๒๖
เต๋า
道
หนึ่งในศาสนาหลักของชาวจีน ศาสดาคือเหลาจื่อ มีชีวิตอยู่เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อน เชื่อว่าท่านเป็นผู้แต่ง เต๋าเต็กเก็ง (แต้จิ๋ว) หรือ เต้าเต๋อจิง (จีนกลาง) คำว่าเก็ง (จิง) หมายถึงคัมภีร์ เนื้อหาในคัมภีร์กล่าวถึงมรรควิถีอันลึกซึ้งของจักรวาลและหลักการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับเต๋า ซึ่งหมายถึงสภาวธรรมอันเป็นบ่อกำเนิดสรรพสิ่งและสมดุลของหยิน (เย็น มืด) กับหยาง (ร้อน สว่าง)
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เต๋าผสมผสานกับความเชื่อพื้นบ้านกลายเป็นศาสนาที่จับต้องได้ ยกย่องเหลาจื่อเป็นเทพเจ้ามีเง็กเซียนฮ่องเต้เป็นเทพเจ้าสูงสุดหรือจักรพรรดิสวรรค์ เชื่อเรื่องการฝึกตนจนเป็น “เซียน” มีอิทธิฤทธิ์ เวทมนตร์ และเป็นอมตะ เช่น โป๊ยเซียน เกิดศาลเจ้าบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งเผยแผ่เข้ามาพร้อมกับชาวจีนในสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยราชวงศ์หมิงเกิดวรรณกรรม ห้องสิน เล่าถึงการต่อสู้อย่างพิสดารของเซียนและมนุษย์ ซึ่งตอนจบตัวละครจำนวนมากได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้า วรรณกรรมนี้ได้รับการแปลเป็นไทยในสมัยรัชกาลที่ ๒ ส่วน เต๋าเต็กเก็ง แปลจาก
ภาษาจีนเป็นไทยครั้งแรกปี ๒๕๑๖ โดย จ่าง แซ่ตั้ง
ในยุคสตรีมมิงคนไทยชอบดูละครซีรีส์จีนแนวเทพเซียนมาก เช่น สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่, จันทราอัสดง ฯลฯ
คำว่า “เซียน” ในภาษาไทยยังใช้เปรียบเปรยถึงคนที่เก่งกาจในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น เซียนหมากรุก เซียนพนัน
แต่ “ลูกเต๋า” ในการพนันไม่เกี่ยวกับศาสนาเต๋า
สัญลักษณ์หยิน-หยางของเต๋าและรูปปั้นเทพเจ้าในศาลเจ้าฮกหงวนก้ง จังหวัดภูเก็ต เป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยนที่เข้ามาทำเหมืองแร่ในภูเก็ต สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศักราช ๒๔๐๐
๒๗
ไต้ฝุ่น
台
风
มีเสียงจีนกลางว่าไถเฟิง กวางตุ้งว่าโต๋ยฟง แต้จิ๋วว่าไถ่ฮวง แปลว่าพายุ คำไทยที่ใช้ว่าไต้ฝุ่นอาจเพี้ยนมาจากจีนกลางหรือกวางตุ้ง ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด
ปัจจุบัน “ไต้ฝุ่น” ใช้เป็นศัพท์เฉพาะ หมายถึงพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีน มีกำลังแรงสูงสุดโดยมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
สำหรับคำว่า typhoon ในภาษาอังกฤษอาจมาจากภาษากรีก Τυφών (Typhōn) อันเป็นชื่อเทพเจ้าแห่งลม และยังแปลว่าลมหมุน และคล้าย طوفان (ṭūfān) จากภาษาอาหรับแปลว่าพายุ รวมทั้งอาจมาจากภาษาจีนตามเส้นทางการค้าสายแพรไหมในอดีต
สำนวนไทยใช้คำว่า “ไต้ฝุ่น” กับนักกีฬาวิ่ง เช่น นักวิ่งไต้ฝุ่น ทีมไต้ฝุ่นไทย
๒๘
เถ้าแก่
头
家
ส่วนหนึ่งของภาพเถ้าแก่ในสยาม สมัยรัชกาลที่ ๕ ภาพจากหนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam สำนักพิมพ์ White Lotus
เสียงแต้จิ๋วว่าเถ่าแก ไทยเพี้ยนมาเป็นเถ้าแก่ คำว่าเถ่าแปลว่า หัว หัวหน้า คำว่าแกแปลว่าบ้าน รวมคำแล้วแปลว่า เจ้าบ้าน หัวหน้าครอบครัว และใช้ขยายความถึงเจ้าของร้าน เจ้าของกิจการ เช่น เถ้าแก่โรงสี
เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องสูงวัย เพราะไม่ได้มาจาก “แก่” ในคำไทย ส่วนหญิงที่เป็นเจ้าบ้านเจ้าของกิจการ หรือภรรยาของเถ้าแก่ เรียกว่าเถ้าแก่เนี้ย
เถ่าแกเป็นคำที่ใช้เฉพาะในกลุ่มคนจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในจีนใช้ 老板 ออกเสียงจีนกลางว่าเหลาป่าน
สำหรับคำไทย “เฒ่าแก่” ซึ่งออกเสียงตรงกัน มีสองความหมาย คือ หนึ่ง ชื่อตำแหน่งข้าราชการทำหน้าที่ดูแลสตรีฝ่ายในในพระราชสำนัก และสอง ผู้ใหญ่ที่เป็นประธานในพิธีสู่ขอ หมั้น และแต่งงาน ความหมายหลังนี้บางครั้งก็ใช้เถ้าแก่
ปัจจุบัน “เถ้าแก่น้อย” กลายเป็นสำนวนไทยเรียกคนรุ่นใหม่ที่สร้างธุรกิจเติบโตจนประสบความสำเร็จ จากกรณีของต๊อบ-อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ผู้สร้างธุรกิจขนมขบเคี้ยวสาหร่ายทะเลทอดกรอบแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ในปี ๒๕๔๖ ขณะอายุ ๑๙ ปี จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท
๒๙
เทียนฟ้า
天
華
(อักษรจีนตัวเต็ม)
ชื่อโรงพยาบาลการกุศลแห่งแรกของชาวจีนโพ้นทะเลในเมืองไทย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ๒๔๔๖ เสร็จในปี ๒๔๔๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงพยาบาลพร้อมพระราชทานเงิน ๑๐๐ ชั่ง
