อาม่า หม่าม้า และผม
บทสนทนาว่าด้วยความเป็นจีน
ที่หล่นหาย
เรื่อง : ชนกร
ภาพประกอบ : swys.wy
“ไม่แน่ใจว่าควรเรียกตัวเองว่าเป็นลูกหลานบ้านคนจีนไหม” คือความรู้สึกตลอดชีวิต ๒๘ ปีของผมที่หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อเหลือบเห็นศาลเจ้าจีนผ่านกระจกรถไฟทางไกลสายกรุงเทพอภิวัฒน์-หนองคาย ขณะเดินทางไปเยี่ยมครอบครัว
ผมเติบโตมาในครอบครัวเดี่ยวที่ไม่ได้เคร่งประเพณีวัฒนธรรมนัก พ่อเป็นคนไทยอีสานแท้ ๆ ส่วนแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ความทรงจำไกลสุดที่ผมจำได้คือเราอยู่กันสี่คน พ่อ แม่ พี่ แล้วก็ผม ในบ้านพักราชการหลังเล็กที่ต่างอำเภอ ซึ่งความทรงจำวัยกระเตาะของผมไม่มีญาติคนไหนอยู่เลย
ภาพจำว่าครอบครัวผมเริ่มขยายใหญ่เมื่อผมโตขึ้นมาอีกนิดตอนพ่อแม่ย้ายเข้ามาทำงานในเมืองและอยู่ใกล้ครอบครัวเดิมของพวกเขา ผมได้รู้จักอากง อาม่า อาอี๊ อากู๋ และอีกหลายอา...ซึ่งเป็นญาติพี่น้องของแม่
ผมเคยได้เงินแต๊ะเอียจากญาติ ๆ ในวันตรุษจีนบ้าง และเคยไปศาลเจ้าจีนกับแม่อยู่สามสี่หน แต่บ้านเราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนจีนมากขนาดนั้น ผมไม่เคยไปร่วมตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษในวันสารทจีนไม่ได้อะไรกับเทศกาลกินเจ ปีชง หรือวันมงคลทั้งหลาย แม้แต่วันเช็งเม้งเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้ไปทำความสะอาดสุสานเหมือนลูกหลานจีนบ้านอื่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสุสานของตระกูลเราอยู่ที่ไหน
ผมไม่รู้ว่าทำไมเราถึงไม่ไปงานรวมญาติ ความเป็นจีนของบ้านเราหล่นหายไปตอนไหน ก่อนผมเกิดครอบครัวเราเป็นอย่างไร จะให้บอกว่าเป็นลูกหลานจีนก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะปฏิเสธรากเหง้าของตัวเองไปเฉย ๆ ก็ไม่ใช่ ที่ผมรู้มีเพียงความประดักประเดิดในใจ
“กลับบ้านครั้งนี้ถ้าได้คุยกันน่าจะดี” ผมครุ่นคิด โดยไม่นึกเลยว่าบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า “ครอบครัว” ของผมไปอย่างไร
เกิดที่นี่
และไม่เคยไปไหน
“กลับมาแล้วเหรอ” หญิงชราท่าทางใจดีเอ่ยทักทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้าน
“กลับมาแล้วครับอาม่า” ผมทักทายเหมือนทุกครั้ง
ตรงหน้าผมคือ “อาม่า” แม่แท้ ๆ ของแม่ผมซึ่งย้ายมาอยู่กับแม่หลังผมไปเรียนมหาวิทยาลัย แม้จะอายุเกิน ๘๐ แต่ท่านจะตื่นแต่เช้ามาซักผ้าเองทุกวัน คงเป็นความเคยชินของท่านที่ต้องหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อผมเดินทางกลับถึงบ้านตอนเช้า ท่านจึงเป็นคนแรกที่ทักทายผม
“เล่าเรื่องสมัยอาม่าเด็ก ๆ ให้ฟังหน่อยสิ” บ่ายวันนั้นผมชวนอาม่าคุย
“เรื่องอะไรล่ะ” อาม่าทำหน้างง ๆ พร้อมวางผ้าที่กำลังเย็บอยู่
