กลางปี ๒๕๑๘ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือจีนแผ่นดินใหญ่ และสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนอย่างเป็นทางการ หลังจากยุติความสัมพันธ์ไปในช่วงสงครามเย็นระหว่างประเทศฝ่ายเสรีนิยมที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกับประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีรัสเซียและจีนเป็นผู้นำ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
จับมือกับประธานพรรคคอมมิวนิสต์
เหมาเจ๋อตง ผู้นำสูงสุดของจีน
ปี ๒๕๖๘ จึงถือเป็นวาระครบ ๕๐ ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ หลังยุคสงครามเย็น แต่ความจริงบนหน้าประวัติศาสตร์ ไทย-จีนมีความเชื่อมโยงกันยาวนาน
กว่า ๒,๐๐๐ ปี หลักฐานจากโบราณวัตถุบ่งบอกว่าการค้าขายระหว่างดินแดนแถบนี้กับจีนน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ขณะที่บันทึกในเอกสารต่าง ๆ ของจีนกล่าวถึง
เมืองท่าต่าง ๆ ในบริเวณที่จะเป็นรัฐสยาม มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เช่น ศรีวิชัย ตามพรลิงก์ สุโขทัย ละโว้ โดยเฉพาะเซียน เซียนหลัว ซึ่งหมายถึงกรุงศรีอยุธยา
แล้วเมื่อเข้าสู่สมัยราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน เรือสำเภาจีนจำนวนมากก็ข้ามน้ำข้ามทะเลออกมาค้าขาย เที่ยวมาบรรทุกสินค้าจากจีน เที่ยวกลับบรรทุกสินค้าจากดินแดนอุษาคเนย์ พร้อมกับนำพ่อค้าชาวจีนไปอยู่อาศัยตามเมืองท่าต่าง ๆ แต่ครั้นถึงสมัยราชวงศ์หมิงเกิดนโยบายผูกขาดการค้าไว้กับราชสำนัก ห้ามเอกชนจีนออกเรือ ดินแดนที่ปรารถนาจะทำการค้ากับจีนต้องส่งเครื่องบรรณาการมาถวายจักรพรรดิจีนก่อน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาก็ทรงยอมรับธรรมเนียมปฏิบัตินี้ที่เรียกว่า “จิ้มก้อง”
การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ รอบอ่าวไทยมาตลอดเวลายาวนานหลายร้อยปี มีชาวจีนเข้ามาตั้งหลักปักฐาน สร้างศาลเจ้า บ้านเรือน ตลาด ร้านค้า ประกอบอาชีพแรงงาน ช่างฝีมือ เกษตรกร พ่อค้า และได้เป็นถึงขุนนาง ซึ่งชาวจีนไม่อยู่ในระบบไพร่เหมือนชาวสยาม ลาว มอญ
ความเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้นสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อการค้ากับจีนยิ่งกลายเป็นรายได้หลักของรัฐไทย พ่อค้าจีนหรือเจ้าสัวมีความสำคัญถึงขั้นได้เป็นเจ้าเมืองและเจ้ากรม ขณะที่แผ่นดินจีนสมัยราชวงศ์ชิงกลับประสบภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง เกิดสงครามภายในและสงครามภายนอกกับชาติตะวันตก ชาวจีนยิ่งอพยพเข้ามาสยามจำนวนมหาศาล พร้อมกับความวุ่นวายที่ค่อย ๆ ก่อตัวรุนแรงขึ้นจากกลุ่มอิทธิพลและการขัดผลประโยชน์กันเองของชาวจีนโพ้นทะเล ทับซ้อนด้วยการแตกแยกทางความคิดในการสนับสนุนพรรคต่าง ๆ ในเมืองจีนเพื่อรวมชาติและสถาปนาจีนใหม่ รัฐสยามเองก็เผชิญกับการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกทำให้ต้องเปิดประเทศ รับการค้าเสรี ปรับปรุงการปกครองให้รวมศูนย์อำนาจ ลดอิทธิพลของชาวจีน ซึ่งถูกเรียกว่า “พวกยิวแห่งบูรพาทิศ” พยายามสร้างสำนึกชาตินิยม ความเป็นชาติและพรมแดนประเทศตามแบบสากล จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี ๒๔๗๕
