Image

กันโกงเป็นหมู่เหล่า

วิทย์คิดไม่ถึง

เรื่อง : ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ namchai4sci@gmail.com
ภาพประกอบ : นายดอกมา

หากติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นประจำก็อาจเกิดข้อสงสัยว่าคอร์รัปชันบางอย่างดูสลับซับซ้อนและเหมือนจะเกิดจากความร่วมมือของคนจำนวน
ไม่น้อยจึงสำเร็จ  เรื่องแบบนี้มีวิธีป้องกันได้บ้างหรือไม่ ?

มาร์การิตา ลี้บ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมที่สนใจศึกษาเรื่องจริยธรรมของการตัดสินใจแบบรายบุคคลและแบบร่วมมือกันเป็นกลุ่ม สงสัยว่าจะมี “หลักเกณฑ์” บางอย่างที่ทำให้คนแต่ละคนตัดสินใจโกงและ/หรือร่วมมือกับคนอื่นเพื่อโกง ?

มี “เส้นจริยธรรม” อยู่บ้างหรือไม่ ที่เมื่อคนเห็นช่องทางแล้วก็อยากข้ามเส้นดังกล่าว ?

ลี้บและทีมวิจัยของเธอทำวิจัยขึ้นชุดหนึ่งเพื่อตอบคำถามนี้ ซึ่งคำตอบก็น่าสนใจมากทีเดียว

เวลาพูดถึงการทำงานร่วมกันเป็นหมู่เหล่า มักพูดในแง่ดีว่าช่วยทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่คณะและช่วยแก้ปัญหาที่คนคนเดียวอาจไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในบริบทบางอย่างการทำงานเป็นกลุ่มก็เอื้อให้เกิดคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ ช่วยกันปกปิดร่องรอย ทำให้แก้ไขได้ยากขึ้น

ลี้บและทีมเริ่มจากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวม ๓๔ เรื่อง ครอบคลุมอาสาสมัครกว่า ๑ หมื่นคน โดยผู้ที่มาร่วมกันวิเคราะห์ก็มีทั้งนักจิต-วิทยา นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ด้านการบริหารจัดการ ฯลฯ

แน่นอนว่าการนำข้อมูลการทดลองที่แตกต่างกันมาวิเคราะห์ร่วมกันย่อมมีรายละเอียดต่างกันไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วงานวิจัยพวกนี้มักนิยมนำอาสาสมัครมาเล่น “เกมเศรษฐศาสตร์” หรือออกแบบให้ทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องตัดสินใจจำเพาะเจาะจง โดยเลือกมาแต่การทดลองที่ต้องทำในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในทีมเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่เหมือนกันคือ กิจกรรมในการทดลองทั้งหมดจะให้รางวัลอาสาสมัครด้วย โดยขึ้นกับความซื่อสัตย์และความเป็นสมาชิกทีม เช่น หากทีมแก้โจทย์ปัญหาสักอย่างได้ สมาชิกจะได้รับเงินรางวัลเล็กน้อยซึ่งมักเพิ่มขึ้นหากอาสาสมัครผู้นั้นโกง

ผลลัพธ์สรุปรวมจากการทดลองทั้งหมดคือ มีแนวโน้มจะเกิดการโกหกในกลุ่มต่าง ๆ  โดยเฉลี่ยแล้วอาสาสมัครจะได้เงินเพิ่มกว่าที่ “ควรจะได้” หากเล่นตามจริงราว ๓๕.๖ เปอร์เซ็นต์ (แม้ว่าเงินที่ให้มักจะไม่มากนักก็ตาม) นี่ย่อมเป็นข่าวร้ายว่า หากมีช่องทางก็อาจมีคนอยากโกง

แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้างคือ การโกหกแบบนี้มี “ความเกรงใจ” เจืออยู่

มองในแง่หนึ่งอาจบอกได้ว่าอย่างน้อยก็ยังมี “เส้นศีลธรรม” คอยกระตุก แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการระมัดระวังตัวกลัวโดนจับได้ต่างหาก เพราะไม่มีกลุ่มใดเลยที่คนโกงพยายามโกงเต็มแมกซ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

ยกตัวอย่าง เมื่อให้แก้โจทย์ปัญหา ทีมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พยายามอ้างว่าแก้ได้ทุกข้อ

สำหรับการทดลองที่เพิ่มกฎเกณฑ์การลงโทษบางอย่าง เช่น การโกงจะทำให้ผู้ร่วมการทดลองคนอื่นพลอยโดนลงโทษไปด้วย หรือการไม่ซื่อสัตย์ต่อผลการทดลองจะส่งผลเสียต่อองค์กรการกุศลที่จะนำเงินที่ได้ไปบริจาค กลุ่มต่าง ๆ ก็จะลดการโกงลง

ลักษณะของสมาชิกในกลุ่มก็มีผลต่อการโกงด้วย โดยพบว่ากลุ่มที่มีผู้หญิงหรือคนแก่มากกว่า ผู้เล่นมีแนวโน้มจะโกงน้อยลง  ผลการทดลองก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีโอกาสถูกลงโทษมากกว่าและโทษก็มักหนักกว่าจากอคติทางเพศในสังคม จึงมีแนวโน้มจะแสดงออกอย่างซื่อสัตย์มากกว่า ไม่ว่าจะเล่นเกมคนเดียวหรือแบบกลุ่ม