“เรื่องของบ้านเรานี่แหละอาม่า บ้านเรามาจากไหน มาอยู่เมืองไทยได้ไง”
อาม่านิ่งไปพักหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าท่านกำลังพยายามรำลึกความทรงจำ หรือประหลาดใจที่ผมถามเรื่องพวกนี้ครั้งแรกกันแน่
“อาม่าจะเล่าเท่าที่รู้นะ ถ้าย้อนไปก็ร้อยกว่าปีแล้ว เดิมครอบครัวของอาม่าเป็นชาวนาอยู่ที่เมืองจีน พ่อกับแม่ของอาม่าไม่อยากเป็นชาวนา เขาว่ามันลำบาก พอแต่งงานก็ชวนกันย้ายมาอยู่เมืองไทย เข้ามาทางลาวแล้วข้ามฝั่งที่เวียงจันทน์”
ผมพยายามถามว่าบ้านเราอยู่มณฑลไหน หมู่บ้านอะไร แต่อาม่ารู้เพียงเป็นเมืองจีนทางตอนใต้ใกล้ ๆ ชายแดนลาว
“คนรุ่นอาม่าเกิดในไทยโตในไทย อาม่าเป็นลูกคนที่ ๓ จากพี่น้องเจ็ดคน เราเช่าบ้านไม้เก่า ๆ อยู่ มีพ่อแม่กับลูก ๆ แล้วก็อาแปะ (คุณลุงของอาม่า) บ้านเรารับของมานั่งขายที่ตลาด หาเช้ากินค่ำ ไม่รวยหรอกนะ แค่พออยู่พอกิน สมัยนั้นพวกอาม่าต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนจีนเพราะเขาให้เรียนฟรี ไม่คิดค่าเทอม”
“เขาสอนอะไรบ้างเหรออาม่า” ผมถามแทรก
“สอนภาษาจีนอย่างเดียว แต่อาม่าเป็นเด็กอ่านยาก อ่านหนังสือไม่ออกสักที เจ็ดขวบอาม่าก็เลยออกจากโรงเรียน พวกพี่ ๆ เขาเรียนจนจบประถมฯ นะ แต่อาม่าไม่เรียน”
“แล้วพอออกจากโรงเรียน อาม่าทำไงต่อ”
“กลางวันไปช่วยแม่ขายของที่ตลาด อยู่บ้านก็ทำงานบ้าน ซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว แล้วก็เลี้ยงน้อง ๆ ตอนนั้นอาม่า ๗ ขวบเอง ทำอะไรก็ไม่เป็น หุงข้าวก็ไหม้ ต้องหัดหุงข้าวด้วยเตาถ่านนะ ทุกวันต้องมานั่งรินน้ำออกจากหม้อ” อาม่ายกไม้ยกมือทำท่ารินน้ำ
“ชีวิตอาม่ามีแค่นั้นแหละ ตื่นเช้าไปขายของ เย็นกลับบ้านค่ำทำงานบ้าน เช้า เย็น ค่ำ เหมือนเดิมทุกวันจนโต อาม่าจำได้แค่นี้”
น้ำเสียงของอาม่าเหมือนไม่อยากเล่าต่อ แต่ผมยังอยากรู้อีกหน่อย
“อาม่าเคยอยากไปเมืองจีนไหม ไปเยี่ยมญาติ ๆ ที่นู่น” ผมถาม
“ไม่เคย แล้วไม่รู้ด้วยว่าเมืองจีนต้องไปยังไง อาม่าไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยได้แต่งตัวสวย ๆ งาม ๆ มีแต่ทำงานกับเลี้ยงลูก” อาม่าตัดพ้อ
“อ้าว แล้วตอนอาม่าแต่งงานกับอากง อาม่าไม่ได้แต่งตัวสวย ๆ เหรอ” ผมถามอีก เพราะบ้านเราไม่มีรูปถ่ายเก่าสักใบ
“อากงเกิดที่เมืองจีน มาเจอกันที่ไทยนี่แหละ ตอนนั้นอาม่าอายุ ๒๒ เด็กกว่าหลานตอนนี้อีก ก็ไม่ได้จัดงานแต่ง สมัยนั้นเขาเรียก ‘ไปฮันนีมูน’ คือเขามาพาไปเที่ยว แล้วอาม่าก็ได้นั่งรถไฟไปกรุงเทพฯ กับอากง”
จากหน้าเครียด ๆ อาม่าเริ่มมีรอยยิ้มพร้อมพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่าตอนอายุ ๒๒ ได้นั่งรถไฟไปกรุงเทพฯ เหมือนอาม่าเพิ่งนึกออกว่าครั้งหนึ่งเคยเดินทางออกจากบ้าน อาม่าไม่ได้เล่ามากกว่านั้น แต่ผมรับรู้ว่าการไปฮันนีมูนต้องเป็นความทรงจำที่พิเศษมาก ๆ ในชีวิตอาม่าแน่ ๆ
