าจะอยู่ในเพศบรรพชิตต่อไป
พระองค์มีพระราชนิพนธ์เล่าภายหลังว่าตอนนั้นทรง “วาสนาต่ำ”
แถมยังเป็น “คนลับน่าค่าชื่อ ไม่มีใครรู้จัก”
พระนิรันตราย รัชกาลที่ ๔ โปรดให้หล่อครอบองค์เดิม สันนิษฐานว่าสื่อถึงสถานการณ์ทางการเมืองบางอย่างในช่วงที่พระองค์ทรงพระผนวช
รากฐาน
“ธรรมยุต”
เทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ของพระมหาสมณเจ้า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เล่าว่า หลังทรงพระผนวช วชิรญาณภิกขุไปประทับที่วัดมหาธาตุ ๓ วัน ก็ย้ายไปวัดสมอราย (วัดราชาธิวาสวิหาร) เพื่อศึกษาวิปัสสนาธุระ (กรรมฐาน)
ระยะนี้ทรงเห็นว่าหมู่ภิกษุที่ได้พบ “มากมูลวุ่นวายไปด้วยสัมโมหวิหาร เหมือนกับยืมจมูกท่านมาหายใจ จะพูดสิ่งใดก็เป็นที่ต่ออ้างคติ...ว่าท่านผู้ใหญ่เคยทำมาอย่างนี้...ถือแต่ลัทธิของตนนั้นดันดื้อไปมิได้รู้ว่าผิดและชอบ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งปัญญา” ทำให้ “ทรงสังเวชเหนื่อยหน่าย”
ตัดสินพระทัยกลับไปวัดมหาธาตุ “เล่าเรียนพระไตรปิฎกพุทธวจนะ” ศึกษาจนทรงอนุมานว่า “ศาสนวงศ์เป็นจลาจลมาแต่กรุงเก่านั้นแล้ว...อาจารวิบัติของสมณะบางเหล่าไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส ทรงสังเวชสลดพระทัยนักด้วยการศาสนาคือวงศ์บรรพชาอุปสมบท เห็นว่าเป็นของมีรากเง่าอันเน่าผุ”
วชิรญาณภิกขุทรงเห็นว่าเป็นเช่นนี้ถ้ายังบวชอยู่ก็เท่ากับ “หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิตดูไม่ควร” จึงเสด็จไปในพระอุโบสถวัดมหาธาตุ อธิษฐานว่าถ้า “วงศ์บรรพชาอุปสมบทที่เนื่องมาแต่พระสุคตทศพลยังมีอยู่เหลือ ณ ประเทศใดทิศใด ขอให้ได้ประสบหรือให้ได้ยินข่าวให้ได้ในสามวันเจ็ดวัน” ถ้าไม่พบจะ “สึกเป็นฆราวาส”
สังฆราชปัลเลอกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) มิชชันนารีฝรั่งเศสที่ได้ชื่อว่า “พระสหายสนิท” ของวชิรญาณภิกขุ ในช่วงทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ
พระอุโบสถวัดสมอราย (ต่อมาคือวัดราชาธิวาสวิหาร) ก่อนบูรณะในสมัยรัชกาลที่ ๕
ภาพ : พระมหาปกรณ์ กิตฺติธโร https://www.silpa-mag.com/old-photos-tell-the-historical-story/article_20183
สองสามวันต่อมาทรงพบพระมอญรูปหนึ่งที่ “ฉลาดในวินัย รู้พุทธวจนะชำนาญในอักขรุจจารณวิธี (ภาษาบาลี)” ทรงเลื่อมใสและ “รับเอาวินัยวงศ์นั้นไว้เป็นข้อปฏิบัติสืบมา” พระมอญรูปนี้คือ ซาย พุทฺธวํโส บวชมาแต่หัวเมืองมอญ จำพรรษาที่วัดบวรมงคล นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่าการที่วชิรญาณภิกขุทรงเลื่อมใสพระซาย ส่วนหนึ่งเพราะชนชั้นนำสยามมีความสัมพันธ์ด้านพุทธศาสนากับเกาะลังกามานาน เชื่อมั่นความบริสุทธิ์ของพระมอญที่บวชใน “คณะสงฆ์สีมากัลยาณี” ที่กำเนิดจากลังกา นอกจากนี้น่าจะทรงคุ้นเคยกับชาวมอญอย่างน้อยก็ย้อนกลับไปในสมัยทรงนำทัพไปรับครัวมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ ๒ (กลางปี ๒๓๕๘)
อภินิหารการประจักษ์ และ “เรื่องต้นแรกทรงผนวช” พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระโอรสองค์ที่ ๑๘ ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์-วังหน้าสมัยรัชกาลที่ ๒ “ศิษย์หลวง” รุ่นแรกของวชิรญาณภิกขุ) ยังเล่าว่า หลังจากนั้นวชิรญาณภิกขุศึกษาปริยัติธรรมแตกฉานจน “สิ้นวิชาที่อาจารย์จะพึงแสดง” มีกุลบุตรที่ศรัทธา “มาบวชบรรพชาประพฤติ์ตามมีขึ้นเปนหลายองค์”
ต่อมาได้แปลพระปริยัติธรรมภาษาบาลีถวายรัชกาลที่ ๓ ซึ่งเทียบได้กับการสอบไล่ทางพุทธศาสนา โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าว่าพระชนกขณะนั้น “...ใคร่ที่จะแสดงพระสุตญาณและพระปรีชาญาณอยู่แล้วจึงทรงรับที่จะเข้าไปแปลหนังสือถวาย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ประชุมสมเด็จพระราชาคณะแลพระราชาคณะผู้ใหญ่...เปนการชุมนุมวิเศษ มิใช่ไล่หนังสือในสนามพร้อมพระสงฆ์สามัญ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจับประโยคธรรมบทแปลครั้งแรกด้วยความคล่องแคล่วสละสลวย หาที่ทักท้วงมิได้” จนรัชกาลที่ ๓ ตรัสว่า “ข้ามไปแปลมงคลทิปนีทีเดียวเถิด” ซึ่งก็ทรงทำได้ดุจกัน
ทั้งมีเหตุ “หม่อมไกรสร (กรมหมื่นรักษรณเรศ) มีใจฤษยา (ริษยา)” ทูลถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) ในที่ชุมนุมว่า “นี่จะปล่อย (ให้แปล) กันไปถึงไหน” วชิรญาณภิกขุทรงขัดเคือง จึงกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๓ ว่าไม่หวังลาภยศเพียงแปลสนองพระราชประสงค์ “ขอพระราชทานงดไว้อย่าให้ต้องแปลต่อไปอีก”
รัชกาลที่ ๓ ทรงเข้าพระทัยและโปรดเกล้าฯ ให้ “เป็นแม่กองไล่หนังสือองค์หนึ่ง”
ต่อมายังพระราชทานพัดแฉกพื้นตาดให้เป็นพัดยศ เพราะมีพระราชดำริว่า “ชีต้นบวชมานานแล้ว ควรเป็นราชาคณะได้”
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงฉายหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารวัดที่คล้ายเป็น “สำนักงานใหญ่” ของธรรมยุตมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ทรงเป็นเจ้าอาวาส
ภาพ : สมุดภาพพระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
อรุณรุ่งของ “ธรรมยุต”
เบาะแสชัดเจนที่สุดของกำเนิดธรรมยุตอยู่ใน “เรื่องต้นแรกทรงผนวช” ซึ่งบันทึกว่า ในปี ๒๓๖๙ ขณะวชิรญาณภิกขุประทับที่วัดมหาธาตุ ทรงตัดสินพระทัยทำ “ทัฬหิกรรม” (บวชซ้ำ) โดยให้พระซาย (สุเมธมุนี) เป็นอุปัชฌาย์ แล้วทรง “...ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดสืบมา”
อยู่ได้ ๓ ปีก็ย้ายไปประทับที่วัดสมอราย เพราะทรงเห็นว่าวัดมหาธาตุ “ไม่เปนที่สบาย เพราะเจือปนรคนไปด้วยอะลัชชี ไม่เปนที่ควรจะประพฤติ์พรหมจริย์”
ที่วัดสมอรายนั้นเองทรง “ตั้งคณะนิกายให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรที่มีสัทธา...ประดิษฐานธรรมยุตติกะนิกาย ให้รุ่งเรืองแผ่หลายขึ้นในครั้งนั้น...”