การก่อตั้งโรงพยาบาลเทียนฟ้าเกิดขึ้นหลังชาวจีนจำนวนมากอพยพเข้ามาเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ ๒๔๐๐ และเกิดการแตกแยกเป็นสมาคมคนจีนต่างภาษาต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์กัน จนเมื่อจีนราชวงศ์ชิงพ่ายแพ้แก่ต่างชาติในปี ๒๔๓๘ ชาวจีนโพ้นทะเลจึงเกิดสำนึกชาตินิยม มีจิตใจกอบกู้บ้านเกิดและดูแลคนจีนโพ้นทะเลด้วยกัน ผู้นำชุมชนจีนห้ากลุ่ม ได้แก่ แต้จิ๋ว แคะ กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน และไหหลำ จึงร่วมกันก่อตั้งโรงพยาบาลเทียนฟ้าให้การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนแก่ผู้ป่วยยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ดั่งปณิธานของโรงพยาบาลว่า 痌瘝在抱 - ถงกวนไจ้เป้า แปลว่าห่วงใยต่อความเจ็บปวดและทุกข์ร้อนของราษฎร ปัจจุบันใช้ชื่อทางการว่าโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ ตั้งอยู่ที่ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์
天華 ออกเสียงว่าเทียงฮั้ว เทียงแปลว่า สวรรค์ ฟ้า ฮั้วแปลว่างดงาม เทียนฟ้าจึงเป็นชื่อเฉพาะที่ไม่ตรงเป๊ะกับคำจีน
ศาลเจ้าแม่กวนอิม
มูลนิธิเทียนฟ้า เยาวราช
๓๐
บ๊วย
尾,
梅
尾 ออกเสียงตามจีนแต้จิ๋วว่าบ้วย หมายถึง หาง ท้าย หลัง ไทยยืมมาใช้โดยเพี้ยนเสียงเป็นบ๊วย พบในการแข่งขัน หมายถึง ที่สุดท้าย ตำแหน่งที่หลังสุด เช่น สอบได้ห้องบ๊วย วิ่งได้รองบ๊วย
บ๊วยยังหมายถึงต้นไม้จำพวกเดียวกับพรุน พลับ ท้อ ชื่อ Chinese plum (Prunus mume) คำจีนคือ 梅 ออกเสียงจีนกลางว่าเหมย แต้จิ๋วว่าบ้วย เป็นไม้เมืองหนาวของประเทศจีน รสเปรี้ยวจัดและขม มีการนำเข้ามาปลูกทางภาคเหนือของไทยจนเกิดพันธุ์พื้นเมือง คือบ๊วยพันธุ์เชียงรายหรือพันธุ์แม่สาย
ผลบ๊วยหรือลูกบ๊วยมีสรรพคุณบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย แพ้ท้อง เป็นผลิตภัณฑ์ที่คนไทยชอบนำมาแปรรูปเป็นของกินเล่น เช่น บ๊วยเค็ม บ๊วยอบแห้ง บ๊วยดอง และใช้ประกอบอาหาร เช่น ปลานึ่งบ๊วย ซอสบ๊วย น้ำจิ้มบ๊วย เหล้าบ๊วย ด้วยรสอมเปรี้ยวของบ๊วยยังนำไปเป็นรสชาติขนม เช่น ลูกอมรสบ๊วย ไอศกรีมรสบ๊วย
สำนวน “บ๊วยติดคอ” เป็นการผสมความหมายสองอย่างทั้งที่สุดท้ายและผลไม้ ใช้กับการแข่งกีฬาที่ทีมอันดับต้น ๆ แพ้ให้กับทีมอันดับบ๊วย
๓๑
บู๊
武
ภาพยนตร์จีนกำลังภายในของฮ่องกงที่ มิตร ชัยบัญชา แสดงนำ ออกฉายปี ๒๕๑๓
เสียงจีนแต้จิ๋ว หมายถึงการต่อสู้ จีนกลางออกเสียงวู เช่น 武术 วูซู หมายถึงศิลปะการต่อสู้ของจีน เช่น มวยเส้าหลิน คนไทยชอบเรียกว่า กังฟู (功夫)
บู๊ลิ้ม (武林) แปลว่า วงการของนักสู้ หรือโลกของนักสู้ พบคำนี้ในนิยายจีนแนวหนึ่งที่เล่าเรื่องการต่อสู้ของสำนักวิทยายุทธ์ระหว่างฝ่ายคุณธรรมกับฝ่ายอธรรม เริ่มแปลเป็นภาษาไทยในทศวรรษ ๒๕๐๐ เรื่องแรกคือ มังกรหยก โดย จำลอง พิศนาคะ ซึ่งเป็นผู้บัญญัติคำว่ากำลังภายใน
สมัยหนึ่งนักอ่านไทยหลงใหลจนเรียกติดปากว่านิยายบู๊ลิ้ม หรือนิยายกำลังภายใน เกิดปรากฏการณ์เสพติดนิยาย ต่อเนื่องมาถึงละครโทรทัศน์ภาพยนตร์ และซีรีส์จีนในสตรีมมิง
ละครและภาพยนตร์ต่อสู้ของไทยและต่างประเทศก็เรียกว่า ละครบู๊หนังบู๊ เช่นกัน มีคำขยาย เช่น บู๊เดือด บู๊ระห่ำ บู๊ล้างผลาญ และเรียกคนชอบหนังแนวต่อสู้ว่าคอหนังบู๊ รวมทั้งยังชอบอ้างสำนวนบู๊ลิ้ม เช่น “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
บู๊มักคู่กับบุ๋น (文) หมายถึง วิชา ปัญญา ขุนนางจีนโบราณแบ่งเป็นฝ่ายบู๊ คือ ฝ่ายทหาร นักรบ และฝ่ายบุ๋น คือ ฝ่ายบัณฑิต นักปกครอง ผู้มีความสามารถทั้งบู๊-บุ๋น จึงถือว่าครบเครื่อง ทั้งสองคำยังใช้สื่อถึงบทบาทของนักการเมืองไทยปัจจุบัน
๓๒
ป่อเต็กตึ๊ง
報
德
善
堂
(อักษรจีนตัวเต็ม)
ชื่อจีนออกเสียงแต้จิ๋วป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง แปลว่าองค์กรการกุศลเพื่อสนองคุณโดยสัญลักษณ์ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ข้างประตูรถกู้ภัยหรือชุดอาสาสมัครกู้ภัยประดิษฐ์จากอักษรตัวที่ ๓ คือ 善 เซี่ยง แปลในบริบททางศาสนาและความเชื่อได้ว่าการทำบุญกุศล
จุดเริ่มต้นจากพ่อค้าจีน ๑๒ คนในเมืองไทยจัดตั้ง “คณะเก็บศพไต้ฮงกง” ขึ้นในปี ๒๔๕๒ เพื่อสืบทอดคุณความดีของหลวงปู่ไต้ฮงกงในการเก็บศพไร้ญาติและตั้งศาลป่อเต็กตึ๊งที่ถนนพลับพลาไชย ประดิษฐานรูปเคารพหลวงปู่ไต้ฮงกงที่อัญเชิญจากจีนมาตั้งแต่ปี ๒๔๓๙ ต่อมาจัดตั้งเป็นมูลนิธิในปี ๒๔๘๐