“แล้วจากนั้นเป็นไงต่อเหรออาม่า เล่าตอนแม่ผมเด็ก ๆ ให้ฟังหน่อยสิ”
“…”
อาม่านิ่งเงียบ เริ่มมีน้ำตารื้น ๆ ผุดขึ้นที่หัวตา ผมเอื้อมไปจับมืออาม่าไว้แน่น นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอาม่าเศร้าขนาดนี้ อาม่าไม่สบตาแต่บีบมือผมกลับเบา ๆ มือของอาม่าเย็นเฉียบ ผิวหยาบกร้านจากการทำงานหนักมาตลอด
“พอละ ไม่เล่าแล้ว ถ้าถามเยอะ ๆ จะทำให้อาม่านึกถึงชีวิตตัวเองแล้วอาม่ารู้สึกเศร้าน่ะ…ทุกวันนี้อาม่าพอใจที่อยู่แบบนี้”
เราไม่คุยกัน
เรื่องนี้
ความทรงจำเป็นสิ่งน่าพิศวง ประสบการณ์ของตัวเองแท้ ๆ แต่เลือกไม่ได้ว่าจะจำหรือลืมเรื่องไหน เมื่อเนิ่นนานไปบางทีก็เลือนหาย ขาดช่วง เหลือเพียงเศษเสี้ยวไม่ปะติดปะต่อ แต่เราก็ต้องอาศัยเรื่องราวที่เว้าแหว่งนั้นเพื่อตอบตัวเองว่าเราเป็นใคร
“อาม่าเล่าให้ฟังไหมล่ะ”
เสียงผู้หญิงมีอายุดังมาจากโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ถามผมที่กำลังจัดหมอนบนเตียงไว้นั่งพิง ผมรู้ว่าบทสนทนาของแม่ลูกที่เจอกันแค่ปีละหนสองหนจะกินเวลายาวหลายชั่วโมง
“นิดเดียว ผมว่าจริง ๆ อาม่าจำได้แหละ แต่คงไม่อยากนึกถึง เลยต้องถามหม่าม้าแทนไง”
เธอเดินมานั่งพิงกองหมอนอีกฝั่งของเตียง ผมได้กลิ่นจาง ๆ ของแป้งเด็กที่อยู่ในความทรงจำ
ตั้งแต่ผมเกิดจนเรียนจบชั้นมัธยมฯ ปลายผมอยู่กับแม่มาตลอด มีแค่ช่วง ๑๐ ปีที่ผมไปเรียนมหาวิทยาลัยและได้งานทำที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้เจอกัน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าผมรู้จักแม่ดีไหมก็คงแค่ประมาณหนึ่ง ผมรู้ว่าแม่ชอบกินผัดถั่วงอก ชอบดูรายการประกวดร้องเพลงมากกว่าละคร แล้วตอนนี้กำลังวางแผนเกษียณอายุราชการ
ผมเผลอนั่งเหม่อคิดไปเรื่อยตามกลิ่นแป้ง ไม่เริ่มบทสนทนา แม่เลยเอ่ยถามผมก่อนว่าอยากรู้เรื่องอะไร ผมบอกว่าเรื่องของหม่าม้านั่นแหละ
“แม่เป็นลูกคนที่ ๓ จากพี่น้องหกคน แม่จำเรื่องตอนอยู่บ้านเก่าไม่ได้เลย แต่อาม่าบอกแม่เกิดที่บ้าน ไม่ได้ไปโรงพยาบาล มีหมอตำแยมาตัดสายสะดือให้ จำความได้จริง ๆ คือตอนเข้าโรงเรียนจีนพร้อมพี่ชาย เพราะพอแม่เรียนจบ ป. ๑ เขาไม่ยอมให้แม่เลื่อนชั้น พี่ชายได้เลื่อนชั้นคนเดียว บอกอายุแม่ไม่ถึงเกณฑ์ แม่เลยต้องซ้ำ”
“ตลกอะ แล้วหม่าม้ารู้สึกยังไง” ผมถามพลางหัวเราะ
“แม่ก็น้อยใจนิดหน่อย เพราะจริง ๆ เราเป็นเด็กเรียนดี ไม่ได้สอบตกแต่ต้องซ้ำชั้น ความทรงจำตอนแม่เรียนประถมฯ มีไม่เยอะจำเพื่อน จำเรื่องราวไม่ค่อยได้ เรื่องซ้ำชั้นเป็นเรื่องเดียวที่แม่จำแม่น”
“แล้วที่บ้านล่ะม้า ตอนนั้นเรายังอยู่กับเหล่ากงเหล่าม่าไหม” ผมพยายามช่วยแม่รื้อฟื้นความทรงจำ