เอ. บี. กริสโวลด์ (A. B. Griswold) ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญไทยคดีศึกษา เคยอธิบายวิถีของพระธรรมยุตว่า เป็นการตามวัตรปฏิบัติพระมอญ ทั้งการอุปสมบท ออกเสียงสวดภาษาบาลี ครองจีวร โดยพระในนิกายธรรมยุต “...ตามวินัยอย่างเข้มงวด ศึกษาพระไตรปิฎกทุกแง่มุม...เพื่อให้แน่ใจว่าที่ตนตีความหมายไปนั้นถูกต้อง ก่อนที่จะสอนให้สานุศิษย์เหล่านั้นทราบถึงการบำเพ็ญสมาธิขั้นสูง...สิ่งที่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎทรงอ้างเป็นตัวอย่างเสมอคือขอให้พระภิกษุสงฆ์จงบำเพ็ญตนเสมือนกับพระภิกษุในสมัยพุทธกาล”
เรื่องสำคัญคือทำให้พุทธศาสนามีเหตุมีผลอธิบายได้
ที่ชัดเจนคือพระมอญจริงจังเรื่องการอุปสมบทว่าต้องทำในเขตสีมาที่บริสุทธิ์ “พื้นดินเองก็อาจไม่บริสุทธิ์เสมอไป น้ำย่อมดีกว่า และการอุปสมบทบนแพกลางน้ำย่อมเป็นสิ่งบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”
ดังนั้นเมื่อวชิรญาณภิกขุไม่แน่พระทัยการอุปสมบทของพระองค์เอง ในปี ๒๓๗๓ ก็ทรงให้ทำ “อุทกสีมา” (อุโบสถกลางน้ำ) ด้วยแพในแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดสมอราย อาราธนาพระสงฆ์มอญในวงศ์กัลยานีสีมา ๑๘ รูปมาทำพิธีบวชซ้ำครั้งที่ ๒ โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงเคยพระราชทานคำอธิบายที่มาว่าเป็นการทำตามพระมอญที่พระเจ้าธรรมเจดีย์ (กษัตริย์มอญแห่งกรุงหงสาวดี ครองราชย์ช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนต้น) ส่งไปสืบพระศาสนาที่เกาะลังกาแล้วได้บวชซ้ำที่ริมแม่น้ำกัลยานี อีกทั้งมีประวัติศาสตร์กระซิบด้วยว่า วชิรญาณภิกขุทรงขอให้พระมอญผลัดกันอุปสมบทถวายถึงหกผลัด ร่วมกับ “ศิษย์หลวง” อีกหลายรูปเพื่อความมั่นพระทัย
ระหว่างอยู่วัดสมอราย พระองค์สงสัยถึงความถูกต้องของสีมา (เขตสงฆ์) จึงให้ขุดลูกนิมิตอันเป็นตัวหมายเขตอุโบสถขึ้นมาทอดพระเนตร ทรงเห็นว่าเล็กไปไม่ถูกต้อง จึงสงสัยไปยังสีมาของวัดอื่นด้วย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงฉายร่วมกับกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยชุดแรก ปี ๒๔๓๖ แถวหน้าจากซ้าย พระราชกวี (ถม) หม่อมเจ้าพระศรีสุคตคัตยานุวัตร (ม.จ. พร้อม ลดาวัลย์ ธมฺมรโต) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต (ม.จ. ภุชงค์ ชมพูนุท) พระเมธาธรรมรส (อ่อน)
ส่วนการครอง (ห่ม) จีวรนั้น ก็จะ “ห่มแหวก” ตามอย่างพระมอญ คือมีชายจีวรที่ถูกม้วนเป็นลูกบวบอยู่ด้านขวา นำมาพาดเฉียงไว้บนไหล่ซ้าย เวลาใส่จีวร มือขวาจะแหวกตรงชายลูกบวบโผล่ออกมา แตกต่างจากพระมหานิกายที่ห่มจีวรโดยหนีบลูกบวบไว้ที่แขนซ้าย ทั้งนี้การห่มแหวกเคยเป็นประเด็นเมื่อพระองค์เจ้าฤกษ์ (ต่อมาคือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) ทรงห่มจีวรแหวกไปรับบิณฑบาตรัชกาลที่ ๓ แล้วถูกตรัสทักว่า “เอาอย่างพระมอญทำอะไร”
ปรากฏในเวลาต่อมาว่า วชิรญาณภิกขุจึงห่มแหวกขึ้นบ้างเพื่อปกป้องพระในคณะธรรมยุต
ปัจจุบันเรื่องเล่ากระแสหลักไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้และมักนิยามว่าการตั้งธรรมยุติกนิกายคือการ “ฟื้นฟูวิปัสสนาธุระ” ของศาสนาพุทธในสยาม
แต่อีกมุมหนึ่งก็มีการตีความว่านี่คือ “ปฏิบัติการทางการเมือง” ของวชิรญาณภิกขุ
วิทยานิพนธ์ “พระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ของ นฤมล ธีรวัฒน์ สันนิษฐานว่า วชิรญาณภิกขุไม่ได้มุ่งพระนิพพาน เพราะ “ฝังพระทัยที่ว่า พระองค์คือผู้มีสิทธิอันชอบธรรมในราชสมบัติ...” เห็นได้จากทรงตัดประโยคผูกมัดผู้บวชในนิกายธรรมยุตว่าต้องถึงพระนิพพานออก โดยให้เหตุผลว่ายากเกินกว่าผู้บรรพชาทุกคนจะทำได้
นฤมลฟันธงว่า สถานะ “พระภิกษุ” ทำให้เจ้าฟ้ามงกุฎปลอดภัยกว่าการสึกมารับราชการ ทั้งยังมีโอกาสสร้างภาพลักษณ์เตรียมตัวขึ้นสู่ราชบัลลังก์ในอนาคตการตั้งธรรมยุติกนิกายยังทำให้ทรงเป็นผู้นำคณะสงฆ์โดยไม่ต้องเป็นสมเด็จพระสังฆราชหรืออยู่ใต้มหานิกาย ที่สำคัญคือ รัชกาลที่ ๓ น่าจะทรงมีพระราชดำริว่า การที่เจ้าฟ้ามงกุฎอยู่ในสมณเพศนอกจากไม่กีดขวางพระราช-อำนาจ ยังจะช่วยพระราชภาระด้านศาสนาได้ดี ส่วนเรื่องธรรมยุติกนิกาย พระองค์ต้องจำยอมในฐานะธรรมราชา เพราะธรรมยุตอ้างอิงการหวนกลับไปหาพระพุทธวจนะ ซึ่งไม่ได้ผิดในเชิงหลักการแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทย เคยมองเรื่องการตั้งธรรมยุติกนิกายว่า “เป็นเรื่องเข้าใจได้” เพราะในหมู่ชนชั้นนำสมัยนั้นมีความพยายามฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ยิ่งได้มั่งคั่งขึ้นจากการค้าทางทะเลก็มีความเป็นมนุษยนิยมมากขึ้น ความพยายามตีความและทำให้ศาสนามีเหตุผลก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ไม่ว่าจะตั้งพระทัยหรือไม่ สิ่งที่วชิรญาณภิกขุทำนั้นในมุมหนึ่งเป็นการ “พิสูจน์พระบรมเดชานุภาพ” ที่ “ในอดีตมีเฉพาะมหาธรรมราชาธิราชของประเทศต่าง ๆ เท่านั้นที่เคยทำได้สำเร็จ”
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
ภาพ : กรมศิลปากร
วชิรญาณภิกขุจาริก
ปัจจุบันในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มีโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งจัดแสดงอยู่นานแล้ว และคนไทยแทบร้อยทั้งร้อยได้ยินชื่อเสียงและรู้จักก่อนจะเห็นของจริงเสียอีก
โบราณวัตถุชิ้นนี้คือ “ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง/ศิลาจารึกหลักที่ ๑”
อีกชิ้นซึ่งมีชื่อไม่แพ้กันและถูกกล่าวถึงควบคู่กันคือ “พระแท่นมนังคศิลาบาตร” ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เชื่อกันว่าพระแท่นนี้เคยตั้งอยู่ในสวนตาลกรุงสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงเคยใช้ประทับว่าราชการและให้พระสงฆ์เทศนาธรรม
จำได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ ตอนไปดูโบราณวัตถุสองชิ้นนี้คล้ายได้รำลึกคำที่ครูเล่าเรื่องพ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทยจารึกลงศิลา ประทับนั่งบนพระแท่นว่าราชการ
ยังไม่นับว่าตื่นเต้นที่ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” (ปี ๒๕๔๖) โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในฐานะบันทึกเรื่องประดิษฐ์อักษรไทยและรัฐสุโขทัย
ในเวลานั้นผมไม่ทราบเลยว่าโบราณวัตถุสองชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับธรรมยุติกนิกายอย่างลึกซึ้ง
พระแท่นมนังคศิลา
ภาพ : อภินิหารการประจักษ์
ย้อนไปในปี ๒๓๗๔ หลังลงหลักปักฐานที่วัดสมอราย วชิรญาณภิกขุทรงเริ่มออกธุดงค์ไปตามหัวเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนั้น
อาจารย์กริสโวลด์วิเคราะห์ว่า ที่ทรงทำเช่นนี้เนื่องจากพอพระทัยประเพณีสมัยพุทธกาลเรื่อง “ธุดงค์ไกล ๆ ไปเผยแผ่พระศาสนายังท้องถิ่นต่าง ๆ” ขณะที่นฤมลมองว่าการธุดงค์ทำให้วชิรญาณภิกขุ “มีความรู้กว้างขวางกว่าเจ้านายพระองค์อื่นที่ถูกจำกัดด้วยประเพณีไม่ให้ออกนอกพระนครนอกจากไปราชการศึกสงคราม” ทั้งยังเป็นหนทางผลิตเรื่องเล่าที่ส่งเสริมพระเกียรติยศทางศาสนาและพระบารมีในตัว
เทศนาพระราชประวัติฯ เล่าถึงการธุดงค์ว่า “...เสด็จพระราชดำเนินโดยพระบาท มิได้มีพระราชพาหนะอย่างหนึ่งอย่างใด พระองค์ทรงกำลังว่องไวกว่าสามัญชนเป็นอันมาก...ประทับอยู่ ณ สุมทุมพุ่มไม้และถ้ำเงื้อมเขาต่าง ๆ
มีถ้ำเขาย้อยเป็นต้น มิได้ทรงหวาดหวั่นต่อภัยอันตราย...”