ปี ๒๔๘๙-๒๔๙๐ ชาวจีนหนีภัยสงครามมาเมืองไทยราว ๑.๗ แสนคน รัฐบาลไทยให้คนจีนกักกันตัวบนเรือเกือบ ๑ เดือน เพื่อป้องกันโรคริดสีดวงตาระบาด มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนำข้าวต้ม น้ำ และยาไปให้นานถึง ๔๐๐ วัน เกิดตำนาน “บุญคุณข้าวต้มชามแรก” ซึ่งชาวจีนโพ้นทะเลสั่งสอนลูกหลานให้ช่วยเหลือตอบแทนมูลนิธิทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
ป่อเต็กตึ๊งยังเป็นผู้จัดตั้งโรงพยาบาลหัวเฉียวและมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กว่า ๘๐ ปีแล้วที่องค์กรนี้ยังคงทำงานกุศลด้านสังคมสงเคราะห์ บรรเทาสาธารณภัย รวมถึงจัดงานประเพณีทิ้งกระจาด
หลายคนยังคุ้นปากกับการบอกว่า “เรียกรถป่อเต็กตึ๊ง” หมายถึงเรียกรถฉุกเฉินหรือรถกู้ภัย
๓๓
ปาท่องโก๋
油
炸
粿
ขนมแป้งทอดของจีนที่คนไทยเรียกว่าปาท่องโก๋ ความจริงคือขนมชื่อ 油炸粿 อิ่วจาก้วย ตามเสียงแต้จิ๋ว
มีตำนานว่าหลังจาก เยว์เฟย (งักฮุย) แม่ทัพผู้รักชาติและซื่อสัตย์ ถูกขุนนางฉินฮุ่ยและภรรยาใส่ร้ายป้ายสีและฆ่าทิ้ง มีชายขายขนมทอดคนหนึ่งโกรธมากจึงเอาแป้งปั้นเป็นแท่งสองแท่งติดกันแทน ฉินฮุ่ย และภรรยา ทอดน้ำมันให้คนกินแก้แค้นร้านอื่น ๆ จึงทำตามจนแพร่หลาย
ชื่อ “ปาท่องโก๋” ของไทยน่าจะมาจากขนมต่างชนิด แหล่งอ้างอิงบางแห่งบอกว่าเป็น 白糖糕 เสียงจีนแต้จิ๋วแปะถึ่งกอ ขนมแป้งหมักนึ่งสีขาว เนื้อพรุนคล้ายขนมถ้วยฟู และขนมอีกชนิดหนึ่งชื่อ 白糖粿 เสียงจีนแต้จิ๋วแปะถึ่งก้วย เป็นแท่งแป้งทอดชุบน้ำตาลทราย ซึ่งคล้ายปาท่องโก๋พอสมควร มีที่มาจากตำนานหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าในเทศกาลชีซี หรือเทศกาลแห่งความรักของชาวจีน
ชื่อเรียกปาท่องโก๋สับสนกับขนมชนิดไหนแน่และเกิดความสับสนขึ้นได้อย่างไร ยังไม่มีความชัดเจน
“ปาท่องโก๋” ยังใช้เป็นสำนวนไทย หมายถึงการอยู่ใกล้ชิดกันจนแยกจากไม่ได้ เหมือนแฝด เช่น “ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋”
๓๔
เปาบุ้นจิ้น
包
文
拯
เรียกตามเสียงฮกเกี้ยน เป็นละครโทรทัศน์จากไต้หวันที่ฉายเมืองไทยครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๗ มีทั้งหมด ๓๕๐ ตอน ตอนที่ผู้ชมจดจำได้ดี เช่น ประหารราชบุตรเขย สับเปลี่ยนองค์ชาย ประหารราชครู ฯลฯ
นามจริงตามเสียงจีนกลางคือ เปาเจิ่ง (包拯) มีฉายาว่า “เปาชิงเทียน” (包青天) แปลว่าฟ้าใส ซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ มีชีวิตอยู่ช่วงปี ๑๕๔๒-๑๖๐๕ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เป็นจอหงวนซึ่งได้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการที่ฟ้องร้องขุนนางทุจริตได้ สมัยเป็นผู้ว่าการเมืองไคเฟิง ได้ตัดสินคดีความอย่างซื่อตรงโดยไม่เกรงกลัวอำนาจของชนชั้นสูงหรือผู้มีอิทธิพลจนได้รับสมญานามว่า “เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม”
ในละคร เปาบุ้นจิ้นมีใบหน้าดำและมีปานเสี้ยวจันทร์บนหน้าผาก ซึ่งเป็นการแต่งหน้าตามการแสดงงิ้ว
ปี ๒๕๑๙ เจ้าสัวเทียม โชควัฒนา ผู้นำละคร เปาบุ้นจิ้น เข้ามาฉาย ได้เปิดตัวผงซักฟอกใหม่ยี่ห้อ “เปาบุ้นจิ้น” พร้อมสโลแกน “คุณภาพซื่อสัตย์ ราคายุติธรรม” ทำให้ขายดีมาก ภายหลังเปลี่ยนชื่อสินค้าเป็น “เปา”
วงการกีฬาฟุตบอลปัจจุบันใช้คำว่า “เปา” หมายถึงกรรมการผู้ตัดสิน
ตัวละครงิ้วโป๊ยเซียน ในงานแสดงที่
ล้ง 1919 อาคารเก่าของตระกูลหวั่งหลี
พรมแดนเป็นเพียงเส้นสมมุติ กว่า ๒ ศตวรรษมาแล้วที่บรรพบุรุษไทย-กะเหรี่ยงใช้มหานทีสีน้ำตาลเป็นทางสัญจรไปมาหาสู่และค้าขาย
๓๕
โป๊ยเซียน
八
仙
โป๊ยหมายถึงแปด ในภาษาจีนแต้จิ๋ว เซียนหมายถึงผู้วิเศษ หรือผู้ฝึกฝนตนจนมีสภาพเหนือมนุษย์ โป๊ยเซียนคือเซียนผู้วิเศษทั้งแปดตนตามคติลัทธิเต๋า ออกนามในสำเนียงแต้จิ๋วคือ หลี่ทิก้วย (ถือไม้เท้าและน้ำเต้า-เซียนแห่งยา), ฮั่นเจ็งลี้ (ถือพัดใบกล้วย-เซียนแห่งโชคลาภ), หลื่อทงปิง (ถือกระบี่เจ็ดดาว-เซียนแห่งธุรกิจ), เตียก้วยเล่า (ถือกระบอกดนตรี-เซียนแห่งความมั่งคั่ง), หน่าไฉ่ฮั้ว (ถือกระจาดดอกไม้-เซียนแห่งความอุดมสมบูรณ์), ฮ่อเซียงโกว (ถือดอกบัว-เซียนแห่งความดีงาม), ฮั้งเซียงจื้อ (ถือขลุ่ย-เซียนแห่งการพยากรณ์) และ เชาก๊กกู๋ (ถือป้ายคู่หยินหยาง-เซียนแห่งตำแหน่ง)
โป๊ยเซียนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งมหามงคล สื่อถึงความสุข ความโชคดี และอายุยืนยาว