“ไม่นะ บ้านเราย้ายมาอยู่ห้องแถวของราชพัสดุแต่ไม่ใช่บ้านเรา เป็นบ้านที่พี่น้องของอาม่าเช่าไว้ ลูก ๆ หกคนอยู่กับอาม่า ส่วนอากงอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง เวลาอากงอยู่บ้านก็จะแยกอยู่คนเดียว ไม่มาพูดคุย เลี้ยงดูลูก ๆ แม่เลยไม่สนิทกับอากง
“ตอนนั้นแม่ยังเด็กก็ไม่รู้ว่าอากงมีปัญหาอะไรกับครอบครัว ความทรงจำเดียวที่มีร่วมกันคืออากงเก่งคณิตศาสตร์ ใช้ลูกคิดเก่งมาก เวลาอากงอยู่บ้านจะให้ลูก ๆ ไปฝึกท่องสูตรคูณด้วยตอนค่ำทุกคืน”
ฟังแล้วผมก็นึกถึงตอนอยู่ ป. ๑ ป. ๒ ที่แม่จะให้ผมไปท่องสูตรคูณทุกคืนหลังกินข้าวเย็นเหมือนกัน สำหรับแม่นี่คงเป็นวิธีใช้เวลากับลูก ๆ เพียงอย่างเดียวที่ได้รับจากอากง
“แม่ไม่เคยเจอญาติฝั่งอากงเลย รู้แค่อากงต้องไปเป็นเสมียนบ้าง ช่วยขายของบ้าง มีแค่วันตรุษจีนที่จะกลับบ้านมาให้แต๊ะเอียลูก ๆ ไปซื้อขนมคนละ ๒๐ บาท ซึ่งมันเยอะมากสำหรับแม่ตอนนั้น ทุกปีแม่จะไปซื้อขนมฮานามิมักหลาย”
แม่จะใช้คำว่า “มักหลาย” ที่แปลว่า “ชอบมาก” ก็ต่อเมื่อรู้สึกชอบมากจริง ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในคำภาษาอีสานไม่กี่คำที่แม่พูด
“เราอยู่กันตามอัตภาพ ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมบ้านจน เช้าก็ไปโรงเรียน กลับมาก็ช่วยที่บ้าน ตกค่ำก็นอน ช่วงปิดเทอมอาม่าจะต้มน้ำหวาน พวกน้ำลำไย น้ำกระเจี๊ยบ ให้แม่ไปตั้งขายทุกวันหารายได้ให้ครอบครัว ที่ขายดีสุดคือน้ำอัดลม เราซื้อเป็นลัง เทใส่ถุงใส่น้ำแข็งขาย ทำแบบนี้ทุกปิดเทอม ถ้าไม่ไปโรงเรียนจะต้องมีอะไรทำตลอด หาเงินช่วยที่บ้าน”
“แล้วอาอี๊ อากู๋ พี่น้องแม่ล่ะ ก็ไปนั่งขายของด้วยกันเหรอ”
“ส่วนใหญ่ไม่ได้มาทำนะ มีแต่แม่ที่ช่วยอาม่า พี่น้องแม่ถูกดึงตัวไปช่วยกิจการของพี่น้องอาม่า ธุรกิจแบบคนจีนเขาไม่จ้างลูกจ้าง แต่ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ไปช่วยงาน ปิดเทอมพี่น้องแม่จะต้องย้ายไปอยู่บ้านเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมญาติ ๆ ไม่เอาแม่ไปช่วยงาน แม่เลยเป็นคนที่ช่วยอาม่าเยอะสุด อาม่าทำขนมเก่งนะ ตอนค่ำจะทำกะหรี่ปั๊บไว้ไปขายที่ตลาดตอนเช้า อาม่าทำไส้ ส่วนแม่ช่วยบิดเกลียวห่อแป้ง”
บ้านเราเปลี่ยนของขายไปเรื่อย น้ำ ขนม ลูกชิ้น ของชำ ลอตเตอรี่ ปลาทู จนถึงผลไม้ต่าง ๆ ช่วงไหนอาม่าจะขายอะไรแม่ก็ช่วยเตรียม ปิดเทอมกับเสาร์-อาทิตย์จะนั่งขายของด้วยกันสองคน ส่วนวันธรรมดาก็ตื่นแต่เช้าไปช่วยจัดของที่ตลาดก่อนไปโรงเรียน
“วัยเด็กแม่ไม่เคยว่างเลย ขายทุกอย่างเพื่อหาเงิน เพราะอาม่าไม่มีรายได้ทางอื่น อากงก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน อาม่าไม่อยากเล่าตอนที่เลี้ยงแม่เพราะมันเป็นช่วงลำบาก แกทำงานเยอะ พี่น้องไม่เคยช่วย แม่รู้สึกว่าอาม่าน่าสงสารมากนะ”
“…”
“แต่เราไม่คุยกันเรื่องนี้ แม่กลัวอาม่าจะร้องไห้”