ความวุ่นวายยังไม่จบสิ้น จีนถูกญี่ปุ่นรุกราน ขณะที่ไทยถูกญี่ปุ่นบังคับเป็นพันธมิตรในสงครามมหาเอเชียบูรพา หลังสงครามสิ้นสุดไม่นานพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีชัยชนะในการรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว ส่วนรัฐบาลไทยมีนโยบายชาตินิยม ออกกฎหมายหลายอย่างมาควบคุมชาวจีนโพ้นทะเล เดินแนวทางฝ่ายเสรีนิยมเพื่อพัฒนาประเทศตามอย่างชาติตะวันตกและร่วมต่อต้าน “ภัยคอมมิวนิสต์”
ในห้วงเวลานั้นเองที่ลูกหลานจีนค่อย ๆ ปรับตัวเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดเศรษฐีชาวจีนหลากหลายตระกูลที่เป็นเจ้าของบริษัทและธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเติบโตในครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ก่อนจะถูกคุกคามด้วยเศรษฐกิจการค้าของโลกยุคไร้พรมแดน และโลกสังคมออนไลน์ในวันนี้
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนมากเดินทางมาประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว บางส่วนมาประกอบธุรกิจการค้าทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและธุรกิจสีเทาหรือผิดกฎหมาย จนเกิดคำเรียกว่า “จีนเทา” ขณะที่ลูกหลานจีนโพ้นทะเลรุ่นหลัง ทั้งเชื้อสายจีนแท้และผสม ส่วนใหญ่กลายเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรมสากลเต็มตัว
ในวาระ ๕๐ ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีน สารคดี ฉบับนี้จึงเลือกนำเสนอ ๕๐ สิ่งและคำที่ใช้อยู่ในสังคมวัฒนธรรมไทย ซึ่งมาจากภาษาจีนหรือยืมจากภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทย โดยหนังสือที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นการเรียบเรียง ๕๐ สิ่งและคำ คือ คำจีนสยาม ภาพสะท้อนปฏิสัมพันธ์ไทย-จีน เขียนโดยอาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ เมื่อปี ๒๕๕๕ หนังสือหนา ๕๔๐ หน้า มีการวิเคราะห์คำจีนสยามทั้งหมด ๑๘๐ คำ
อาจารย์วรศักดิ์อธิบาย “คำจีนสยาม” ไว้ในหน้าที่ ๓ ว่าหมายถึง “คำจีนหลายสำเนียงที่มีการใช้กันในสังคมไทยอย่างกว้างขวางระดับหนึ่ง โดยส่วนใหญ่เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว คำเหล่านี้เมื่อนำมาใช้ในสังคมไทยที่มีวัฒนธรรมต่างจากจีน การออกเสียงจึงอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับเสียงเดิมก็ได้ ด้วยว่าคนไทยไม่ใช่เจ้าของภาษา เช่นเดียวกับความหมายที่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็อาจกลายความหมายเป็นอื่นไปสำหรับคำบางคำก็ได้เช่นกัน โดยมีจุดร่วมที่สำคัญประการหนึ่งอยู่ตรงที่ต่างก็เข้าใจความหมายโดยรวมของคำจีนที่ตนใช้อยู่ และยังใช้กันมาจนทุกวันนี้”
สำหรับผู้สนใจ “คำจีนสยาม” สมควรหาหนังสือเล่มนี้มาศึกษาเพิ่มเติม มีคำใกล้ตัวหลายคำที่อาจนึกไม่ถึงว่ามาจากภาษาจีน เช่น เก้าอี้ โต๊ะ ปุ๋ย ลุ้น ห้าง โหล ฯลฯ