ส่วนคนสูงอายุในใจลึก ๆ ก็อาจรู้สึกว่าตัวเองน่าจะได้รับผลกระทบจากการลงโทษมากกว่า เพราะอายุมากทำให้มีโอกาสแก้ตัวใหม่หลังถูกลงโทษน้อยกว่า

อย่างไรก็ตามนี่เป็นการตีความจากผลการทดลองที่คนอื่นทำไว้ และยังต้องออกแบบการทดลองเฉพาะ เพื่อดูว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่

จากนั้นทีมนักวิจัยชุดนี้ทำวิจัยเพิ่ม โดยวิเคราะห์ว่าหากปล่อยให้การโกงดำเนินต่อไปแล้วจะเป็นอย่างไร  วิธีที่ทำคือให้อาสาสมัครคนหนึ่งทอยเต๋า โดยไม่ให้คนอื่นรู้ผลลัพธ์ จากนั้นให้เจ้าตัวแจ้งเลขที่ได้ให้คู่ของตัวทราบ ก่อนที่คู่ของอาสาสมัครจะทอยเต๋าบ้างและแจ้งผลในแบบเดียวกัน

Image

ทริกที่นักวิจัยใช้คือใครทอยได้เลขสูงกว่าก็จะได้เงิน หากคู่ทอยเต๋าบังเอิญทอยได้เลขเดียวกันก็จะได้เงินตามเลขที่ออก เช่น ทอยได้ ๑-๑ ก็จะได้คนละ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ  การออกแบบการทดลองเช่นนี้เปิดโอกาสให้คนทั้งคู่ทำตัวซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์ได้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพราะคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าตัวเองทอยได้อะไรแน่ จะรู้จากคำบอกเล่าเท่านั้น

หลังจากทอยผ่านไปหลายรอบก็เริ่มมีคนโกง คนทอยก่อนอ้างว่าทอยได้แต้มสูงมาก คนทอยหลังก็ระบุว่าได้เลขเดียวกัน

เมื่อนักวิจัยวิเคราะห์ความน่าจะเป็น ตัดโอกาสที่เป็นไปได้น้อยมากทิ้ง เช่น ทอยได้ ๖ แต้มเหมือนกัน ๒๐ รอบต่อกัน ซึ่งมีโอกาสแค่เพียง ๐.๐๐๑ เปอร์เซ็นต์ ทำให้พบว่ามีการโกงคำตอบเกิดขึ้น 

ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ การโกงแบบนี้มีลักษณะ “ติดต่อกันได้” คล้ายโรคระบาด นั่นคือเมื่อเกิดคนขี้ปดหน้าไม่อาย (brazen liar) และคู่ของเขาหรือเธอรับรู้ได้ ก็จะทำในแบบเดียวกัน วงจรอุบาทว์ของการโกงจึงหมุนเร็วขึ้นและทั้งคู่ก็จะโกงผลการทดลองบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ

คนทอยก่อนก็จะระบุตัวเลขสูงบ่อยครั้งขึ้น ขณะที่คนทอยหลังก็จะระบุว่าทอยได้เลขเดียวกันบ่อยครั้งขึ้นเช่นกัน

นักวิจัยทีมนี้ชี้ว่าผลการทดลองแสดงให้เห็นถึงทางออกของปัญหา “การโกงเป็นกลุ่ม” หลายวิธี เช่น การโกงไม่ได้เกิดในทันทีที่เล่นเกม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะเข้าสู่วงจรอุบาทว์มากขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้นการพยายามตรวจหาร่องรอยความไม่ซื่อตรงให้ได้ “เร็วที่สุด” จะยับยั้งการคอร์รัปชันเป็นหมู่เหล่าได้ชะงัดที่สุด ผู้จัดการหรือผู้บริหารอาจต้องเน้นย้ำ “นโยบาย” และ “ความจริงจัง” เกี่ยวกับการจัดการการโกงหรือคอร์รัปชันว่าถือเป็นเรื่องรับไม่ได้ ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด เพื่อ “ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น” หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ “ป้องกันการระบาด” ของความไม่ซื่อตรงแบบนี้ 

ทั้งนี้อาจต้องร่วมด้วยการเปิดโอกาสให้มีคนแจ้งเบาะแส แม้ว่าผู้นั้นเพิ่งหลุดเข้าวงจรไปร่วมทำความผิดเป็นครั้งแรก และจัดการให้ได้รับการกันตัวไว้เป็น “แหล่งข่าว” เพราะช่วยไม่ให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ถือเป็นวิธี “ตัดไฟแต่ต้นลม” ได้เช่นกัน

หากคนที่รายงานความผิดพลาดไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยก็ยิ่งดี อาจต้องมีรางวัลให้ด้วยซ้ำไป  หากทำเช่นนี้ได้ ผลลัพธ์ที่ควรจะเป็นคือมีคนคอร์รัปชันน้อยลง

น่าสนใจว่าวิธีการที่ได้ผลในห้องปฏิบัติการจะนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ในโลกภายนอกได้ดีเพียงใด ?