ในช่วงนี้พระองค์เสด็จไปนมัสการ (บ้างก็ว่าค้นพบ) พระปฐมเจดีย์ (จังหวัดนครปฐม) มีพระราชศรัทธา ตั้งพระทัยอยากบูรณปฏิสังขรณ์ แต่รัชกาลที่ ๓ ทรงไม่เห็นด้วยเนื่องจากบูรณะแล้วก็ดูแลยาก “เป็นของอยู่ในป่ารกถึงจะกระทำขึ้นก็ไม่เป็นประโยชน์สิ่งไรนัก” ทำให้ทรงได้แต่เก็บความมุ่งหมายไว้
สองปีต่อมา เรื่อง “ระยะทางเสด็จประพาสเมืองเหนือ” พระราชนิพนธ์ภาษาบาลีเล่าว่า ในฤดูแล้งทรงออกธุดงค์อีกครั้ง โดยไปทางเหนือ ผ่านอยุธยา ชัยนาท นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร แล้วย้อนมานครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง กลับมาที่วัดมหาธาตุ ใช้เวลาทั้งหมด ๖๒ วัน
อภินิหารการประจักษ์ เล่าว่า เหตุการณ์สำคัญในการธุดงค์คราวนี้คือ กลางเดือนมกราคม ๒๓๗๖ (นับแบบปัจจุบันคือ มกราคม ๒๓๗๗) ขณะประทับที่สุโขทัยทรงพบ “...แท่นศิลาแห่งหนึ่ง อยู่ริมเนินปราสาท เขาก่อไว้เป็นแท่นหักพังลงมาตะแคงอยู่...ชาวเมืองเขาเคารพสำคัญเป็นศาลเจ้า เขามีมวยสมโภชทุกปี คนเดินกรายทำอคารวะก็ไม่ได้เกิดเจ็บไข้ไม่สบาย เขาห้ามไม่ให้คนกล้ำกรายเข้าไปใกล้”
พระปฐมเจดีย์
ภาพ : ศูนย์ข้อมูลทวารวดี กรมศิลปากร
อักษร “อริยกะ” (ฝั่งขวา) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้นขณะทรงพระผนวช
แต่วชิรญาณภิกขุทรงไม่เชื่อ “เสด็จขึ้นทรงนั่งบนแผ่นศิลารับสั่งว่าอยู่ทำไมกลางป่าไปอยู่บางกอกด้วยกัน จะได้ฟังเทศน์จำศีล ครั้นเห็นเงียบสบายอยู่ เมื่อจะเสด็จกลับก็รับสั่งให้ชะลอลงมา ก่อเป็นแท่นไว้ที่ใต้ต้นมะขามวัดสมอราย”
น่าสนใจว่านอกจากพระแท่นฯ (แผ่นศิลา) อภินิหารการประจักษ์ ไม่ได้กล่าวถึง “ศิลาจารึกหลักที่ ๑” แต่อย่างใด เนื้อหาต่อมาเพียงแค่กล่าวถึง “เสาศิลาที่จารึกเป็นหนังสือเขมร (จารึกวัดป่ามะม่วง)” ที่ให้ชะลอลงมาด้วยเท่านั้น เรื่องนี้ ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ นักวิชาการอิสระ ตั้งข้อสังเกตว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนั้นปรากฏในงานเขียนที่เกิดหลังจากนั้น ๒๕ ปี คือ เทศนาพระราชประวัติฯ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ว่าทรงได้ “จารึกอักษรไทยโบราณเสาหนึ่ง” มาด้วย
เราทราบกันดีว่าหลายร้อยปีต่อมา ทั้งพระแท่นและศิลาจารึกหลักที่ ๑ กลายเป็น “แกนกลาง” ของประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วยการคิดค้นตัวอักษรและยืนยันความมีอยู่ของรัฐสุโขทัยในประวัติศาสตร์ชาตินิยม นอกจากนั้นยังกลายเป็นประเด็นถกเถียงใหญ่โตในวงประวัติศาสตร์โบราณคดี
ศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะมองว่า ผู้สร้างศิลาจารึกหลักที่ ๑ น่าจะสร้างศิลาหลักนี้หลังยุคสุโขทัย โดยได้แนวคิดจาก ไตรภูมิโลกยวินิจฉยกถา จึงกล่าวถึง “มนังษีลาบาตร” หรือ “มโนศิลาอาสน์” ลงไปในจารึกเพื่อให้เชื่อมโยงกันกับพระแท่นศิลา
ต่อมามีการพิสูจน์อายุศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์โดยนักวิทยาศาสตร์ของกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จากกรมทรัพยากรธรณี โดยทำเป็นงานวิจัยระหว่างปี ๒๕๓๒-๒๕๓๔ ผลออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ศิลาจารึกหลักที่ ๑ จะถูกทำขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือในสมัยรัชกาลที่ ๔” แต่ก็ไม่มีข้อยุติว่าศิลาจารึกนี้ทำขึ้นในสมัยสุโขทัยหรือไม่
ยังมีเรื่องน่าสนใจว่า ในปี ๒๓๗๖ ที่วชิรญาณภิกขุออกธุดงค์นั้น รัชกาลที่ ๓ มิได้ทรงตั้งวังหน้าพระองค์ใหม่แทนองค์เดิมที่สวรรคต เพียงแต่เลื่อนให้เจ้านายขึ้นทรงกรมเท่านั้น
แต่วชิรญาณภิกขุมิได้รับพระราชทานการเลื่อนให้ทรงกรมด้วย
ฝังราก
“ธรรมยุต”
ที่วัดบวรนิเวศ
เมื่อวชิรญาณภิกขุทรงพระผนวชได้ ๑๒ พรรษา (พระชนมายุได้ ๓๒ พรรษา) รัชกาลที่ ๓ ก็มีพระราชโองการให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเสมอชั้นเจ้าคณะรอง ให้จัดขบวนแห่อย่างพระมหาอุปราชจากวัดสมอรายมาจนถึงวัดบวรฯ ในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๓๗๙ (นับแบบปีปัจจุบันคือ ๒๓๘๐)
รัชกาลที่ ๕ ตรัสเล่าภายหลังว่า ตอนนั้นรัชกาลที่ ๓ มีพระบรมราชานุญาตให้วชิรญาณภิกขุเลือกสิ่งของในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ไปยังวัดบวรนิเวศได้ตามพระราชประสงค์ เล่ากันว่าวชิรญาณภิกขุทรงเลือกพระไตรปิฎกและอ่างศิลา
ฝ่ายธรรมยุตตีความว่า นี่คือประกาศโดยนัยว่าวชิรญาณภิกขุทรงมีฐานะวังหน้าอย่างไม่เป็นทางการ แต่ นฤมล ธีรวัฒน์ วิเคราะห์ว่า จริง ๆ แล้วรัชกาลที่ ๓ ทรงต้องการให้วชิรญาณภิกขุอยู่ในสายพระเนตรมากกว่า เพราะเวลานั้นมีเสียงลือว่าผู้คนไปวัดสมอรายกันมากเพื่อสนับสนุนวชิรญาณภิกขุทางการเมือง รัชกาลที่ ๓ ทรง “รำคาญเสียงเล่าลือ” และผู้ถวายคำแนะนำให้ย้ายวชิรญาณภิกขุมาครองวัดบวรนิเวศคือพระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต) โดยมุ่งให้ “เสียงเล่าลือนั้นระงับไป” ประกอบกับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศว่างลงพอดี จึงทรงเห็นชอบด้วย ทั้งนี้ ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เล่าถึงสภาพวัดบวรฯ ขณะนั้นว่ามีพระสงฆ์จำพรรษา ๕ รูป รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้าง “พระตำหนักปั้นหย่าหลังหนึ่งเป็นตึกฝรั่ง พื้น ๓ ชั้น ได้ยินว่ารื้อเอามาจากสวนขวาในพระบรมมหาราชวัง...กับท้องพระโรง...เป็นฝากระดาน พื้นชั้นเดียว ปลูกหน้าพระปั้นหย่าออกมา” ถวายวชิรญาณภิกขุไว้
พลับพลาสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เคยใช้เป็นโรงเรียนปริยัติธรรมของวัดบวรนิเวศวิหาร
หลังจากนั้นกิจการคณะธรรมยุตขยายตัวมากขึ้น เทศนาพระราชประวัติฯ ให้ข้อมูลว่ามี “กุลบุตรเกิดความเลื่อมใส พากันมาบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระองค์มากขึ้นกว่าเก่า”
วชิรญาณภิกขุทรงสร้างสิ่งก่อสร้างในวัดหลายอย่าง เช่น พระเจดีย์ที่สร้างค้างอยู่ตั้งแต่สมัยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงอุปถัมภ์วัด สร้างพระตำหนักตึก ย้ายพลับพลาของพระราชชนนีมาปลูกในวัด เชิญพระพุทธรูปสำคัญมาประดิษฐาน เช่น พระพุทธชินสีห์ พระพุทธไสยา (จากสุโขทัย) ปรับปรุงสีมา เขียนจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ ทรงวางระเบียบห้ามสตรีเข้ามายังพระตำหนัก วางธรรมเนียมการตีกลองและระฆัง กำหนดให้เทศนาธรรมวันละสองครั้ง
งานสำคัญคือการเพิ่มสาขาวัดธรรมยุต มีการส่ง “พระศิษย์หลวง” (พระที่วชิรญาณภิกขุบวชให้) ไปครองวัดหลายแห่ง เช่น วัดบรมนิวาส วัดเครือวัลย์ วัดอรุณฯ วัดพิชัยญาติ วัดบุปผาราม วัดจันทนาราม (จังหวัดจันทบุรี) ในวัดเหล่านี้พระธรรมยุตจำวัดและทำสังฆกรรมร่วมกับพระมหานิกาย (ยกเว้นวัดบรมนิวาส วัดบวรนิเวศ และวัดบุปผาราม) มีข้อมูลว่าวัดส่วนหนึ่งสร้างและอุปถัมภ์โดยสายตระกูลบุนนาค เมื่อมีพระจากนิกายธรรมยุตเป็นเจ้าวัดวชิรญาณภิกขุก็ต้องเสด็จไปตรวจกิจของศิษย์ ทำให้มีโอกาสพบขุนนางตระกูลบุนนาคซึ่งต่อมาจะสนับสนุนพระองค์ขึ้นครองราชย์