นอกจากนั้นคำว่าโป๊ยเซียนยังใช้เรียกต้นไม้ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Euphorbia milii ถือเป็นต้นไม้ประดับนำโชค และยังเป็นชื่ออาหาร “ผัดโป๊ยเซียน” ซึ่ง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบายไว้ละเอียดลออว่า “ชื่ออาหารอย่างหนึ่ง ใช้ปลาหมึกสด เนื้อไก่ กุ้ง และเครื่องในหมูอีก ๕ อย่าง คือ หัวใจ เซ่งจี๊ ไส้ตัน ตับ และกระเพาะ ผัดรวมกับถั่วงอก ใบขึ้นฉ่าย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำมันหอย”
โป๊ยเซียนถูกตีความในยุคนี้ว่าเป็นตัวแทนความหลากหลายของมนุษย์ เช่น หลี่ทิก้วย เป็นตัวแทนคนพิการ คนยากไร้, หน่าไฉ่ฮั้ว อาจเป็นตัวแทนของ LGBTQ+
๓๖
ผะหมี
拍
谜
ผะหมี วันสุนทรภู่ ปี ๒๕๔๓
(ภาพ : https://www.finearts.go.th/promotion/view/36495-พะหมี---ปริศนาคำทาย?type1=7)
มาจากเสียงแต้จิ๋ว 拍 พะแปลว่า ตี เคาะ ตบ 谜 หมีหมายถึงปริศนา คำทาย แหล่งอ้างอิงส่วนใหญ่อธิบายว่า พะหมีคือการตีปริศนาให้แตก แต่คำกิริยาทาย จีนใช้ 猜 ชาย ทายปริศนาจึงใช้ว่า 猜谜 “ชายหมี”
จีนมีประวัติการเล่นปริศนาคำทายมายาวนาน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ซ่งในเทศกาลโคมไฟหรือหยวนเซียว เกิดการเขียนปริศนาเป็นคำกลอนบนกระดาษแปะไว้บนโคมไฟ เรียกว่าปริศนาโคมไฟ (灯谜 เต็งหมี เต็งก็คือโคม)
ไทยรับการเล่นปริศนาคำทายจากจีนและดัดแปลงเป็นผะหมีเมื่อใดไม่มีหลักฐานชัดเจน มีบันทึกแค่ว่ามีเล่นในสมุทรปราการ ชลบุรี และรัชกาลที่ ๖ ทรงจัดเล่นผะหมีในงานฤดูหนาวปี ๒๔๖๒
ผะหมีแต่งปริศนาด้วยร้อยกรองไทย เช่น โคลงสี่สุภาพ กลอนสักวา กาพย์ แต่ละวรรคหรือหนึ่งบรรทัดคือปริศนาหนึ่งคำ เช่น โคลงสี่สุภาพหนึ่งบทจะมีปริศนาสี่คำ คำตอบทั้งสี่คำอาจเป็นพ้องคำหน้า คำหลัง หรือคำผวน การเล่นในบางท้องถิ่นถ้าทายถูกจะมีคนตบมือหรือตีระฆัง ถ้าทายผิดจะมีคนตีกลองดัง “ตะลุ่งตุ้ง” และร้อง “เฮ้ย”
ผะหมีจัดเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านของไทยประเภทปริศนาคำทาย
ตัวอย่างผะหมีคำผวน โคลงสี่สุภาพ
สาว หนึ่งบริสุทธิ์แล้ สะอาดตา
สาว หนึ่งทั่วกายา จุดแต้ม
สาว หนึ่งวากย์วาจา กร้าวหยาบ
สาว หนึ่งยามยลแย้ม เบิ่งได้ไกลตา
(ผู้แต่ง สามารถ ศักดิ์เจริญ คำตอบ สาว-ขี คือสีขาว, สาว-เดือ คือเสือดาว, สาว-หาม คือสามหาว, สาว-ตายาย คือสายตายาว)
๓๗
โพยก๊วน
批
馆
เคียวโพยและการรับเขียนจดหมายของร้านโพยก๊วน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเล ซัวเถา ประเทศจีน
เสียงแต้จิ๋วโพยหมายถึง จดหมาย ตั๋วแลกเงิน ก๊วนหมายถึงร้าน โพยก๊วนคือชื่อเรียกร้านรับส่งจดหมายและตั๋วแลกเงินของคนจีนโพ้นทะเล ซึ่งมีจิตสำนึกว่าหลังจากหนีความลำบากไปทำมาหากินในดินแดนอื่น พอมีเงินบ้างแล้วก็จะส่งเงินกลับมาช่วยเหลือญาติพี่น้อง พร้อมกับถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งยังบริจาคเงินกลับมาช่วยเหลือเมืองจีนในช่วงสงครามกับญี่ปุ่น
พัสดุซึ่งมีทั้งจดหมายและตั๋วแลกเงินเรียกว่า 侨批 เคียวโพย (แต้จิ๋ว) มีบันทึกว่าการส่งเคียวโพยเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จำนวนปีละราว ๓ แสนฉบับ สมัยรัชกาลที่ ๖ สำรวจร้านโพยก๊วนพบว่ามี ๕๘ เจ้า สมัยรัชกาลที่ ๗ มีจำนวนเงินส่งกลับเมืองจีนปีละ ๑๖๐ ล้านบาท โดยเฉพาะคนจีนแต้จิ๋วส่งเงินกลับบ้านเกิดมากที่สุด ดั่งคำพังเพยของคนแต้จิ๋วว่า “แม่น้ำสามสายออกสู่ทะเล มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวกลับบ้านเกิด”
บริษัทที่เปิดร้านโพยก๊วนมักเติบโตจากธุรกิจอื่นมาก่อน เช่น
ค้าข้าว โรงสี ธุรกิจส่งออก ประกันภัย เช่น ตระกูลหวั่งหลี ผู้ก่อตั้งธนาคารหวั่งหลี ภายหลังธุรกิจโพยก๊วนหมดยุคไปเมื่อเกิดธนาคารสมัยใหม่
เคียวโพยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำของโลกโดยยูเนสโก เมื่อปี ๒๕๕๖
๓๘
แมะ
脉
แมะ เสียงแต้จิ๋ว หมายถึงการจับชีพจรตรวจวินิจฉัยโรคและตรวจอาการของแพทย์แผนจีนซึ่งเรียกว่าหมอแมะ
การจับชีพจรปรากฏในตำราแพทย์จีนโบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว หมอแมะจะใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางสัมผัสเส้นเลือดแดงใต้ข้อมือฝั่งนิ้วโป้ง สังเกตรูปแบบชีพจร เช่น ความลึก-ตื้น จังหวะการเต้นเร็ว-ช้า กำลังแรง-อ่อน การไหลลื่น-สะดุด ฯลฯ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งหมด ๒๘ รูปแบบ บ่งบอกถึงความสมดุลของหยิน-หยางในร่างกาย และอาการผิดปรกติตามอวัยวะต่าง ๆ หมอแมะจะแนะนำวิธีดูแลตัวเองก่อนอาการจะหนักหรือเป็นโรค แล้วอาจสั่งจ่ายยาจีนที่จำเป็นในการรักษาโรค
ตามชุมชนชาวจีนต่าง ๆ มักเปิดร้านขายยาจีนมาตั้งแต่สมัย