นอกจากนี้ผู้เขียนยังใช้หนังสือประกอบการเขียนอีกหลายเล่ม รวมทั้งสืบหาคำค้นหรือคำสำคัญที่เกี่ยวข้องด้วย AI โดยเฉพาะ DeepSeek.com จากนั้นนำคำค้นกลับไปหาคำอธิบายในเว็บไซต์ไทยและเว็บไซต์จีน เพื่อเปรียบเทียบประวัติและความหมายที่ใช้ในสังคมจีนกับสังคมไทยด้วย
๕๐ สิ่งและคำที่บอกเล่าอย่างกระชับสั้นใน สารคดี ฉบับนี้ ผู้เขียนยอมรับว่ามีเนื้อหาน้อยมากเมื่อเทียบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน และยังอาจพบข้อผิดพลาดได้ ซึ่งต้องขออภัยผู้อ่านล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยความหวังว่าจะทำหน้าที่จุดประกายให้ผู้สนใจทั่วไป ทั้งคนไทยและลูกหลานจีนโพ้นทะเล เห็นถึงสิ่งละอันพันละน้อยจากวัฒนธรรมจีนที่สอดแทรกและซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมไทย ซึ่งยังรอการสืบค้นข้อเท็จจริงและบันทึกเรื่องราวจากคนรุ่นนี้และรุ่นต่อไปในอนาคต
ขอขอบคุณ ปริวัฒน์ จันทร ช่วยตรวจทานข้อมูลและเอื้อเฟื้อหนังสือประกอบการเขียน คำจีนสยาม ภาพสะท้อนปฏิสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งปัจจุบันหาซื้อทั่วไปได้ยากแล้ว และ จุฑารัตน์ เหลืองสง่างาม ช่วยตรวจทานภาษาจีน
หนังสือประกอบการเขียน
แนะนำสำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทย-จีน หาอ่านเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- กบฏจีนจน “บนถนนพลับพลาไชย” เขียนโดย สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ปี ๒๕๕๕
- จีนยุคบุราณรัฐ เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยามปริทัศน์ ปี ๒๕๖๓
- ชื่อ แซ่ และระบบตระกูลแซ่ : อัตลักษณ์สำคัญเบื้องต้นของคนจีน เขียนโดย ถาวร สิกขโกศล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว ปี ๒๕๖๗
- แต้จิ๋วแต่แจ๋ว เขียนโดย สมชาย จิว จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ยิปซี กรุ๊ป ปี ๒๕๖๕
- ประวัติจีนกรุงสยาม เล่มที่ ๑ สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ เล่มที่ ๒ ยุคล่าอาณานิคม เล่มที่ ๓ ยุคก่อร่างสร้างประเทศไทย เขียนโดย เจฟฟรี ซุน และ พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร แปลและเรียบเรียงโดย พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร สมชาย จิว และ กิตติพัฒน์ มณีใหญ่ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ปี ๒๕๖๘
- เยาวราชในดวงหน้า เขียนโดย สมชาย จิว จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว ปี ๒๕๖๗
- วิถีจีน-ไทยในสังคมสยาม เขียนโดย แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ปี ๒๕๕๐
- สังคมจีนในประเทศไทย ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ เขียนโดย จี. วิลเลียม สกินเนอร์ บรรณาธิการโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะผู้แปลหกคน จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโตโยต้าและมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปี ๒๕๒๙
หมายเหตุ คำภาษาจีนที่พิมพ์ในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ใช้อักษรจีนตัวย่อ ยกเว้นบางคำ