อีกด้านหนึ่ง วชิรญาณภิกขุทรงติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะด้านต่างประเทศ ถึงแม้จะไม่มีอำนาจทางการเมือง แต่ก็ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านการศาสนา เช่น ปี ๒๓๘๐ ถวายคำปรึกษารัชกาลที่ ๓ เรื่องส่งพระสงฆ์ไปลังกาสืบหาพระไตรปิฎกที่ขาดหายและพระบรมสารีริกธาตุ ต้อนรับคณะสงฆ์ลังกาและส่งพระนิกายธรรมยุตตามไปด้วยในเรือเที่ยวกลับจนได้คัมภีร์มาจำนวนหนึ่ง
น.พ. แดเนียล บีช แบรดลีย์ (Daniel Beach Bradley) คนไทยเรียก “หมอบรัดเลย์/หมอปลัดเล” มิชชันนารีอเมริกัน พระสหายต่างชาติของรัชกาลที่ ๔
เมื่อพระชนมายุใกล้ ๔๐ พรรษา วชิรญาณภิกขุก็ยังทรงใส่พระทัยการเรียนรู้เรื่องใหม่ ทรงเรียนภาษาอังกฤษจน “ชัดเจนเป็นอัศจรรย์” มีพระสหายคือมิชชันนารีอเมริกันถวายการสอน (ระยะแรกคือหมอบรัดเลย์ ต่อมาคือหมอแคสเวลในปี ๒๓๘๖) พระสหายต่างชาติอีกคนคือสังฆราชปัลเลอกัวซ์ (ผู้นำเทคโนโลยีถ่ายภาพเข้ามาในสยาม) ก็ทำให้ทรงเรียนภาษาละติน คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์
ด้วยความที่เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีการพิมพ์วชิรญาณภิกขุทรงตั้งโรงพิมพ์ขึ้นในวัดบวรนิเวศ ถือเป็นการนำแท่นพิมพ์มาใช้ในงานศาสนาเป็นครั้งแรกในสยาม และประดิษฐ์ “อักษรอริยกะ” ใช้แทนอักษรขอมในการเขียนภาษาบาลี
ช่วงนี้ “พระศิษย์หลวง” จากภาคอีสาน คือ พระพนฺธุโล (ดี) ชักชวนพระเทวธมฺมี (ม้าว) เข้ามาสู่สำนักวัดบวรฯ ซึ่งต่อมาพระม้าวและเครือข่ายที่สร้างขึ้นจะเป็นกำลังสำคัญของธรรมยุติกนิกายในภาคอีสาน
ระยะนี้ความขัดแย้งกับมหานิกายก็ปรากฏขึ้นแล้ว เช่น ในการสอบพระปริยัติธรรมคราวหนึ่ง กรมสังฆการี (มีหน้าที่ดูแลคณะสงฆ์) ต้องเขียนข้อความขอร้องให้พระสงฆ์สามัคคีกันถวายรัชกาลที่ ๓
พอถึงช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ นอกจากความขัดแย้งในหมู่สงฆ์ ภัยการเมืองก็เริ่มเข้าใกล้วชิรญาณภิกขุมากขึ้น มีการเพ่งเล็งบทบาททางการเมือง จนครั้งหนึ่งวชิรญาณภิกขุทรงรำคาญพระทัย นำผ้าขาวเขียนว่า “ไม่เข้า ไม่ออกใครเลย รักษาแต่ตัว เปนข้าแผ่นดิน” ติดไว้หน้าวัด
การเกิดขึ้นของธรรมยุต เป็นทั้งการเมืองและการปรับปรุงศาสนาพุทธให้มีเหตุผลมากขึ้นของชนชั้นนำสยามในยุคนั้น
เดิมวัดบวรนิเวศวิหารมีพระพุทธสุวรรณเขต (อัญเชิญจากเพชรบุรี) เป็นพระประธานในพระอุโบสถ เมื่อวชิรญาณภิกขุมาครองวัดบวรฯ ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตให้ย้ายพระพุทธชินสีห์ (อัญเชิญจากพิษณุโลก) จากมุขหลังพระอุโบสถวัดบวรฯ มาประดิษฐานเบื้องหน้าพระพุทธสุวรรณเขต ทำให้วัดนี้มีพระประธานสององค์
“ธรรมยุต”
รุกอีสาน
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ เล่าว่า เมื่อรัชกาลที่ ๓ ใกล้สวรรคต มีรับสั่งให้ขุนนางประชุมกันเพื่อเลือกผู้สืบราชสมบัติ “สุดแท้แต่จะเห็นดี” โดยตรัสถึงความกังวลเกี่ยวกับ “ว่าที่กษัตริย์” แต่ละองค์ โดยเฉพาะ “ท่านฟ้าใหญ่” (วชิรญาณภิกขุ) ที่ทรงวิจารณ์ว่ามีพระสติปัญญารักษาแผ่นดินได้ แต่ “...ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็จะให้พระสงฆ์ห่มผ้าอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง”
ต้นเรื่องนี้มาจากพระราชหัตถเลขาที่รัชกาลที่ ๓ พระราชทานไปถึงกรมขุนอดิศร (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช พระโอรสในเจ้าฟ้ามงกุฎ) แสดงความอัดอั้นพระทัยที่มีมานาน ด้วยทรงมองว่าการห่มแหวกนั้น “เสียเกียรติยศแผ่นดิน” เพราะไปเหมือนพระมอญ พระพม่า
เมื่อทราบเรื่องนี้จากกรมหมื่นนุชิตชิโนรส (ต่อมาคือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) วชิรญาณภิกขุทรงทำปฏิญญาฉบับหนึ่งว่า เมื่อยังหนุ่มทรงมุ่งปฏิบัติให้ถูกต้องมิได้คิดการแผ่นดิน เมื่อพระเชษฐา (รัชกาลที่ ๓) ไม่พอพระทัยก็จะปรับเปลี่ยน ให้พระฝ่ายธรรมยุตที่ห่มแหวกอย่างมอญ “ครองผ้าเสียใหม่อย่างพระสงฆ์มหานิกาย มิให้ขัดพระราชอัธยาศัย” และนำพระธรรมยุตเข้าไปสวดมนต์อธิษฐานในพระอุโบสถวัดพระแก้วขอให้พระโรคหายโดยไว
รัชกาลที่ ๓ เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒ เมษายน ๒๓๙๔
ช่วงผลัดแผ่นดินเกิดกรณีกรมขุนพิพิธภูเบนทร์ (พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒) ซ่องสุมผู้คน จมื่นไวยวรนาถ (กาลต่อมาคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) ต้องนำทหารใส่เรือเข้ามาจากปากน้ำกดดันกรมขุนพิพิธฯ เมื่อเรื่องสงบขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีตระกูลบุนนาคเป็นแกนนำจึงทูลเชิญวชิรญาณภิกขุลาสิกขาขึ้นครองราชสมบัติ
นฤมล ธีรวัฒน์ ชี้ว่านี่คือ “ชัยชนะขั้นสูงสุดทางการเมือง” ของวชิรญาณภิกขุ แต่เมื่อครองราชย์ก็มิได้ทรงมีพระราชอำนาจเต็มที่ เพราะตระกูลบุนนาคมีอิทธิพล
ยังมีความท้าทายคือทรงต้องทำให้พระมหานิกายยอมรับพระองค์ในฐานะธรรมราชา (ที่มาจากฝ่ายธรรมยุต) ให้ได้
พระมหาสมณนิพนธ์ เล่าว่า เมื่อครองราชย์ รัชกาลที่ ๔ ทรงยกสำนักวัดบวรนิเวศเป็น “บวรนิเวศาทิคณะ” เป็นสาขาหนึ่งของโครงสร้างปกครองสงฆ์ที่เรียกว่าคณะกลาง (ภายหลังเป็นคณะธรรมยุติกนิกาย) ให้พระศิษย์หลวงองค์สำคัญคือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นอธิบดีสงฆ์ (เจ้าอาวาส) ผู้ครองวัด
พระนิกายธรรมยุตยังกราบบังคมทูลขอเรื่องห่มจีวรกับรัชกาลที่ ๔ ชี้แจงว่าที่ผ่านมาพอห่มแบบมหานิกาย (ช่วงรัชกาลที่ ๓ ประชวร) “...จำใจทำด้วยฝืนความรู้สึกว่าไม่ถูก เป็นการคับใจอยู่”
แน่นอนว่ารัชกาลที่ ๔ ทรงอนุญาต “ไม่ทรงถือว่าการพระศาสนาเข้ามาเกี่ยวด้วยการแผ่นดิน”
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงฉายหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี ๒๔๓๔ พระชนมายุ ๓๒ พรรษา
ในรัชกาลใหม่ ผู้เลื่อมใสธรรมยุติกนิกายเข้าวัดและทำบุญกับวัดธรรมยุตได้โดยไม่ต้องระมัดระวังเหมือนสมัยรัชกาลที่ ๓ ทั้งยังเกิดธรรมเนียมพระราชวงศ์จักรีทรงผนวชในธรรมยุติกนิกาย เช่น ปี ๒๔๐๙ รัชกาลที่ ๔ ทรงให้จัดพระราชพิธีผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๕) เป็นงานใหญ่คล้ายคราวพระองค์ทรงพระผนวชในสมัยรัชกาลที่ ๒