เรื่องราวของอาม่าที่แม่รู้จบลงแค่นั้น เมื่อลูก ๆ โตขึ้นอาม่าก็เลี้ยงลูกต่อไปไม่ไหว หลังแม่เรียนจบประถมฯ พี่น้องทั้งหกคนกระจัดกระจายไปเป็นลูกบุญธรรมบ้านพี่น้องของอาม่าและห่างเหินกัน แม่แทบไม่ได้กลับมาเจออาม่าอีก ความเป็นอยู่ของอาม่าหลังจากนั้นท่านไม่เคยปริปากเล่า
ในหัวผมนึกถึงน้ำตารื้น ๆ ของอาม่าเมื่อตอนบ่าย และความรู้สึกของอาม่าที่เก็บเรื่องราวในอดีตไว้ลึก ๆ คนเดียว
บ้านของ
คน (ไม่) จีน
“ปรกติเห็นลูกหลานบ้านคนจีนเขาให้ช่วยกิจการกันหมด แล้วหม่าม้ามารับราชการได้ยังไง”
“ตอนแรกก็เกือบไม่ได้เป็นแล้ว พอขึ้นมัธยมฯ ต้นแม่ไปเป็นลูกบุญธรรมของน้องสาวอาม่า เลี้ยงลูกให้เขาและ ทำงานบ้านด้วย เช้าตื่นมาซักผ้า กลับจากโรงเรียนก็เก็บผ้า รีดผ้า กวาดถูพื้น หลังกินมื้อเย็นก็ล้างจานถึงเข้านอน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ถ้าไม่ตัดหญ้ากับล้างห้องน้ำก็ต้องไปช่วยงานกิจการของบ้านเขา” แม่เล่าเรื่องราวหลังแยกจากอาม่า
“ตอนแม่อยู่ ม. ๔ อาม่าป่วยหนักต้องผ่าตัดเนื้องอก ตลอดวัยมัธยมฯ แม่เจออาม่าแค่ครั้งเดียวตอนไปเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาล อาม่าพักฟื้นในห้องรวมเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าห้องพิเศษ แม่ไม่รู้เลยว่าใครออกค่าผ่าตัดให้ สิ่งที่แม่จำได้คือความรู้สึกตอนพยาบาลมาแจ้งว่าหมดเวลาเยี่ยมและเชิญญาติผู้ป่วยออกจากห้อง
“เงินจ้างคนดูแลก็ไม่มี สิทธิ์รักษาก็ไม่มี เราได้แต่กังวลว่าแม่เราจะอยู่ยังไง แม่เลยตั้งใจว่าจะต้องสอบเป็นข้าราชการให้ได้”
แม่เล่าว่าทีแรกคุณแม่บุญธรรมไม่อยากให้แม่เรียนต่อ อาจเพราะมองว่าลูกผู้หญิงไม่ต้องเรียนสูงนัก ให้ช่วยกิจการกับทำงานบ้านดีกว่า แต่พอแม่สอบได้ทุนเรียนต่อเต็มจำนวนเขาก็ยอม
ชีวิตข้าราชการอาจมั่นคง แต่ก็ไม่โอนอ่อน หลังเรียนจบแม่เข้าบรรจุและทำงานใช้ทุน มีคำสั่งให้ย้ายไปไหนก็ต้องไป จากเดิมที่ได้กลับมาเจอพี่น้องบ้างในวันไหว้บรรพบุรุษก็ไม่ได้เจอ
“วันมงคลจีนไม่ใช่วันหยุดราชการ เราทำงานไกลบ้านด้วยแม่ก็เลยไม่ได้มา แล้วแม่ก็ไม่เคยลาด้วย มีแต่แบ่งเวลาว่างไปหารายได้เพิ่ม เงินเดือนเริ่มต้นของข้าราชการไม่ได้สูง ช่วงนั้นมีเหตุผลบางอย่างให้อาม่าต้องออกจากห้องแถวที่ราชพัสดุ แม่กับพี่น้องอีกสองคน รวมเงินกันซื้อบ้านให้อาม่าอยู่ ก็ใช้สิทธิ์แม่ที่เป็นข้าราชการไปขอกู้เงิน ทุกเดือนเงินเดือนออกก็ต้องผ่อนค่าบ้านและผ่อนรถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาอีก ๘๐๐ บาท แม่มีเหลือเก็บเดือนละ ๕๐๐ ก็ถือว่าเยอะแล้ว”
ถ้าให้เทียบกันแม่ผมคงมีความเป็นข้าราชการมากกว่าเป็นคนจีน ยกให้เรื่องงานมาก่อนประเพณี หากช่วงนั้นงานยุ่งจนไม่ได้ไปไหว้ก็ไม่เป็นไร ถ้าพอมีเวลาก็ไหว้เป็นครั้งคราว นับถือแบบไม่เคร่ง บูชาตามความสะดวก นี่แหละบ้านเรา
“จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ถ้าตรุษจีนหม่าม้ายุ่ง ๆ ไม่ได้ไปศาลเจ้า อย่างน้อยก็จะพาไหว้ตี่จู้ที่บ้านไหมนะ” ผมนึกขึ้นได้
“ใช่ ๆ ตอนอยู่บ้านพักราชการแม่ก็หามาตั้งไว้ตลอด เป็นเจ้าที่ประจำบ้านแบบจีน แต่แม่ไม่รู้ว่าจริง ๆ เขาต้องไหว้ยังไง เมื่อก่อนแม่จะไหว้ทุกวันพระ (แบบไทยพุทธ) เปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนดอกไม้พร้อม ๆ กับไหว้ศาลพระภูมิ แต่เดี๋ยวนี้วันไหนสะดวกก็ซื้อดอกไม้มาไหว้”
“ม้าไม่เคร่งขนาดนี้ แต่ทำไมย้ายบ้านกี่ทียังต้องตั้งตี่จู้ทุกรอบ” ผมถาม
“ไม่รู้สิ…ก็มองว่าเป็นเจ้าที่ประจำบ้านดูแลปกปักรักษาเรา”
แม่เว้นช่วงหยุดคิด แต่สุดท้ายก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ผมเดาว่าคงเป็นความเคยชินในจิตสำนึกของคนที่เติบโตมาในบ้านที่เคร่งความเป็นคนจีน แม้ปัจจุบันความเป็นจีนนั้นจะหล่นหายไปมากแล้ว
“ช่วงแรก ๆ ที่อาม่ามาอยู่กับแม่ อาม่าก็จะดูเรื่องไหว้ตี่จู้ให้ อาม่าจะดูปฏิทินจีนตลอด แต่หลัง ๆ เศรษฐกิจไม่ดี ความคิดอาม่าก็เปลี่ยน อยากให้แม่ประหยัด ซื้อของไหว้น้อยลง แกจะบอกเสมอว่า ‘ไม่ต้องซื้อหรอก ซื้อมาก็ไม่มีคนกิน’ ทุกวันนี้บ้านเรายังไหว้บ้าง แต่ก็ห่างจากขนบดั้งเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ
“บ้านพี่ชายคนโตของอาม่า คนเป็นลูกสายตรงก็ยังสืบทอดกันไว้ พี่น้องคนอื่นของอาม่าก็น่าจะยังไปรวมงานไหว้ต่าง ๆ เป็นปรกติ แต่บ้านเราไม่ พูดตรง ๆ คืออาม่าจนสุดในบรรดาพี่น้อง อาชีพของอากงก็ไม่เหมือนบ้านอื่นที่เขาทำธุรกิจมีร้านค้าใหญ่โต จึงไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย อาม่าเลยน้อยเนื้อต่ำใจว่าโดนพี่น้องดูถูก ไม่ได้รักใคร่ช่วยเหลือกัน อาม่าเลยไม่รู้สึกผูกพันว่าต้องสานสัมพันธ์กับพี่น้อง”
การสืบทอดความเป็นจีนไม่ใช่แค่เรื่องของใจแต่ใช้ทั้งเงิน ทั้งความสัมพันธ์อันดีกับญาติมิตร สองสิ่งในชีวิตที่อาม่าของผมไม่มี
แม่บอกบ้านของแม่ตอนนี้พี่น้องหกคนก็แยกย้ายไปคนละทิศละทาง ด้วยเติบโตมาคนละบ้าน อยู่กับสิ่งแวดล้อมคนละแบบ ประกอบอาชีพคนละด้าน มีวิถีชีวิตเหมือนต่างคนต่างอยู่
“แม่เคยคิดอยากให้พวกเราพี่น้องหกคนมาเจอกันบ้าง นัดรวมญาติ กินข้าวเฉย ๆ ก็ได้ แต่แค่นี้ก็ยากแล้ว เพราะความสัมพันธ์ของพวกเราน้อยมาก ต่างยุ่งอยู่กับชีวิตตัวเอง”
ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ อดคิดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ แม้ผมกับพี่จะไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ก็แยกกันไกล ผมปักหลักที่กรุงเทพฯ ส่วนพี่ของผมย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพราะอาชีพการงาน สิบปีมานี้เรามีวาระรวมกันพร้อมหน้าครอบครัวน้อยมากจริง ๆ