ต้นรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานได้ว่าในร้านมีหมอแมะซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนแต้จิ๋ว คอยรักษาคนจีนโพ้นทะเลมายาวนาน ปี ๒๕๐๒ รัฐบาลไทยสั่งห้ามนำเข้าสินค้าจาก “จีนแดง” หมอจีนในเมืองไทยกว่า ๑,๐๐๐ คนจึงร่วมกันยื่นจดหมายร้องเรียนเพื่อขอนำเข้ายาจีนมารักษาคนจีนในเมืองไทยที่มีมากกว่า ๓ ล้านคน
ปัจจุบันแพทย์แผนจีนเป็นแนวการรักษาทางเลือกที่คนไทยสนใจรับบริการมากขึ้น เช่น กดจุด ฝังเข็ม นวดทุยหนา
หมอแมะในร้านยาจีน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเล ซัวเถา ประเทศจีน
๓๙
ยี่กอฮง
二
哥
豐
(อักษรจีนตัวเต็ม)
ในระบบราชการของสยาม ชาวจีนผู้นี้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระอนุวัฒน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช ปี ๒๓๙๔-๒๔๗๙) เคยเป็น “ขุนบาลฯ” นายอากรหวย ต่อมาได้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้ดำเนินการออกหวยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันเขายังเป็น “ยี่กอฮง” คือพี่รอง ผู้มีชื่อตัวว่า “ฮง” และแม้ต่อมาเขาจะได้ขึ้นเป็น “พี่ใหญ่” ของสมาคมลับหรืออั้งยี่ แต่ก็ยังขอให้ทุกคนเรียกเขาด้วยฉายาเดิม
“ยี่กอฮง” สร้างบารมีด้วยการสร้างโรงเรียนมัธยมวัดสะพานสูง (อนุวัฒน์ศึกษาคาร) ภายหลังย้ายไปรวมกับโรงเรียนอื่นเป็นโรงเรียนโยธินบูรณะ เป็นต้นความคิดให้เจ้าสัวหลายคนลงขันสร้างโรงเรียนเผยอิง ซึ่งเป็นโรงเรียนภาษาจีนของชาวแต้จิ๋วแห่งแรก และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งคณะเก็บศพไต้ฮงกง ซึ่งต่อมาเป็นมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
บนดาดฟ้าสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย กรุงเทพฯ อันเป็นที่ตั้งคฤหาสน์เดิมของคุณพระอนุวัฒน์ฯ ยังมี “ศาลพ่อปู่เจ้ายี่กอฮง” ผู้เป็น “เทพเจ้าหวยองค์แรกแห่งสยามประเทศ” ให้เหล่าเซียนหวยและนักการพนันทั้งชาวไทยและคนต่างชาติต่างภาษามากราบไหว้บูชาขอโชคขอลาภ
แท่นบูชาพ่อปู่ยี่กอฮง
ที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง
๔๐
ยี่ห้อ
字
号
คาดว่ามาจากเสียงแต้จิ๋วหยี่ห่อ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า “เครื่องหมายสำหรับร้านค้าหรือการค้าหรือชื่อร้านค้า” ในเว็บไซต์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภาขยายความว่า
“เดิมใช้กับสินค้าประเภทเครื่องจักรเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ ต่อมาใช้กับสินค้าอื่น ๆ ด้วย”
แหล่งอ้างอิงบางเล่มบอกว่า เอกสารราชการของสยามเคยเรียกร้านค้าของคนจีนด้วยคำขึ้นต้นว่ายี่ห้อ
ในภาษาจีน 字号 หมายถึงร้านค้า กิจการ บริษัท เครื่องหมายการค้าหรือแบรนด์ คำว่า 老字号 (เหล่าหยี่ห่อ) ยังหมายถึงร้านค้าหรือบริษัทเก่าแก่ที่ดำเนินกิจการมายาวนาน คล้ายกับที่ไทยเรียกว่ายี่ห้อเก่าแก่
ยี่ห้อยังเป็นสำนวน สื่อถึงชื่อเสียง เช่น “อย่าทำให้เสียยี่ห้อ” หมายถึงระวังไม่ให้เสียชื่อเสียงของร้านหรือสินค้า และสื่อถึงนิสัยลักษณะ เช่น “หน้าตาบอกยี่ห้อ” หมายถึงบอกว่าเป็นคนนิสัยแบบไหน
๔๑
ล่ำซำ
藍
衫
(อักษรจีนตัวเต็ม)
นายอึ้งเมี่ยวเหงี่ยนอพยพย้ายถิ่นจากบ้านเกิดในมณฑลกวางตุ้งเข้ามายังสยามราวต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มต้นจากฐานะลูกจ้างในร้านของคนจีนอพยพรุ่นก่อนหน้า ค่อย ๆ
เรียนรู้วิชาค้าขาย สั่งสมทุนทรัพย์จนเปิดกิจการค้าไม้ของตนเอง ก่อนจะขยายไปสู่การรับสัมปทานป่าไม้และตั้งโรงเลื่อยแปรรูปไม้ซุง เขาใช้ชื่อห้างว่า “ล่ำซำ” อันอาจเกี่ยวเนื่องกับนามใหม่ที่เขาตั้งให้ตัวเองว่า “นายล่ำซำ”
藍 ล่ำแปลว่าสีน้ำเงิน และ 衫 ซำแปลว่าเสื้อ บางครั้งเขียนว่า 藍三 ซึ่ง 三 แปลว่าสาม บางท่านถอดความหมายไว้ว่า “บุตรชายคนที่ ๓ (ของตระกูลอึ้ง) ผู้ใส่เสื้อสีน้ำเงิน”
นายล่ำซำมีส่วนร่วมสร้างศาลเจ้าโรงเกือก โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา และก่อตั้งบริษัทกวางอันหลงประกันภัย ซึ่งปัจจุบันคือบริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ต่อมาทายาทนำชื่อตัวของบรรพชนอันถือเป็นมงคลนามมาใช้เป็นชื่อสกุลคือ “ล่ำซำ” คำนี้ยังใช้เป็นคำคุณศัพท์ในภาษาไทย มีความหมายว่าฐานะมั่งคั่งร่ำรวย เป็นเศรษฐี
ส่วน “ล่ำซำ” ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าจ้างก้อนใหญ่ครั้งเดียวแบบเหมางาน ไม่ระบุรายละเอียด เช่น ค่าจ้างก่อสร้างแบบรวมค่าแรงค่าวัสดุไว้หมดแล้ว ความจริงมาจากภาษาอังกฤษว่า lump sum ซึ่งพ้องเสียงกันพอดี
อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน
ต้นตระกูลล่ำซำ