พระสงฆ์จากนิกายธรรมยุตได้รับหน้าที่ในพระราชพิธีต่าง ๆ มากขึ้น มีพระศิษย์หลวงกระจายกันไปครองวัดสำคัญในส่วนกลางหลายวัด เช่น พระครูปทุมธรรมธาดา (ก่ำ คุณสมฺปนฺโน) เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดปทุมวนารามในระยะนี้ธรรมยุตเริ่มขยายตัวสู่ภาคอีสาน โดยรัชกาลที่ ๔ ทรงให้เจ้าเมืองอุบลราชธานีอาราธนาพระพนฺธุโล (ดี) พระเทวธมฺมี (ม้าว) ไปสร้างวัดสุปัฏนาราม โดยเป็นเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสตามลำดับ พร้อมกับพระราชทานเงิน ๖๐ ชั่ง เลกวัด ๖๐ คน นิตยภัต (เงินเดือน) เจ้าอาวาสเดือนละ ๘ บาท
ถือเป็นวัดธรรมยุตแห่งแรกในภาคอีสาน
การที่ทั้งพระดีและพระม้าวได้รับพระบรมราชานุญาตให้อุปัชฌาย์ (บวช) กุลบุตรได้ ส่งผลให้มีพระจากภาคอีสานมาศึกษาปริยัติธรรมในพระนครและวัดบวรนิเวศมากขึ้น วิทยานิพนธ์เรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างวงศ์พระป่าสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต กับราชสำนัก คณะสงฆ์ และชนชั้นนำกรุงเทพ ทศวรรษ ๒๔๗๐ ถึง ๒๕๓๐” ของ สพล องค์พิเชฐเมธา บอกเราในตอนนี้ว่า พระธรรมยุตที่เข้าไปในอุบลราชธานี ถูกชาวอุบลฯ เรียกว่า “พระครองมอญ” ผลคือคณะสงฆ์แบ่งแยกเพิ่มขึ้นอีก จากเดิมในพื้นที่มีพระมหานิกาย (พระครองไทย) และพระสงฆ์ที่รับอิทธิพลพุทธศาสนาแบบล้านช้าง (พระครองลาว) อยู่แล้ว
ความใกล้ชิดราชสำนักของวัดสุปัฏนารามทำให้ชนชั้นนำในท้องถิ่นส่งบุตรหลานเข้าบวชเรียนจนเป็นสำนักโดดเด่น กลายเป็นคู่แข่งกับวัดของมหานิกายที่นำโดยพระอริยวงศาจารย์ญาณวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย) เจ้าคณะเมืองอุบลฯ ซึ่งมีอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓
ภาพของความเป็นคู่แข่งเห็นได้จากบันทึกของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) (พระธรรมยุตอีสานรุ่นแรก) ที่เล่าว่าปลายทศวรรษ ๒๓๙๐ เกิดความขัดแย้งระหว่างสองนิกายอย่างรุนแรงในอุบลฯ ว่า “...มาวันหนึ่งในตอนเช้า ต่างฝ่ายต่างออกบิณฑบาต...” เมื่อพระวัดสุปัฏนารามและวัดป่าน้อยสวนกัน คล้อยหลังเถระเดินไปแล้วท้ายแถวก็ “...เกิดสัมประหารกันขึ้นจนหัวร้างข้างแตก โกลาหลไปทั่วบ้านทั่วเมือง” จนทางการจัดประชุมที่คุ้มเจ้าเมือง ให้พระสองนิกายขอขมาต่อกันและออกนโยบาย “ไม่ให้บิณฑบาตสวนทางกัน”
ในส่วนกลาง พระสองนิกายแยกกันทำกิจสงฆ์ชัดเจนมากขึ้น เช่น พระธรรมยุตไม่ลงอุโบสถกับมหานิกาย โดยต้นตอมาจากการที่พระฝ่ายธรรมยุตมองพระมหานิกายว่าเป็น “อนุปสัมบัน” (เทียบเท่าเณรถือศีล ๑๐ ข้อ) เพราะอุปสมบทในสีมาที่ไม่บริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังวางกฎว่าพระมหานิกายที่จะญัตติ (บวชใหม่) เข้าธรรมยุต ต้องถอดจีวรนุ่งขาวห่มขาวก่อน กระทั่งการอุปสมบทพระแบบมีพระสองนิกายนั่งปรกในพิธีอุปสมบทร่วมกัน ทางธรรมยุตก็จะถือว่าพระบวชใหม่นั้นเป็นพระมหานิกาย ไม่ใช่ธรรมยุต
รัชกาลที่ ๔ ยังทรงสถาปนาวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม มีจารึกหลังพระวิหารว่าพระราชทานวัดนี้แด่ธรรมยุติกนิกาย “ให้อยู่แต่ท่านผู้ที่คนทั้งปวงรู้พร้อมกันว่าเป็นศิษย์ศึกษาต่อ ๆ ไป...” และจารึกคำขาดว่า หากพระธรรมยุตที่นี่เปลี่ยนนิกาย เปลี่ยนศาสนา ก็จะ “หลุดจากเปนเจ้าของที่นี้ จะอยู่ในที่นี้ไม่ได้” หรือถ้าธรรมยุตสิ้นไปก็ให้ถวายที่แด่พระพุทธเจ้า หากกษัตริย์องค์ต่อไปจะทรงใช้พื้นที่ก็ขอให้ “ซื้อที่อื่นเท่าที่นี้ฤๅใหญ่กว่าที่นี้ด้วยราคาเท่าที่นี้” และเลือกพื้นที่ใหม่ที่พระสายธรรมยุตจะจำวัดได้โดยไม่เดือดร้อน
ทั้งหมดนี้แสดงพระราชประสงค์แบ่งแยกนิกายค่อนข้างชัดเจน
อย่างไรก็ดีผลจากพระราโชบายนี้ รัชกาลที่ ๔ ทรงบันทึกไว้ว่า พระมหานิกายที่เคยเข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ ๓ อยู่เนือง ๆ พอมาถึงรัชกาลที่ ๔ ก็ไม่มาเฝ้าฯ พระองค์อีกเลยตลอดรัชกาล โดยทรง “บ่น” ไว้ว่า “ถึงเจ้าแผ่นดินจะป่วยจะไข้มากมายอยู่หลายวัน หรือลูกเสียเมียตายวุ่นวายอย่างไร ก็ไม่มีพระสงฆ์องค์หนึ่งองค์ใดมาถามมาไถ่มาเยี่ยมมาเยือนนอกจากสังฆการีไปนิมนต์มา...สำคัญเหมือนเจ้าแผ่นดินทุกวันนี้เข้ารีตฝรั่งเสียแล้ว”
รัชกาลที่ ๕ มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส คราวเสด็จประพาสวัดบวรนิเวศวิหาร ปี ๒๔๔๘
ภาพ : สมุดภาพพระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
กำเนิด “พระป่า”
สายธรรมยุต
ไม่ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งพระทัยหรือไม่ การตั้งวัดธรรมยุตในอุบลราชธานีส่งผลให้เกิดพระธรรมยุตรุ่นใหม่ที่ในอนาคตจะเป็นกำลังสำคัญในการปกครองคณะสงฆ์อีสานจำนวนหนึ่ง
ด้วยมีธรรมเนียมว่าจะส่งพระอีสานมาเรียนในพระนครทุก ๓ ปีอย่างต่อเนื่อง พระสงฆ์รูปสำคัญที่เป็นผลผลิตจากยุคนี้คือ พระสิริจนฺโท (จันทร์), พระติสฺโส (อ้วน), พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล), พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) ซึ่งเข้ามาสู่สำนักธรรมยุตที่อุบลราชธานี
เมื่อเข้าสู่แผ่นดินรัชกาลที่ ๕ ความพยายามรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ทำให้มีการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (ปี ๒๔๔๕) มีสาระสำคัญคือคุมอำนาจเชิงพื้นที่ แต่งตั้งบุคลากรที่ไว้ใจได้ด้วยระเบียบสมัยใหม่ (อาณานิคม) รัฐสามารถให้คุณและโทษกับพระสงฆ์ในท้องถิ่น ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนสถานะพระสงฆ์ในไทยทั้งหมดให้มีสถานะกึ่งข้าราชการ
รัฐบาลรัชกาลที่ ๕ พบการต่อต้านจากท้องถิ่นหลายแห่ง ที่โด่งดังคือกรณีครูบาศรีวิชัย พระเถระที่ได้รับความนับถือในล้านนา (ภาคเหนือ) ซึ่งขัดแย้งกับส่วนกลางที่รวมศูนย์การแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์ ไม่อนุญาตให้พระในท้องถิ่นรับบวชได้อีก โดยครูบาศรีวิชัยถูกกล่าวหาว่าต้องอธิกรณ์ถึงสามครั้ง แต่ในกรณีภาคอีสานนั้นต่างไป พระธรรมยุตจากวัดสุปัฏนารามกลายเป็นกำลังสำคัญของรัฐ เช่นกรณีพระอริยกวี (อ่อน) เมื่อพระอาจารย์ม้าว เจ้าอาวาสวัดศรีทองมรณภาพแล้ว รัชกาลที่ ๕ ทรงส่งไปครองวัดต่อ โดยตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่จังหวัดอุบลราชธานีด้วย ทำให้ฝ่ายธรรมยุตมีอำนาจปกครองสงฆ์ทุกนิกายในอุบลราชธานีเป็นครั้งแรก
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ทศวรรษ ๒๔๓๐ ห้วงที่พระมหานิกายในอีสานจำนวนมากขอญัตติ (บวชใหม่) เข้าสู่ธรรมยุต เกิดคณะสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายที่ต่อมาจะถูกเรียกว่า “พระป่า” ขึ้น เริ่มจากกลุ่มพระที่เข้ามาศึกษาในวัดศรีทอง นำโดยพระเสาร์ กนฺตสีโล พระมหานิกายจากวัดใต้ อุบลราชธานี
สพล องค์พิเชฐเมธา ระบุว่าพระเสาร์นั้น “เป็นพระกรรมฐาน ต่างจากพระธรรมยุติโดยทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมเป็นอันดับแรก” ซึ่งโดยพื้นฐานพระภาคอีสานมีการปฏิบัติในลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่จุดนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นกำเนิด “พระสายกรรมฐาน” ในคณะธรรมยุติกนิกายอุบลราชธานีนั่นเอง