“ไม่ต้องซื้อหรอก ซื้อมาก็ไม่มีคนกิน” คำพูดของอาม่ากังวานก้องอยู่ในหัว
ชีวิตและความตาย
ที่เราเลือกเอง
“เมี้ยว...เมี้ยว…” เสียงลูกแมวร้องดังมาจากบนหลังคาบ้าน
“แมวดำตัวเดิมยังอยู่อีกเหรออาม่า” ผมชวนคุย
“ไอ้ดำตัวเดิมไม่อยู่แล้ว นี่น่าจะเป็นตัวใหม่มาคลอดทิ้งไว้ ร้องแบบนี้คือแมวเด็กร้องหาแม่”
อาม่ากับผมชวนกันลุกไปส่องหาแมวบนหลังคากัน แต่ก็ไม่เห็นตัว จนลูกแมวเงียบเสียงถึงได้ตัดใจยอมแพ้
ย้อนไป ๔-๕ ปีก่อน ผมกลับมาอยู่บ้านช่วงสั้น ๆ เพราะสถานการณ์โควิด ตอนนั้นมีแมวจรแม่ลูกมาอาศัยอยู่บนหลังคา อาม่าคอยให้ข้าวให้น้ำเหมือนอยากเลี้ยง แม่บ่นอุบ ๆ อิบ ๆ ทุกวันว่าไม่อยากให้เลี้ยงสัตว์เพราะกลัวเป็นพาหะนำโรค แต่อาม่าบอกแม่ว่าสงสารมัน แบ่งข้าวปลาให้มันเถอะ จนทั้งคู่เบื่อจะคุยกันเรื่องนี้ ผมกลับมากรุงเทพฯ ก่อนจะรู้บทสรุปของไอ้ดำและลูก ๆ
“แล้วเรื่องไอ้ดำสรุปจบยังไงเหรออาม่า” ผมถาม
“อาม่าเลี้ยงไอ้ดำไม่ไหวหรอก อาม่าเคยคำนวณนะ ถ้าจะเลี้ยงทั้งแม่ทั้งลูก ๆ ค่าปลาทูวันหนึ่งตั้ง ๕๐ บาทแน่ะ อาม่าเลยถามคนที่มาส่งแก๊สว่าเอาแมวไปเลี้ยงไหม แต่เขาปฏิเสธบอกผมก็หาเช้ากินค่ำเหมือนกัน ทิ้งไว้อีก ๔-๕ เดือนมันเพิ่มมาอีกครอก
“อาม่าจนปัญญาจริง ๆ สุดท้ายเลยบอกเขาดี ๆ ว่าไปเถอะ ไปอยู่บ้านคนอื่นที่หลังใหญ่ ๆ ที่เขามีปัญญาเลี้ยง เชื่อไหมว่าแมวเขาฟังเราออกนะ แล้วเขาก็ไปจริง ๆ ไม่ต้องไล่เลย” อาม่าเฉลยตอนจบ
“…” ผมลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนถามสิ่งที่คุยกันค้างไว้
“ถ้าชีวิตนี้ไม่ต้องทำงานบ้านกับเลี้ยงลูก อาม่าอยากทำอะไรเหรอ”
“อาม่าก็ไม่รู้ บ้านคนจีนผู้ใหญ่บอกให้ทำอะไรเราก็ทำตามนั้นไม่มีหืออือ”
“แล้วทุกวันนี้อาม่ายังนับตัวเองเป็นคนจีนอยู่ไหม”
“ไม่เคยอยากเป็นเลยคนจีน เมื่อก่อนเหล่ากงเหล่าม่าไม่มีบัตรคนไทย ปีนึงเขามาเก็บเงินค่าบัตรต่างด้าวหลายร้อยนะ อยู่ก็ใช้เงิน ตายก็ใช้เงิน ถ้าวันไหนอาม่าเสียให้จัดแบบคนไทย เข้าวัด สวด เผา แล้วไปลอยอังคารที่แม่น้ำโขง อาม่าชอบแบบนั้น ไม่ต้องเสียเงินซื้อที่ฝังหรอก ลำบากลูกหลานเปล่า ๆ” อาม่าพูดประหนึ่งสั่งเสีย
ผมรับปากว่าเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะจัดงานศพแบบที่อาม่าชอบ อาม่าอาจไม่ได้มีชีวิตแบบที่ตัวเองเลือกได้ แต่อย่างน้อยผมอยากให้ท่านจากไปแบบที่ท่านต้องการ
“ดีที่ได้คุยกัน เพราะได้เล่าให้หลานฟังอาม่าเลยจำเรื่องที่ลืมไปแล้วได้หลายเรื่อง”
“ขอบคุณที่เล่าให้ผมฟังนะอาม่า ผมได้รู้จักอาม่า รู้จักหม่าม้า รู้จักตัวเองขึ้นเยอะเลย”
“ไว้กลับมาเยี่ยมอาม่าบ่อย ๆ นะ”
ผมรับปากอาม่าหนักแน่น
เรื่องราว
ของผมเอง
คำว่าครอบครัวหรือญาติพี่น้องเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและอธิบายยาก บางทีเหมือนใกล้กันด้วยสายใยที่มองไม่เห็น แต่บางทีก็ห่างไกลยิ่งกว่าคนแปลกหน้า
