ธนบัตร ๑๐๐ เรียล
Souvenir & History
เรื่องและภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
ภาพประกอบ : ไพลิน จิตรสวัสดิ์
เมื่อไม่นานมานี้ ผมพบธนบัตรใบหนึ่งซึ่งลืมไปนานแล้ว ซ่อนอยู่ในกล่องที่มักใช้เก็บของที่ระลึกจากต่างประเทศ
มันคือธนบัตรราคา ๑๐๐ เรียลของกัมพูชา
ธนาคารกลางของกัมพูชาจัดพิมพ์ธนบัตรสีส้ม-น้ำตาล ราคา ๑๐๐ เรียล ตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๑๔ ถือเป็นธนบัตรที่มีมูลค่าต่ำที่สุดในกัมพูชาขณะนั้น (เทียบกับเงินบาทไทยมีมูลค่าราว ๘๐ สตางค์)
ธนบัตรใบนี้มีเรื่องน่าสนใจคือ ช่วงต้น ค.ศ. ๒๐๑๕ มีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในกัมพูชาว่า สมควรหรือไม่ที่ธนบัตรชนิดราคาต่ำสุดจะมีภาพอดีตพระมหากษัตริย์คือสมเด็จพระนโรดมสีหนุขณะทรงอุปสมบทอยู่ด้านหน้า มีภาพพระพุทธรูปและวัดพระแก้ว (หรือที่มักเรียกกันว่า “วิหารเงิน” Silver Pagoda) อยู่ด้านหลัง
หนังสือพิมพ์ พนมเปญโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๙ มกราคม ค.ศ. ๒๐๑๕ รายงานว่า ศูนย์วัฒนธรรมและคุณธรรมแห่งชาติของกัมพูชา กับคณะสงฆ์บางส่วนในจังหวัดเสียมเรียบเรียกร้องให้ทางการยกเลิกธนบัตรชนิดราคาดังกล่าวเสีย ด้วยเหตุว่า “พระพุทธรูปเป็นของสูง ไม่ควรอยู่บนธนบัตรราคาต่ำที่สุด” ขณะที่พระภิกษุรูปหนึ่งจากวัดตำหนัก จังหวัดเสียมเรียบ ให้เหตุผลว่า “เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะคนทั่วไปมักเก็บธนบัตรไว้ในกระเป๋ากางเกง หรือแม้แต่ในเสื้อชั้นในผู้หญิง นี่จึงถือเป็นการลบหลู่พระพุทธศาสนา”
มีกรณีศึกษาจากประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งที่มองว่าธนบัตรเป็นพื้นที่สื่อสารค่านิยมของสังคมและหลักการของประเทศ เช่น กรณีธนบัตรญี่ปุ่นจะมีภาพบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่ว่ากวี นักเขียน นักวิทยาศาสตร์ นักการเงิน การธนาคาร นักการศึกษา ทั้งบุรุษและสตรี อยู่ในธนบัตร โดยไม่ได้สนใจว่าต้องมีมูลค่าเท่าใด เพราะพื้นที่บนธนบัตรทุกชนิดราคาล้วนสื่อสารค่านิยมบางอย่างออกไปได้ทั้งสิ้น
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชารอบล่าสุด ธนบัตรไทยเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการเมืองที่ถูกใช้เป็นเครื่องระบายความแค้น ดังมีรายงานข่าวว่าชาวกัมพูชาบางส่วนจุดไฟเผาเพื่อแสดงความไม่พอใจ ในทางกลับกัน ทางฝั่งไทยเองก็ตอบโต้ด้วยการนำสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชามาทำลายหรือแสดงอาการไม่เหมาะสม เรื่องเหล่านี้พบเห็นได้มากมายในโลกออนไลน์
ถึงตอนนี้ (กรกฎาคม ๒๕๖๘) สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาเกิดขึ้นแล้ว ได้แต่สลดใจว่าทำไมสองประเทศจึงไม่สามารถเจรจาเรื่อง “เส้นเขตแดน” ได้โดยสันติ
เพราะสุดท้ายสงครามไม่เคยให้อะไร นอกจาก “เลือด” และ “น้ำตา”