๔๒
เล้ง, เล่ง
龙
เล้ง เล่ง เสียงแต้จิ๋ว หลง เสียงจีนกลาง หมายถึงมังกร เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานความเชื่อของชาวจีน สัญลักษณ์ของอำนาจ จักรพรรดิ ความเจริญรุ่งเรือง รวมถึงพลังธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับน้ำและการเกษตร ตามศาลเจ้าจึงมักพบลายมังกรและสร้างเสามังกรไว้เป็นเสมือนสิ่งเชื่อมแผ่นดินและมนุษย์กับสวรรค์และเทพเจ้า พร้อมกับอัญเชิญพลังศักดิ์สิทธิ์ลงมาคุ้มครองสถานที่
ช่วงเทศกาลมงคลต่าง ๆ ยังมีการเชิดมังกรหรือแห่มังกรเพื่อความเป็นสิริมงคล งานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทยคืองานแห่มังกรในเทศกาลตรุษจีน อำเภอปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์
เล่ง ใช้เป็นชื่อวัด เช่น วัดเล่งเน่ยยี่ หรือวัดมังกรกมลาวาส รวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งเทพเจ้าของเต๋าและพระโพธิสัตว์ของพุทธมหายาน สร้างตั้งแต่ปี ๒๔๑๔
เอียเล้ง เป็นคำเรียกกระดูกสันหลังหมู เพราะลักษณะคล้ายกระดูกของงูใหญ่หรือมังกร ซุปต้มยำกระดูกสันหลังหมูที่มีเนื้อติดน้อย ๆ ใส่พริกขี้หนูเยอะ ๆ จึงเรียกสั้น ๆ ว่าต้มเล้ง หรือเล้งแซ่บ เชื่อว่ามีคอลลาเจนเยอะ กินแล้วผิวจะใสเด้ง
อ่อนกว่าวัย
สำหรับคำว่า “ล้งเล้ง” ไม่เกี่ยวกับมังกร แต่อาจมาจาก 隆隆 ล้งล้ง เสียงแต้จิ๋ว หมายถึง เสียงดังก้อง เสียงดังต่อเนื่อง เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงเครื่องจักรทำงาน ซึ่งใกล้เคียงกับที่คนไทยใช้ว่าเสียงอื้ออึง เสียงคนจีนพูดดังโหวกเหวก เช่น ด่ากันล้งเล้ง
เชิดมังกร งานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี
๔๓
สามก๊ก
三
国
演
义
การแสดงหุ่นกระบอกเรื่อง สามก๊ก
ของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต
นิยายจีนยุคราชวงศ์หยวนต่อราชวงศ์หมิง กล่าวถึงสงครามระหว่าง “ก๊ก” หรือแคว้นต่าง ๆ ช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่น เริ่มแปลเป็นภาษาไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ มีฐานะเป็น “พงศาวดารจีน” เรียกกันว่า “สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)” ตามนามของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการอำนวยการแปล
คนไทยนับถือกันมาแต่โบราณว่า สามก๊ก เป็นเรื่องกลอุบายการศึกที่ลึกซึ้งแยบคาย จนมีคำกล่าวว่า “อ่านสามก๊กสามจบคบไม่ได้” เพราะเชื่อว่าจะเป็นผู้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
แม้ไม่ปรากฏนาม แต่คณะผู้แปล สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) น่าจะเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน เพราะชื่อตัวละคร เช่น เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย โจโฉ เป็นการออกเสียงตามสำเนียงฮกเกี้ยน
เรื่อง สามก๊ก เป็นที่คุ้นเคยและชื่นชอบของคนไทยมานับร้อยปี มีกระทั่งเขียนเป็นจิตรกรรมฝาผนังในวัดไทย เช่น วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร วัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ
สามก๊กและตัวละครเด่นมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับการเมืองไทย เช่น “การเมืองไทยวันนี้เหมือนสามก๊ก แดง-น้ำเงิน-ส้ม”
๔๔
หวย
会
สมัยราชวงศ์ชิงมีการพนันที่นิยมเล่นในมณฑลฮกเกี้ยน กวางตุ้ง เรียกว่า 花会 ฮวยหวย เสียงแต้จิ๋วฮวยแปลว่าดอกไม้ หวยแปลว่าชุมนุม การเล่นนี้ใช้ป้าย ๓๖ อัน เขียนชื่อและภาพวาดบุคคล ๓๖ คน เจ้ามือจะแขวนป้ายไว้หน้าโรงหวยและมีป้ายขนาดเล็กของตัวเองอีกชุดไว้เลือกหนึ่งชื่อใส่กระบอกไม้แขวนกับหลังคาเรียกว่าตัวเต็ง ผู้เล่นวางเงินพนันแทงว่าตัวเต็งเป็นชื่อใด ถ้าทายถูกก็จะได้เงินรางวัล ๓๐ เท่าของเงินแทง
สมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงเปิดประมูลอากรให้คนตั้งโรงหวยแห่งแรกเพื่อเป็นรายได้เข้ารัฐ เจ้าของโรงหวยนำฮวยหวยมาปรับโดยเพิ่มพยัญชนะไทย ก-ฮ ในป้ายชื่อจีน เพื่อให้จำง่าย เรียกว่า “หวย ก ข” ปรากฏว่าทั้งคนไทยและคนจีนติดหวยมาก โรงหวยจึงขยายโรงเพิ่มขึ้น จากอากรประมูลที่รัฐเคยได้รับปีละ ๒ หมื่นบาทในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพิ่มสูงถึงปีละ ๓.๖๓ ล้านบาทในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่หวยสร้างปัญหาสังคมมาก เช่น คนไม่ทำงานหมดเนื้อหมดตัว โรงหวยกลายเป็นแหล่งซ่องสุมอันธพาลและโจรผู้ร้าย