ทั้งนี้พระเสาร์เมื่อมาศึกษากับพระอาจารย์ม้าวก็ตัดสินใจญัตติ (บวช) ใหม่เข้าธรรมยุต ผลคือวัดใต้ “แปลง” (เปลี่ยน) จากวัดมหานิกายกลายเป็นธรรมยุตเป็นวัดแรกในอุบลราชธานี ต่อมาเมื่อพระเสาร์เป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ วัดเลียบก็กลายเป็น “ห้องทดลองแรกของปฏิปทาแบบใหม่ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างวัตรปฏิบัติดั้งเดิม...การออกธุดงค์เพื่อฝึกกรรมฐาน แสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อฝึกวิชาอาคม กับวัตรปฏิบัติของคณะธรรมยุต นั่นคือความเคร่งครัดในการรักษาพระธรรมวินัยตามค่านิยมของราชสำนัก และถือเป็นสำนักกรรมฐานแห่งแรกของคณะธรรมยุตเมืองอุบลราชธานี”
ต่อมา พระมั่น ภูริทตฺโต ก็อุปสมบทและจำพรรษาที่วัดเลียบ ให้กำเนิด “วงศ์พระป่าสายพระอาจารย์มั่น” ขึ้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ ๒๔๓๐ พระมั่นเริ่มกิจกรรม “ธุดงควัตร” ร่วมกับพระเสาร์, พระหนู ฐิตปญฺโญ, พระครูสีทา ชยฺเสโน ออกธุดงค์จากอุบลราชธานีไปที่หลวงพระบาง ขากลับยังส่งผลให้เกิดการบูรณะพระธาตุพนมที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมในปี ๒๔๔๔ ทำให้เกิดคณะสงฆ์ธรรมยุตในนครพนม
สพลมองว่านี่ถือเป็นการเผยแผ่ธรรมนอกเมืองอุบลราชธานีครั้งแรกของพระป่าสายธรรมยุต
ประกาศนียบัตรของมหามกุฏราชวิทยาลัยที่ถวายแก่พระนักเรียนสายธรรมยุตผู้ผ่านการสอบบาลีไวยากรณ์
ภาพ : สมุดภาพพระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
จาก “บักเหลือง”
สู่ “พระป่า”
คู่ขนานกับความเคลื่อนไหวของพระป่าสายธรรมยุต คือส่วนกลางที่เริ่มส่งพระธรรมยุตเข้าสู่ตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในพื้นที่ต่าง ๆ ให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาทำบัญชีพระสงฆ์ ห้ามพระสงฆ์ข้องเกี่ยวกับธรรมเนียมที่ขัดพระวินัย เช่น ทำบั้งไฟ แข่งเรือ สะสมอาวุธ สูบฝิ่น กัดปลา ฯลฯ เพื่อให้เข้ากับค่านิยมที่กรุงเทพฯ ต้องการ ส่วนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ๒๔๓๔ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่กับฝ่ายธรรมยุตตลอดมา
ทศวรรษ ๒๔๕๐ พระราชมุนี (อ้วน ติสฺโส) เจ้าคณะมณฑลอีสานเริ่มจัดระเบียบการปกครองสงฆ์ให้มีลำดับขั้นมากขึ้น ผลคือพระพื้นเมืองถูกรวบเข้าสู่โครงสร้างคณะสงฆ์ใต้อิทธิพลของพระธรรมยุต มีการประกาศเลิกพิธีไสยศาสตร์ พิธี “ฮดสรง” (การตั้งสมณศักดิ์พระโดยชาวบ้าน) เพราะเป็นอำนาจกษัตริย์
เรื่องนี้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของพระป่าสายพระมั่น ที่ในทศวรรษ ๒๔๖๐ ธุดงค์อยู่ในพื้นที่มณฑลอุดรธานี (อีสานเหนือ) สอนชาวบ้านให้เลิกถือผี หันมาถือพระรัตนตรัย ทั้งนี้ อาสา คำภา นักวิชาการจากสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า พระป่าสายนี้มีส่วนเปิดพื้นที่ป่ารกชัฏ ทำให้เกิดหมู่บ้านใหม่ เพราะประชาชนบางส่วนก็ตามพระธุดงค์ไปยังพื้นที่ซึ่งเชื่อว่าต้องห้ามหรืออยู่ไม่ได้ เมื่อพระป่าไปอยู่ก็ย่อมเป็นพื้นที่อยู่อาศัยทำกินได้ และ “วัดป่า” ก็กลายเป็นศูนย์กลางหมู่บ้าน
แต่ก่อนที่จะมีบรรยากาศแบบนี้ พระป่าก็ต้องผ่านการต่อต้านมาก่อน
ที่ขอนแก่นพระธรรมยุตรูปหนึ่งบันทึกไว้ว่า คนสมัยนั้นไม่เคยเห็นพระกรรมฐาน มองเป็นสัตว์ เป็นงูจงอางเลยเรียกว่า “พวกบักเหลือง” มีการถือไม้ถือค้อนเดินมาดู พูดว่า “พวกมันมาแท่น (แทะ) หัวผีหล่อน (กะโหลก) อยู่ในป่าช้าวัดโคกเหล่างา...” ชาวบ้านยังเชื่อว่าบักเหลืองทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดู ต้องไล่ให้พ้นหมู่บ้าน ขู่ว่าถ้าไม่ออกไป “จะเอาลูกทองแดงมายิงบูชา” เรื่องนี้แสดงถึงความตึงเครียดระหว่างพระธรรมยุตกับความเชื่อแบบเดิม
ช่วงนี้พระอาจารย์มั่นยังมีลูกศิษย์ที่เข้ามาฝากตัวหลายรูป เช่น พระเทสก์ เทสรํสี พระแหวน สุจิณฺโณ และพระฝั้น อาจาโร แต่การเข้าไปของพระป่าสายนี้ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ด้วยเดิมทีหมู่บ้านในภาคอีสานนั้นมี “พระครองลาว” หรือพระในนิกายดั้งเดิมอยู่แล้ว ในช่วงแรกพระธรรมยุตต้องหลีกเลี่ยงไปอยู่ตามป่าช้า ป่าดอนปู่ตา ปักกลดอยู่ในป่า คำว่า “พระป่า” จึงเกิดขึ้น ต่อมาการขยายตัวของพระป่าสายพระอาจารย์มั่นยังทำให้มีพระมหานิกายในอีสานขอญัตติ (บวชใหม่) สู่ธรรมยุติกนิกายมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี (พระธรรมยุตที่เติบโตมาจากการวางรากฐานของพระมั่นในนครพนม) ที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เป็นพระอุปัชฌาย์
ปัญหาในขบวนของธรรมยุตเองก็ปรากฏในช่วงนี้เห็นได้ในปี ๒๔๖๙ เมื่อพระมั่นนำพระป่าจำนวนมากย้ายสถานที่จาริก เดินทางเข้าสู่เขตเมืองอุบลราชธานีแต่ถูกขัดขวาง ตามคำสั่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ที่ “ให้เจ้าคณะแขวงอำเภอไปทำการขับไล่...ห้ามไม่ให้ประชาชนใส่บาตร ประชาชนไม่ฟังเสียง นายอำเภอไปทำการจดชื่อและตรวจสอบหลักฐานของพระทุกองค์ เป็นเชิงขู่จะให้หนีไป แต่พระทั้งหลายก็ไม่ตกใจ” เพราะมองว่าพระป่าเหล่านี้ไม่เรียนปริยัติ ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แม้ว่าเรื่องจะจบลงโดยไม่เกิดความรุนแรง แต่ก็กลายเป็นคลื่นใต้น้ำระหว่างพระสองสายในธรรมยุติกนิกาย อย่างไรก็ตามน่าประหลาดใจว่า ช่วงต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มพระป่าสายหลวงปู่มั่นกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ก็ดีขึ้น
อาสา คำภา อธิบายกรณีนี้ว่า สุดท้ายธรรมยุตจากส่วนกลางก็มองว่าพระป่ามีศักยภาพ “เข้าไปเกี่ยวข้องกับมวลชนอย่างเป็นธรรมชาติ” จึงไม่อาจดูแคลนได้
ดังนั้น “วิธีที่ดีที่สุดก็คือประสานประโยชน์ ปรับทัศนคติ-อคติ เพื่อเข้าสู่ภาวะ ‘ปรองดอง’”
ภายหลังคณะราษฎรหมดอำนาจในปี ๒๔๙๐ ความขัดแย้งระหว่างมหานิกาย-ธรรมยุต ยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างถวายเป็นท้องพระโรงแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส บนที่ตั้งเดิมของโรงพิมพ์ สมัยรัชกาลที่ ๔
“ธรรมยุต”
หลังปี ๒๔๗๕
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎร ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในหมู่พระสงฆ์สยาม เกิดแนวคิดเรื่องการมีรัฐธรรมนูญปกครองคณะสงฆ์ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แทนที่การรวมศูนย์อำนาจตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มานานกว่า ๓ ทศวรรษ