ท่ามกลางลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนหลายล้านคนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะสายเลือดแท้ ลูกครึ่ง หรือลูกเสี้ยว ผมคิดว่าแต่ละบ้านก็น่าจะมีเรื่องราวและความสัมพันธ์ที่แตกต่าง ผมมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เติบโตในบ้านที่รักษาขนบธรรมเนียมเดิมอย่างเคร่งครัด คนที่แม้จะห่างเหินกันไปบ้างแต่ก็กลับมาต่อยอดพัฒนากิจการของครอบครัวในที่สุด ผมรู้ว่ามันไม่ได้สวยงามทั้งหมด แต่ก็ยินดีกับความสำเร็จของพวกเขาจริง ๆ หลังการกลับบ้านครั้งนี้ ผมยิ่งรู้ซึ้งว่ามันง่ายดายเหลือเกินที่สมาชิกในครอบครัวจะกระจัดกระจายไปเพื่อมีชีวิตของตัวเอง
เช่นเดียวกับที่รู้ว่าบ้านผมไม่ใช่บ้านเดียวที่ความเป็นจีนของเราค่อย ๆ เลือนหาย และการจดจำเรื่องราวของครอบครัวที่ค่อย ๆ ปล่อยมือจากความเป็นจีนก็เป็นสิ่งน่าชื่นชมไม่แพ้กัน
“ครอบครัวเรากัดฟันสู้เต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรน่าละอายใจเลย” ผมคิด
จริง ๆ แล้วความเป็นจีนที่เลือนรางคงเป็นประสบการณ์ร่วมของยุคสมัย ยังมีคนรุ่นใหม่อีกมากที่เคยรู้สึกประดักประเดิดกับความเป็นจีนของตัวเอง สับสน ลังเล ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่คนรุ่นหนึ่งเหลือไว้ สิ่งที่คนอีกรุ่นหนึ่งเลือกจะรับมา และคนรุ่นเราควรส่งต่อสิ่งใดแก่คนรุ่นถัดไป
บนรถไฟทางไกลสายหนองคาย-กรุงเทพอภิวัฒน์ ผมนั่งเหม่อมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง ขบวนรถยังเคลื่อนไม่ถึงศาลเจ้าจีนที่ผมเห็นระหว่างขามา ผมนึกถึงตอนที่แม่ขอให้ผมเล่าเรื่องที่คุยกับอาม่าให้ฟัง เพราะมีหลายเรื่องของอาม่าที่แม่ไม่รู้และไม่กล้าถาม
“ตอนอาม่าเล่าว่าขึ้นรถไฟไปฮันนีมูนกับอากง อาม่ายิ้มไม่หุบเลยหม่าม้า”
แม่ผมยิ้มนิด ๆ แล้วบอกว่าตลอดเกือบ ๖๐ ปี อาม่าไม่เคยเล่าตอนเจอกับอากงให้แม่ฟังเลย ดีจริง ๆ ที่ได้คุยกัน ไม่งั้นพออาม่าเสีย เรื่องนี้คงถูกลืมเลือนตลอดกาล
คืนนั้นบนรถไฟผมย้อนคิดไกลถึงวัยเด็กของตัวเอง รำลึกชีวิตตลอด ๒๘ ปีเท่าที่จำความได้ ถ้าวันหนึ่งลูกหลานมาขอให้ผมเล่าเรื่องตัวเองบ้างจะเป็นแบบไหน
คงเป็นเรื่องราวของคนที่ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าลูกหลานบ้านคนจีนแล้ว ห้องเช่าที่เขาอยู่คนเดียวไม่มีตี่จู้ตั้งไว้เหมือนคนรุ่นแม่ แต่ทุกครั้งที่เขานั่งรถไฟกลับบ้านเขาจะจำรอยยิ้มของ อาม่าในวันนั้นได้เสมอ ทุกครั้งที่เขาได้กลับมาเจอพี่น้องเขาจะไม่ลืมว่ามันพิเศษแค่ไหน เขาคนนั้นคงเล่าบทสนทนาระหว่างกลับบ้านให้ลูกหลานฟังแล้วบอกว่า
“ไปมีชีวิตของตัวเองนะ ไม่ต้องเป็นคนจีนก็ได้ ขอแค่กลับมาเยี่ยมเยือนกันบ้างในฐานะครอบครัว”