๑
กงสี
公
司
กงแปลว่าส่วนรวม สีหรือซือแปลว่าควบคุม/จัดการ คำว่ากงสีหรือกงซือจึงหมายถึงองค์กร บริษัท แต่ยังมีความหมายถึงธุรกิจครอบครัวแบบจีน
หัวหน้าตระกูลคือหัวหน้ากงสี เริ่มต้นธุรกิจจากรุ่นพ่อที่มาจากเมืองจีน สืบทอดให้ลูกชายคนโตเป็นรุ่นที่ ๒ สมาชิกในตระกูลต้องช่วยกันทำงานหรือหาเงินเข้ากงสี รายได้ของกงสีจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตของครอบครัวและลูกหลาน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงคนภายนอกที่เชื่อใจให้เข้ามาทำงานในกงสีด้วย จนมีสำนวนว่า “กินเงินกงสี”
การขยายกิจการมักให้ลูกชายเป็นหลัก เพราะลูกสาวต้องแต่งออกไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามี การมีลูกจำนวนมากจึงจำเป็น ตามประวัตินายเตียง แซ่เจ็ง ต้นตระกูลจิราธิวัฒน์ ชาวจีนไหหลำผู้ก่อตั้งห้างเซ็นทรัล มีภรรยา ๓ คน ลูกชาย ๑๔ คน ลูกสาว ๑๒ คน ถึงปัจจุบันสืบกิจการมา ๔ รุ่น
หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ระบบกงสีต้องปรับตัวตามระบบธุรกิจสมัยใหม่เพื่อความอยู่รอด
ปี ๒๕๖๑ ละครโทรทัศน์เรื่อง เลือดข้นคนจาง สร้างปรากฏการณ์ #ใครฆ่าประเสริฐ เนื้อเรื่องผูกปมจากขนบธรรมเนียมในกงสีที่ชายเป็นใหญ่
๒
กวนอิม
观
音
เจ้าแม่กวนอิม
วัดจีนประชาสโมสร-เล่งฮกยี่
ฉะเชิงเทรา
เมื่อคติเรื่องพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เทพผู้ค้ำจุนพุทธศาสนาตามลัทธิมหายาน เผยแผ่เข้าสู่เมืองจีน ถูกนำไปผสมผสานกับตำนานจีนท้องถิ่น กลายเพศเป็นเทวนารี รู้จักกันในนาม “เจ้าแม่กวนอิม” สัญลักษณ์แห่งความเมตตา
ต่อมาคนจีนอพยพสู่สยามจึงนำคติความเชื่อนี้มาเผยแพร่ต่อ เราจึงพบรูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิมทั้งในศาลเจ้าจีน บ้านเรือน ร้านค้า รวมถึงตามวัดพุทธในสายเถรวาทอย่างไทย
รูปปั้นรูปเขียนเจ้าแม่กวนอิมที่คุ้นตากันดีมักเป็นภาพสตรีไว้ผมมวยสูง ด้านหน้ามวยผมประดิษฐานพระพุทธเจ้าอมิตาภะ ผู้สถิต ณ สวรรค์สุขาวดี บางองค์อาจถือขวดน้ำทิพย์และกิ่งหลิว บางองค์แสดงธรรมจักรมุทรา (จีบนิ้วเป็นวง หมายถึงการแสดงธรรม) รวมทั้งยังมีปางที่ทรงมังกรเป็นเทพพาหนะ และปางเมื่อแสดงอิทธิฤทธิ์เป็น “เจ้าแม่กวนอิมพันกร” ก็มี
ประติมากรรมเจ้าแม่กวนอิมเก่าแก่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทยประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นศิลปะสมัยราชวงศ์สุย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ หรือกว่า ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
๓
กวนอู
关
羽
นามของขุนพลผู้เก่งกล้า ใบหน้าแดง เครายาว ใช้ง้าวเป็นอาวุธ มีบันทึกในประวัติศาสตร์จีนปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และวรรณกรรม สามก๊ก ซึ่งภายหลังในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงได้รับการเคารพบูชาอย่างแพร่หลาย ยกย่องเป็นเทพเจ้า ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณธรรมความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ
เมื่อชาวจีนอพยพมาดินแดนอุษาคเนย์ก็ได้อัญเชิญเทพเจ้ากวนอูมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อรำลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอน จึงมีศาลเจ้าตามชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลแทบทุกแห่ง
ศาลเจ้ากวนอูเก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ คือศาลเจ้ากวนอู คลองสาน สร้างในปี ๒๒๗๙ สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โดยอัญเชิญเทพเจ้ามาจากมณฑลฮกเกี้ยน ตรงกับรัชกาลจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง
กวนอูได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ หรือ “บู๊ไฉ่สิ่งเอี้ย” พ่อค้านิยมบูชารูปปั้นเจ้าพ่อกวนอูปาง
ต่าง ๆ ไว้ในร้าน ขอพรให้กิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ชนะคู่แข่ง
ศาลเจ้ากวนอู คลองสาน คนนิยมขอพรเรื่องการขายที่ดิน
๔
กุนซือ
军
师
นิยมในภาษาข่าว ใช้เรียกผู้เป็นที่ปรึกษา นักวางแผนให้นักการเมืองหรือผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เช่น กุนซือกฎหมาย กุนซือเศรษฐกิจ
คำว่ากุนซือเพี้ยนมาจากเสียงแต้จิ๋วว่ากุงซือ เสียงจีนกลางว่า
จวินซือ (军师) หมายถึงนักวางแผนการรบ เพราะกุง/จวินแปลว่ากองทัพ กุนซือผู้โดดเด่นในประวัติศาสตร์จีนซึ่งคนไทยชื่นชอบคือขงเบ้ง หรือจูกัดเหลียง ในวรรณกรรม สามก๊ก
ที่จริงภาษาไทยก็มีคำเรียกทางการทหารเทียบเท่ากุนซือว่า เสธ. ย่อมาจากเสนาธิการ ตำนานหน้าหนึ่งของกุนซือการเมืองไทยคือ “ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก” สมัยนายกรัฐมนตรี พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ หนึ่งในนั้นคือ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ซึ่งต่อมาเป็นกุนซือให้หลายรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร กุนซือยังขยายไปใช้กับโค้ชกีฬา เช่น กุนซือทีมฟุตบอล กุนซือทีมวอลเลย์บอล
ตัวละครขงเบ้ง Zhuge Liang
ในวิดีโอเกม Dynasty Warriors 9
ออกจำหน่ายปี ๒๕๖๑
๖
ขงจื่อ
孔
子
หนึ่งในนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ของจีนและของโลก มีชีวิตอยู่เมื่อราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ในยุคชุนชิวซึ่งแผ่นดินจีนแบ่งเป็นแคว้นต่าง ๆ ทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันยาวนานถึง ๓๐๐ ปี
ขงจื่อรวบรวมและเรียบเรียงตำรา อู่จิง หรือคัมภีร์ห้าหลัก ประกอบด้วย ซือ (กวีนิพนธ์), ซู (รัฐศาสตร์), หลี่ (จารีต), อี้จิง (ธรรมชาติ) และชุนชิว (ประวัติศาสตร์)
หลักคำสอนของขงจื่อเน้นเรื่องจริยธรรมห้าอย่าง ได้แก่ มนุษยธรรม ยุติธรรม จารีตประเพณี ความซื่อสัตย์ และปัญญา รวมทั้งการปฏิบัติตามสถานะของตนให้ถูกต้องเหมาะสม เช่น ขุนนาง บิดา บุตร ก็ต้องปฏิบัติให้สมกับบทบาทของตน สังคมจึงจะสงบสุข คำสอนของขงจื่อฝังรากลึกในสังคมจีนมายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปี ปัจจุบันรัฐบาลจีนตั้ง “สถาบันขงจื่อ” ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมจีน
ปี ๒๕๖๗ ภาพยนตร์ไทย หลานม่า ทำรายได้มหาศาล ด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความกตัญญูและการปฏิบัติตามสถานะของคนในครอบครัว ชวนให้คิดถึงคำสอนของขงจื่อกับบทบาทในสังคมร่วมสมัย
๖
ขิม
琴
เครื่องดนตรีขิม ออกเสียงตามภาษาจีนฮกเกี้ยน ส่วนจีนกลางว่าฉิน มีต้นกำเนิดในเปอร์เซีย เผยแพร่ตามเส้นทางสายไหมเข้าไปในจีนและถูกดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีจีนเรียกว่าหยางฉิน
ชาวจีนนำขิมเข้ามาเมืองไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ใช้บรรเลงประกอบการแสดงงิ้ว มีลายบนฝาเป็นรูปโป๊ยเซียน จึงเรียกว่าขิมโป๊ยเซียน สมัยรัชกาลที่ ๖ นำขิมมาร่วมบรรเลงกับเครื่องดนตรีไทย เมื่อจีนเกิดสงครามใหญ่จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การส่งออกเครื่องดนตรีลดลง ช่างดนตรีไทย จึงต้องประดิษฐ์ขิมขึ้นเองและเปลี่ยนลายบนฝาเป็นเทพเทวดาแบบไทย
ในนิยายรักอมตะเรื่อง คู่กรรม ของ “ทมยันตี” ซึ่งนิยมสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง มักมีฉากอังศุมาลินตีขิมเพลง “นางครวญ” ให้โกโบริฟัง เป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้หลายคนหัดตีขิม และด้วยเสียงใสไพเราะ การเล่นที่ไม่ซับซ้อน กับความเบาของขิม จึงนิยมให้นักเรียนใช้หัดเรียนดนตรีไทย
ขิมจีนในพิธีกงเต๊ก
๗
คะน้า
芥
蓝
ผักยอดนิยมของคนไทย เรียกชื่อใกล้เคียงตามเสียงแต้จิ๋วเป็นผักพื้นเมืองของจีนตอนกลางและตอนใต้ คาดว่าคนจีนแต้จิ๋วนำเมล็ดมาปลูกในไทยตั้งแต่สมัย ต้นรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นช่วงที่คนจีนแต้จิ๋วอพยพมาจำนวนมาก แต่ไม่มีเอกสารบันทึกชัดเจน ประกอบกับคนจีนแต้จิ๋วเพาะปลูกเก่ง เมื่อเข้ามาเมืองไทยก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ได้ทั้งในเขตเมืองและชนบท ทำสวนผัก ไปจนถึงทำไร่พริกไทย อ้อย ยาสูบ การทำสวนยกร่องเป็นภูมิปัญญาที่คนจีนนำเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา พร้อมกับวัฒนธรรมการกินผักสุกด้วยการผัดหรือต้ม
มีตำนานเกี่ยวกับเจ้าแม่กวนอิมว่าเมื่อพระราชบิดากลั่นแกล้งสั่งห้ามคนทั้งเมืองปรุงอาหารมังสวิรัติ ชาวบ้านจึงใช้ตะกร้าวางในหม้อต้มน้ำกระดูกสัตว์เพื่อลวกผักให้เจ้าแม่กวนอิมได้กิน ไขมันจากน้ำต้มกระดูกสัตว์จึงปรากฏบนใบผักชนิดนี้มานับแต่นั้น ผักชนิดนี้เรียกว่าแก๋ะหน่า แก๋ะหมายถึงกั้น หน่าหมายถึงตะกร้า ภายหลังเสียงจึงเพี้ยนเป็นคะน้า ทุกวันนี้เมนูคะน้ายอดฮิตของคนไทย เช่น ผัดคะน้าหมูกรอบ ราดหน้ายอดผัก
๘
งิ้ว
优
งิ้วเป็นคำเลื่อนความหมายจากอิว (优) ในสำเนียงแต้จิ๋วที่หมายถึงดีหรือยอดเยี่ยม ในวงการการแสดงของจีนถือเป็น
คำย่อของ 演员 (เอี๋ยนหยวน) ที่แปลว่านักแสดง ส่วนการแสดงงิ้วจะใช้คำว่าซี่ 戏 (ตัวย่อ) หรือ 戲 (ตัวเต็ม)
จุดเด่นหนึ่งของงิ้วคือนักแสดงที่แต่งหน้าทาปากด้วยสีจัดจ้านบ่งบอกลักษณะเด่นของตัวละครจากวรรณกรรมหรือประวัติศาสตร์ เวลาแสดงจะออกสีหน้าท่าทางอย่างขึงขังเอาจริง ทั้งอารมณ์เศร้า โกรธ หรือต่อสู้ ประกอบการร้องเพลงและเจรจากัน แม้คนไม่รู้ภาษาจีนก็ซึมซับอารมณ์ได้ จนมีสำนวนไทยว่า “ออกงิ้ว” หมายถึงแสดงสีหน้าท่าทางโกรธอย่างรุนแรง