ไทยปิฎก งานศึกษาประวัติพุทธแบบไทยของ ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ เล่าถึงบรรยากาศช่วงนี้ว่า เกิดความวุ่นวายขึ้นในวัดสามแห่ง คือ วัดปทุมคงคา วัดปทุมวนารามและวัดดวงแข ระหว่างปี ๒๔๗๕-๒๔๗๗
เริ่มจากที่วัดปทุมคงคา พระลูกวัดต้องการล้มระเบียบสอบนักธรรมบาลีสนามหลวงแต่เจ้าอาวาสไม่ยอม จึงเกิดการปาสิ่งของใส่กุฏิ พอเรื่องไปถึงมหาเถรสมาคมก็มีมติขับไล่พระที่ก่อเรื่องออกจากศาสนา (บัพพาชนียกรรม) ปีต่อมาที่วัดปทุมวนารามเกิดเหตุการณ์คล้ายกัน ส่วนที่วัดดวงแข พระที่เคยอยู่วัดปทุมฯ กลับมาก่อคดี คราวนี้มหาเถรสมาคมถึงขั้นตัดสินใจ “ยุบวัด” เพราะพบว่าพระส่วนมากเป็นคนอีสาน
ศาลาฤาษี สถานที่เรียนหนังสือไทยของมหามกุฏราชวิทยาลัยยุคแรก
ภาพ : สมุดภาพพระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (ธรรมยุต) ทรงมองว่าการกระทำนี้ “ไม่เคารพนับถือประมุขสงฆ์...จะให้คณะสงฆ์แตกแยกกันเป็นคณะ ซึ่งเป็นอาการแห่งสังฆเภทอนันตริยกรรม มีโทษอย่างหนัก”
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๗ ยังมีการรวมตัวกันของ “คณะปฏิสังขรณ์ศาสนา” ที่มีพระหนุ่มเป็นสมาชิกกว่า ๓๐๐ รูป แถลงการณ์สะท้อนปัญหาที่สะสมมานานของสองนิกายว่า “...เพื่อความเสมอภาคในการปกครองคณะสงฆ์ และเพื่อการรวมนิกายสงฆ์ให้มีสังวาสเสมอกัน...”
ถ้าคำนึงว่าขณะนั้นไทยมีวัดมหานิกาย ๑๗,๓๐๕ วัด ธรรมยุต ๒๖๐ วัด แต่ในเชิงโครงสร้างธรรมยุตมีอำนาจมากกว่าก็จะเห็นปัญหาได้ชัด คณะปฏิสังขรณ์ฯ เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็สลายตัวจากการลาออกอย่างมีเงื่อนงำของพระแกนนำหลายรูป ทั้งมีการกลั่นแกล้งพระที่ร่วมลงชื่อในหนังสือที่ยื่นถึงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร/ธรรมยุต) ผู้บัญชาการคณะสงฆ์ (ทำการแทนสมเด็จพระสังฆราชซึ่งสิ้นพระชนม์ในเดือนสิงหาคม ๒๔๘๐)
ปี ๒๔๗๙ รัฐบาลในการนำของพระยาพหลพลพยุหเสนา ยื่นร่างกฎหมายให้มหาเถรสมาคมพิจารณา โดยจัดประชุมระหว่างสองนิกาย ได้ร่างถึงสามร่าง คือ ร่างกรรมาธิการร่วมสองนิกาย ร่างกระทรวงธรรมการ และร่างฝ่ายธรรมยุต แต่ก็หาข้อยุติไม่ได้ในมาตรา ๕ โดยในร่างกรรมาธิการ ฝ่ายธรรมยุตเห็นด้วย เพราะให้ส่วนกลางมีระบบปกครองสงฆ์รวมกัน ส่วนภูมิภาคปกครองแยกกัน ขณะที่อีกสองร่างไม่ลงรายละเอียด ในที่สุดเรื่องก็ถูกโยนไปที่สภาผู้แทนราษฎร
มติของฆราวาสที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) คือให้ “รวมการปกครอง แยกศาสนพิธี”
ภาพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ใกล้กับพระอุโบสถ ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร
ระหว่างกฎหมายปกครองสงฆ์ฉบับใหม่ค้างเติ่งอยู่ในสภาเกิดความเคลื่อนไหวสำคัญคือมีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว/มหานิกาย) ในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๑ เท่ากับเป็นการยุติการครองตำแหน่งของฝ่ายธรรมยุตซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ผลที่ตามมาคือมีการรื้อคดีสงฆ์ที่ผิดปรกติมาแก้ไข มีการโอนวัดธรรมยุตไปอยู่กับมหานิกาย (ปี ๒๔๘๒) กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชทรงอุปัชฌาย์ “นาคหลวง” ให้ได้ทั้งสองนิกาย
ต่อมามีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ในเดือนตุลาคม โดยมีแถลงการณ์ประกอบว่าได้รับความเห็นชอบจากคณะสงฆ์ ผ่านสภาอย่างถูกต้องเปิดทางให้สังคายนาพระไตรปิฎก และ ๘ ปีต่อไปหลังกฎหมายบังคับใช้ ให้ “รวมนิกาย” เป็นหนึ่งเดียวกัน
พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้โครงสร้างการปกครองสงฆ์ไทยคล้ายทางโลก แบ่งอำนาจเป็นสามฝ่าย คือ ฝ่ายบริหารนำโดย “สังฆนายก” และสังฆมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติดำเนินการโดย “สังฆสภา” จำนวน ๔๕ รูปที่ถูกเลือกจากพระชั้นธรรม พระเปรียญเอก จำนวน ๔๕ รูป และฝ่ายตุลาการ มีคณะวินัยธรตัดสินคดี
ภาพรวมหลังมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ พระจากมหานิกายมีส่วนบริหารงานคณะสงฆ์มากขึ้น การรวมศูนย์ที่เคยขึ้นกับมหาเถรสมาคมหายไป สมเด็จพระสังฆราชทรงมีสถานะเป็นพระประมุขคณะสงฆ์และอยู่เหนือการเมือง อย่างไรก็ตามยังคงมีการแบ่งสายปกครองระหว่างสองนิกาย
พระมหานิกายที่ขึ้นมาโดดเด่นคือพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง (ในทางโลกเทียบเท่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) มีบทบาทช่วยเหลือรัฐบาลคณะราษฎรตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนถึงช่วงสงครามโลก ครั้งที่ ๒ หลังสงครามยังมีบทบาทขยายการศึกษาด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระด้วยการส่งพระสงฆ์ไปดูงานที่พม่าในปี ๒๔๙๕ จากนั้นก็อาราธนาพระเถระพม่าเข้ามาสอนในปี ๒๔๙๖
พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ)
ชาวพุทธบางคนอาจจำได้เมื่อกล่าวถึงการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจแบบ “พองหนอ-ยุบหนอ” ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กรรมฐานของสำนักพระป่าสายอาจารย์มั่น
ยังมีการเปิดวิชาสามัญในมหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่ง คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย (ธรรมยุต) และมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มหานิกาย)
ทางด้านธรรมยุตสามารถยึดตำแหน่งสังฆนายกสมัยแรกได้ โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) รวมวัดป่าในเขตอีสานมาขึ้นกับธรรมยุตทั้งหมด
อย่างไรก็ตามพระฝ่ายมหานิกายก็แตกแยกกันภายในจากความไม่ไว้วางใจกันและกัน จนทำให้ในรัฐบาลสงฆ์ชุดแรกตำแหน่งสังฆนายก (บริหาร) และประธานคณะวินัยธร (ตุลาการ) ตกอยู่กับฝ่ายธรรมยุต มหานิกายมีตำแหน่งเพียงสังฆราช (ประมุข) และประธานสังฆสภา (นิติบัญญัติ) เท่านั้น ต่อมาเจตนาของคณะราษฎรที่ต้องการรวมนิกายก็ล้มเหลว แม้ว่าช่วงหนึ่งอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒ อย่างพระยาพหลพลพยุหเสนาจะบวชโดยมีพระทั้งสองนิกายอุปัชฌาย์ในปี ๒๔๘๔ ที่วัดประชาธิปไตย (วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร หลักสี่ กรุงเทพฯ) นัยว่าเป็นสัญลักษณ์นำร่อง ก่อนจะจัดประชุมเพื่อเดินหน้าเรื่องนี้ในอุโบสถวัดพระแก้ว โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) เป็นประธานในปี ๒๔๘๕ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดหลังจากนั้น