การยกเลิกหวย ก ข สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ ๖ ต่อมาเมื่อรัฐออกสลากกินแบ่งรัฐบาล ชาวบ้านก็เรียกว่า “หวยรัฐบาล” และยังเกิด “หวยใต้ดิน” ที่เจ้ามือรับแทงจากชาวบ้านเองโดยอิงกับผลของสลากกินแบ่งรัฐบาล
คนไทยยังมีสำนวน “หวยออก” แปลว่าได้รับภาระที่ไม่ปรารถนา “หวยล็อก” แปลว่าผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
๔๕
หัวเฉียว
华
侨
อั่งเถ่าจุ๊ง จิตรกรรมฝาผนัง
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เสียงจีนกลางหัวเฉียว แต้จิ๋วฮั่วเคี้ยว สมัยก่อนใช้หมายถึงชาวจีนที่อาศัยอยู่ในต่างแดน หรือชาวจีนโพ้นทะเล
ชาวจีนฮกเกี้ยนเข้ามาเมืองไทยจำนวนมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวจีนแต้จิ๋วสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ และยังมีชาวจีนแคะ (ฮากกา) จีนกวางตุ้ง จีนไหหลำ ส่วนใหญ่หนีภัยสงครามและความแร้นแค้นที่เกิดขึ้นหลายระลอกในแผ่นดินจีน
ก่อนจะมีเรือกลไฟชาวจีนเดินทางด้วยเรือสำเภา เรือของชาวแต้จิ๋วหัวเรือทาสีแดงเรียกว่าอั่งเถ่าจุ๊ง ส่วนเรือของชาวฮกเกี้ยนทาสีเขียว ใช้เวลาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลนานราว ๑ เดือน สิ่งของที่นำติดตัวมามักมีไม่มาก จนเกิดสำนวนว่า “เสื่อผืนหมอนใบ” แต่ความจริงมีของอื่น ๆ ด้วย เช่น ตะกร้า ขนมเข่ง ฟัก ผ้าอาบน้ำ บางคนยังนำดินจากบ่อน้ำบ้านเกิดมาด้วย
ชาวจีนโพ้นทะเลมีสำนึกว่าสักวันหนึ่งจะต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ดังที่จีนแต้จิ๋วมีสำนวนเกี่ยวกับชะตากรรมของจีนโพ้นทะเลว่ามีสามอย่าง คือ จ่อซัว-ร่ำรวยได้เป็นเจ้าสัว ตึ่งซัว-ได้กลับเมืองจีน และหงี่ซัว-ได้อยู่สุสาน
คำว่า ฮั่วเคี้ยว หัวเฉียว มักใช้ในชื่อโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลมูลนิธิ ฯลฯ ซึ่งเป็นของชาวจีนโพ้นทะเล
๔๖
โหงวเฮ้ง
五
行
ศาสตร์การดูใบหน้าที่ไทยเรียกว่าโหงวเฮ้ง มาจากคำว่า 五行 หมายถึงธาตุทั้งห้า ได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ ซึ่งศาสตร์จีนเชื่อว่าเป็นองค์ประกอบหลักของทุกสรรพสิ่ง ส่วนจีนเรียกศาสตร์การดูใบหน้าว่า 面相 หมิ่งเซียง (แต้จิ๋ว) ใช้วิเคราะห์บุคลิกภาพ สุขภาพ และโชคชะตาของบุคคลตามลักษณะธาตุทั้งห้า โหงวเฮ้งของไทยจึงตรงกับหมิ่งเซียงของจีน
หมิ่งเซียงมีประวัติความเป็นมายาวนานหลายพันปีและคงเข้ามาเมืองไทยพร้อมกับชาวจีนโพ้นทะเล แต่ทำไมคนไทยเรียก
โหงวเฮ้งแทนหมิ่งเซียงไม่มีคำอธิบายชัดเจนอาจเป็นไปได้ว่ามาจากการดูลักษณะคนตามธาตุทั้งห้า เช่น คนธาตุไม้ หน้าผากนูนสูง รูปร่างเพรียว นิ้วยาวเรียว เสียงกังวาน คนธาตุทอง หน้าผากกว้าง ใบหน้าสี่เหลี่ยม โครงกระดูกใหญ่ รูปร่างกำยำ ฯลฯ เชื่อกันว่าลักษณะบนใบหน้าสามารถบ่งบอกชะตาชีวิต เช่น หน้าผากกว้าง-ปัญญาดี จมูกสูงใหญ่-มีโชคลาภ หูใหญ่-อายุยืน
ทุกวันนี้บริษัทบางแห่งพิจารณาคนที่จะรับเข้าทำงานจากโหงวเฮ้ง คนไทยนิยมทำศัลยกรรมใบหน้า เช่น เสริมหน้าผาก ทำตา เสริมจมูก เสริมคาง เพื่อแก้ไขโหงวเฮ้งให้ชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงเลือกตั้งก็มักมีข่าวหมอดูโหงวเฮ้งออกมาทำนายว่าใครจะเป็นผู้นำประเทศคนต่อไป
๔๗
อั่งเปา
红
包
เสียงแต้จิ๋วอั่งแปลว่าสีแดง เปาแปลว่า ถุง ซอง อั่งเปาจึงหมายถึงซองสีแดง หรือถุงสีแดง ซึ่งใส่เงินหรือของมีค่า
ตามตำนานพื้นบ้านเล่าว่า คืนวันสิ้นปีจะมีปีศาจชื่อ “ซุ่ย” มาลูบหัวเด็กที่กำลังหลับ ทำให้กลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน จึงต้องวางเหรียญทองแดงไว้ใต้หมอนเด็กเพื่อช่วยขับไล่ปีศาจ
อั่งเปาจึงมีต้นกำเนิดจากเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย คนจีนยังเชื่อว่าสีแดงเป็นสีแห่งพลังอำนาจ ความสุข และโชคลาภ สมัยโบราณจึงใช้เชือกแดงร้อยเหรียญ กลายมาเป็นห่อเหรียญด้วยกระดาษแดงและซองแดงใส่ธนบัตรในที่สุด ถือเป็นตัวแทนความรักความห่วงใยที่ผู้ใหญ่มอบให้ผู้น้อยในเทศกาลตรุษจีนหรือปีใหม่ จำนวนเงินมากหรือน้อยจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สำหรับคนจีนแต้จิ๋วเรียกว่าแต๊ะเอีย มาจากคำว่า 压腰 ซึ่งแปลว่ากดเอว เพราะเชื่อว่าการผูกเงินไว้ที่เอวเด็กจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้คล้ายคลึงกันกับตำนานอั่งเปา
นอกจากนี้ก็มีอั่งเปาที่นายจ้างให้ลูกจ้างเป็นเหมือนโบนัส
ประจำปี และเคยเกิดกรณีอั่งเปาให้ข้าราชการ และข้าราชการ ไถอั่งเปาจากร้านค้า จนต้องออกกฎหมายห้ามพนักงานของรัฐรับเงินจากบุคคลที่ไม่ใช่ญาติเกิน ๓,๐๐๐ บาท
๔๘
อั้งยี่
洪
字
สำนวนทั่วไปใช้กับอันธพาล แก๊งอิทธิพล ถ้าตามกฎหมายคือกลุ่มคนที่รวมตัวกันทำผิดกฎหมาย (มากกว่าห้าคนขึ้นไปเรียกว่าซ่องโจร) มีความผิดต้องระวางโทษทั้งจำและปรับ และใครที่ช่วยเหลืออั้งยี่ก็มีความผิดตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
แต่เดิมอั้งยี่ (เสียงแต้จิ๋ว) เป็นสมาคมลับชื่อหงเหมิน มีอุดมการณ์ “โค่นชิง กู้หมิง” คือกอบกู้ราชวงศ์หมิงที่พ่ายแพ้ต่อราชวงศ์ชิง และเข้ามาสยามพร้อมกับชาวจีนโพ้นทะเล ต่อมาเปลี่ยนบทบาทเป็นองค์กรหรือ “กงสี” ที่ให้การคุ้มครองและช่วยเหลือชาวจีนในการหางาน โดยเฉพาะกรรมกรโรงงาน เหมืองแร่ กรรมกรสร้างทางรถไฟ จนมีคำกล่าวว่า “คนจีนทุกคนล้วนเป็นสมาชิกสมาคมลับ สมาคมใดสมาคมหนึ่ง” ปี ๒๔๔๙ มีบันทึกว่าอั้งยี่ในกรุงเทพฯ มีอย่างน้อย ๓๐ กลุ่ม อั้งยี่มักเป็นผู้ก่อตั้งศาลเจ้าตามท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น ศาลเจ้ากวนอู ศาลเจ้าปุนเถ่ากง และใช้ศาลเจ้าเป็นสถานที่ทำพิธีสาบานตนเข้าสมาคม
สมัยรัชกาลที่ ๓-๕ รัฐสยามใช้แนวทาง “เลี้ยงอั้งยี่” คือตั้งหัวหน้า อั้งยี่เป็นปลัดจีนประจำเมือง เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของชุมชนจีนด้วยกันเอง แต่ภายหลังอั้งยี่ระหว่างตระกูลแซ่มักทะเลาะวิวาทต่อสู้เพราะขัดผลประโยชน์กัน หลายครั้งบานปลายจนเป็นเหตุจลาจลใหญ่ ทางการจึงต้องปราบปรามและออกกฎหมายควบคุม
บางแหล่งว่าอั้งยี่มาจากคำว่า 红字 แปลว่าอักษรสีแดง ปัจจุบัน “ทุนจีนสีเทา” ถูกเปรียบเปรยว่าคืออั้งยี่เวอร์ชัน ๔.๐
เหรียญหรือแผ่นประดับเอวของสาขาที่ ๓ แห่งสมาคมหงเหมิน (洪門) ในเซี่ยเหมิน เมืองท่าที่ชาวจีนอพยพออกไปดินแดนอุษาคเนย์ รวมทั้งเมืองไทย ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙
๔๙
อับเฉา
压
舱
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ เก็บคำว่า “อับเฉา” ไว้ในสองความหมาย อย่างหนึ่งคือ “ไม่สดชื่น, ไม่ชื่นบาน” กับอีกอย่างหนึ่งคือ “ของถ่วงเรือกันเรือโคลง มีหินและทรายเป็นต้น” คำหลังนี้มีอธิบายว่าเป็นคำยืมจากจีนคือ 压舱 ซึ่งอาจเพี้ยนมา จากจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่าเอียบฉึง ฮกเกี้ยนออกเสียงว่าอับจ่อง กวางตุ้งว่าอ้าดฉ่อง
อับเฉาเคยใช้เรียกรูปศิลาอย่างจีนที่ตั้งประดับตามวัด เช่น
รูปนักรบแต่งกายแบบตัวละครงิ้ว หรือรูปสิงห์ เนื่องจากเข้าใจกันว่าสิ่งของเหล่านี้ถูกนำเข้ามาในฐานะ “อับเฉา” ถ่วงน้ำหนักในระวางเรือสำเภาที่กลับจากไปค้าขายที่เมืองจีน แต่เมื่อพิจารณาฝีมือช่างและการคัดสรรขนาดอย่างประณีตแล้ว นักวิชาการในปัจจุบันลงความเห็นว่านี่คือ “ของนอก” เป็นสินค้านำเข้าที่ถูกสั่งผลิตเพื่อใช้ประดับวัดวาอารามโดยเฉพาะ จึงเสนอให้ใช้คำอื่นเรียกแทน เช่น “รูปศิลาจีน” วัดในกรุงเทพฯ ที่มีรูปศิลาจีนแบบต่าง ๆ ประดับอยู่มาก เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดราชโอรสาราม ฯลฯ
แม้วันนี้ในเรือสมัยใหม่ก็ยังใช้ศัพท์เรียกว่า น้ำอับเฉา ห้องอับเฉา ถังอับเฉา ซึ่งหมายถึงน้ำ ห้อง/ถังใต้ท้องเรือที่บรรจุน้ำ ซึ่งใช้รักษาการทรงตัวของเรือ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๕๐
ฮวงจุ้ย
风
水
ฮวงคือลม จุ้ยคือน้ำ หมายถึงศาสตร์การจัดวางสิ่งต่าง ๆ และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับพลังธรรมชาติที่เรียกว่าชี่ ซึ่งไหลเวียนในทุกสรรพสิ่ง ทั้งในคน สิ่งมีชีวิต และธรรมชาติ โดยลมเป็นตัวพาชี่ให้เคลื่อนที่ไป และน้ำเป็นตัวกักเก็บชี่ให้คงอยู่
ตามหลักฮวงจุ้ยจึงควรเลือกที่อยู่อาศัยซึ่งมีลมพัดเบา ๆ หากไม่มีลมเลยชี่จะหยุดนิ่ง ชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า หรือหากลมแรงไปชี่ก็กระจายออกหมด โชคลาภหรือสุขภาพก็จะสูญหาย และควรมีแหล่งน้ำไหลช้า ๆ อยู่ด้านหน้าที่อยู่อาศัยเพื่อเก็บกักพลังชี่ ดึงดูดโชคลาภและความมั่งคั่งเข้ามา
ศาสตร์ฮวงจุ้ยมีกำเนิดในจีนมานานกว่า ๓,๐๐๐ ปี การสร้างเมืองหลวง พระราชวังของจักรพรรดิ มักออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย กระทั่งราว ๑,๗๐๐ ปีก่อน กวอผู๋ (郭璞) เขียนตำราฮวงจุ้ยของสุสาน ว่าต้องเลือกทำเลที่ “หลังมีภูเขา หน้ามีน้ำ” เพื่อนำโชคลาภมาให้ลูกหลาน เพราะพลังชี่ของผู้ตายจากสุสานซึ่งเป็นบ้านของคนตายกับลูกหลานในบ้านของคนเป็นยังเชื่อมถึงกันอยู่ คนจีนโพ้นทะเลเรียกสุสานว่า “ฮวงซุ้ย” ก็คือคำเดียวกับฮวงจุ้ย
การ “ปรับฮวงจุ้ย” “แก้ฮวงจุ้ย” ตามศาสตร์โบราณนี้ยังคงเป็นที่พึ่งทางจิตใจของผู้คนในโลกสมัยใหม่
รูปปั้นเซียนยิงธนูเพื่อแก้ฮวงจุ้ยบนอาคารสมัยใหม่ ย่านเพลินจิต