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ความแตกแยกระหว่างสองนิกายดำเนินต่อไป แม้จะมีระบบการเมืองคล้ายฆราวาส แต่การปกครองคณะสงฆ์ก็แยกกันชัดเจน จนถึงยุคที่การเมืองทางโลกเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสายคณะราษฎรหมดอำนาจ เข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พระมหานิกายรูปสำคัญถูกกำจัด เห็นได้จากกรณีคดีพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) พระเถระฝ่ายมหานิกายซึ่งถูกถอดสมณศักดิ์ในปี ๒๕๐๓ ถูกนำตัวไปจากวัดมหาธาตุในเดือนเมษายน ๒๕๐๕ โดยขังไว้ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลเพื่อให้หมดบทบาทลง
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ต่อมาสภาร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาลทหารก็ยกร่างกฎหมายคณะสงฆ์ใหม่ ประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มหาเถรสมาคมกลับมาเป็นแกนของการปกครองคณะสงฆ์ไทยอีกครั้ง โดยมีสมเด็จพระสังฆราชอยู่บนยอดพีระมิดความแตกแยกระหว่างสองนิกายถูกเก็บไว้ใต้พรม
“สงครามเย็น”
และเรื่องราวหลังจากนั้น
ขณะที่การต่อสู้ในเมืองระหว่างธรรมยุต-มหานิกายจบลงด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ในเวลาเดียวกันที่ภาคอีสาน พระป่าสายธรรมยุตก็มีสถานะเปลี่ยนไป อันเป็นผลจากการต่อสู้ในกรุงเทพฯ
สแตนลีย์ เจ. แทมบายห์ (Stanley J. Tambiah) นักสังคมวิทยาศาสนา อธิบายว่าหลังปี ๒๔๗๕ ฝ่ายธรรมยุตตัดสินใจขยายบทบาทพระป่าในฐานะ “พระสายกรรมฐาน”
เพื่อแข่งขันโดยนัยกับพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) แห่งวัดมหาธาตุ ที่ส่งเสริมวิปัสสนาธุระแบบ “พองหนอ-ยุบหนอ” ซึ่งนำเข้ามาจากพม่า
อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากคือ การเสด็จนิวัตพระนครของรัชกาลที่ ๙ ในปี ๒๔๙๔ เพราะพระองค์มักเสด็จฯ ไปนมัสการสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ชื่น สุจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บทบาทของวัดบวรนิเวศได้รับการฟื้นฟูหลังจากซบเซามานาน ปลายปี ๒๔๙๙ เมื่อรัชกาลที่ ๙ ทรงพระผนวชเป็นเวลาสั้น ๆ ทำให้พระโศภนคณาภรณ์ (เจริญ สุวฑฺฒโน-ต่อมาทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙) ที่มีสายสัมพันธ์กับพระป่าสายหลวงปู่มั่นมีบทบาทเพิ่มขึ้น ด้วยขณะนั้นวัดบวรนิเวศให้ความสำคัญกับการอบรมกรรมฐานประจำสัปดาห์ ซึ่งในทางหนึ่งทำให้ชนชั้นนำในกรุงเทพฯ เข้ามารวมตัวกันในวัดและนับถือพระป่าสายหลวงปู่มั่นมากขึ้น
เมื่อพระโศภนคณาภรณ์เป็นเจ้าอาวาส (สมณศักดิ์พระสาสนโสภณ) ต้องมีบทบาทมากขึ้นในการสอนกรรมฐานให้ญาติโยม ต้องถวายวิสัชนา (ตอบ) ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรื่องกรรมฐาน พระสาสนโสภณ (เจริญ) ก็สนใจติดต่อกับพระป่าสายหลวงปู่มั่นมากขึ้น โดยเฉพาะพระสิงห์ ขนฺตยาคโม
กลางทศวรรษ ๒๕๐๐ พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เข้ามานมัสการพระสาสนโสภณที่วัดบวรนิเวศ หลังจากนั้นทั้งสองรูปก็ติดต่อไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ เล่าว่า ในยุคสงครามเย็นที่การต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจค่ายคอมมิวนิสต์กับโลกเสรีเข้มข้นมากขึ้น มีพระป่าที่มีบทบาทต่อต้านคอมมิวนิสต์ เช่น พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งแจกเครื่องรางของขลังให้เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากช่วงปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐
ถ้ากางแผนที่ประเทศไทยยุคสงครามเย็นจะเห็นว่าพื้นที่ธุดงค์ของพระป่าในอีสานล้วนอยู่ในจุดที่มีความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ส่วนความเคลื่อนไหวของพระมหานิกายจะกลับมาอีกครั้งหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ช่วงประชาธิปไตยเต็มใบระหว่างปี ๒๕๑๖-๒๕๑๙ เกิดกลุ่มพระสงฆ์เคลื่อนไหวกว่า ๒๐ กลุ่ม แต่ก็ยุติไปหลังจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
ภาพ : ตามรอยพระอริยเจ้า
ภิญญพันธุ์อธิบายว่า ตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา เกิดความเฟื่องฟูในการอ้างคุณธรรม ศีลธรรม และการเป็นคนดี เพราะในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ เสียงทางการเมืองถูกปิดกั้น “เสียงผู้สั่งสอนศีลธรรมจึงดังขึ้นเรื่อย ๆ” พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยที่มีทั้งธรรมยุตและมหานิกายก็ต้องปรับตัวสนองตลาดที่มีชนชั้นกลางเป็นลูกค้าและอำนาจรัฐ เกิดสำนักคิดใหม่ ๆ ที่กลายเป็นข้อถกเถียง บ้างก็ท้าทายอำนาจส่วนกลาง เช่น วัดพระธรรมกาย ขบวนการสันติอโศก สวนโมกขพลาราม ฯลฯ
ความขัดแย้งระหว่างสองนิกายมักปะทุขึ้นเมื่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง
ล่าสุดคือช่วงปลายทศวรรษ ๒๕๔๐ เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน, ดำรงตำแหน่งปี ๒๕๓๑-๒๕๕๖) ประชวรจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จากฝ่ายมหานิกายขึ้นปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทน แต่ก็ถูกฝ่ายพระป่าคือหลวงตามหาบัวญาณสมฺปนฺโน มีท่าทีต่อต้าน หลวงตามหาบัวมองสมเด็จเกี่ยวว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลส่งมาเพื่อลดอำนาจสมเด็จพระสังฆราช เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการเมืองที่นำไปสู่การรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ อย่างไรก็ตามกรณีสมเด็จเกี่ยวปรากฏว่าหลวงตามหาบัวมรณภาพในปี ๒๕๕๔ สมเด็จเกี่ยวและสมเด็จพระสังฆราช (ที่ประชวรมาหลายปี) ต่างก็มรณภาพไปก่อนปี ๒๕๕๖
แคนดิเดตองค์ถัดมาคือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) แห่งวัดปากน้ำ (มหานิกาย) แต่ก็ถูกสอบเรื่องการครอบครองรถหรูจนมีมลทิน จึงมีการสถาปนาพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช ในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ทำให้ฝ่ายธรรมยุตครองตำแหน่งประมุขสงฆ์ในปัจจุบัน
การรัฐประหารแฝดในปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๗ ส่งผลอย่างมากต่อคณะสงฆ์ไทย ด้วยสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่เกิดจากการรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ ออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ แก้ไขรายละเอียดในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ทำให้อำนาจแต่งตั้งและถอดถอนสมณศักดิ์กลับไปสู่สถาบันประเพณีอีกครั้ง
ปี ๒๕๖๗ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรายงานว่า ไทยมีพระสงฆ์ทั้งหมด ๒๗๓,๒๙๘ รูป (นับรวมคณะสงฆ์จีนนิกายและอนัมนิกาย) มีวัดธรรมยุติกนิกาย ๔,๕๘๘ วัด วัดมหานิกาย ๓๘,๙๓๔ วัด
หนทางข้างหน้า เรื่องราวมหานิกาย-ธรรมยุตจะเป็นอย่างไร แนวคิดเรื่อง “รัฐฆราวาส” จะเกิดขึ้นได้ในเมืองไทยหรือไม่
ยากที่สาธุชนจะคาดเดา