การจัดแสดงงิ้วในไทยเคยเป็นที่นิยมตามศาลเจ้าในเทศกาลสำคัญ ต่อมาถูกแทนที่ด้วยการฉายหนังกลางแปลงจนเหลือคณะงิ้วเพียงไม่กี่คณะ ปี ๒๕๐๑ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำงิ้วไปดัดแปลงเป็นการแสดงล้อเลียนการเมือง เรียกว่างิ้วการเมือง หรืองิ้วธรรมศาสตร์ ปี ๒๕๒๕ ในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี มีการจัดแสดงงิ้วร้องและเจรจาภาษาไทยครั้งแรกโดยคณะงิ้วไท้ตงเตี่ยเกียะท้วง เรื่องเปาบุ้นจิ้น ตอนประหารเปาเหมี่ยน ปัจจุบันคณะงิ้วส่วนใหญ่ในเมืองไทยคนทำหน้าที่หลังฉากและนักแสดงมักเป็นคนอีสาน
๙
จับกัง
杂
工
มาจากเสียงจีนแต้จิ๋ว จับหรือจั้บแปลว่าหลากหลาย ปะปนกัน กังคืองาน รวมความคือคนทำงานหลายอย่างปะปนกันตามคำสั่งเจ้านาย ส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ความรู้หรือทักษะพิเศษ เช่น จับกังในร้านค้า ทำตั้งแต่ยกของ จัดของ ปัดกวาด เฝ้ายาม ในอดีตเมื่อจับกังเรียนรู้การทำงานหลายอย่างแล้วก็อาจหาทางไปทำกิจการตัวเอง
ส่วนในเมืองไทยจับกังหมายถึงกรรมกรแบกหาม มีทั้งคนจีนและคนไทย ตรงกับคำว่า “กุลี” ตั้งแต่หลังปี ๒๔๙๐ คนอีสานหนีความแห้งแล้งอพยพมาเป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ จำนวนมาก มีการสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง จับกัง กรรมกรเต็มขั้น ในปี ๒๕๒๓ แสดงโดย สรพงศ์ ชาตรี และ สุพรรษา เนื่องภิรมย์ อัลบัม วณิพก ของวงคาราบาว ปี ๒๕๒๖ มีเพลง “จับกัง” ซึ่งเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า ใครเคยคิดบ้างจับกังอย่างพวกฉัน เม็ดข้าวที่ผ่านไหล่ฉันเลี้ยงคนตั้งหลายแสน พวกท่านอิ่มฉันชิมแต่ความแร้นแค้น เหนื่อยล้าท้องกิ่วเมื่อความหิวมันตามทวง
นิทรรศการแรงงานชาวจีน
ศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีน อุดรธานี
๑๐
จิ้มก้อง
进
贡
จีนกลางออกว่าจิ้นก้ง หมายถึงการส่งเครื่องบรรณาการเพื่อแสดงว่าผู้ส่งยอมรับฐานะของผู้ที่เหนือกว่า ส่วนผู้ที่เหนือกว่ามีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับผู้ด้อยกว่าก็ได้ ถ้าไม่ยอมรับก็ถือว่าจิ้มก้องไม่สำเร็จ ถ้ายอมรับก็อาจมอบของตอบแทนคืนให้มากกว่า หรืออนุญาตให้เข้าพบปะเจรจา ถือเป็นวิธีทางการทูตหรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ใช้กัน ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงรัฐสมัยโบราณซึ่งไม่ได้หมายความว่ารัฐที่ด้อยกว่าจะมีฐานะเป็นบริวารหรือเมืองขึ้น
กษัตริย์ไทยเคยจิ้มก้องกับจักรพรรดิจีนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี สู่กรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อแลกกับการติดต่อค้าขาย รวมทั้งยังหวังการคุ้มครองทางการเมืองกรณีเกิดความขัดแย้งกับชาติอื่น ๆ ในฐานะที่จีนเป็นศูนย์กลางอำนาจของดินแดนแถบนี้ การจิ้มก้องยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ ๔
สมัยนี้ “จิ้มก้อง” มักใช้ในความหมายลบใกล้เคียงการให้สินบน และยังใช้ในบริบทวิจารณ์นโยบายต่างประเทศของรัฐไทยที่เอาใจ “พี่ใหญ่” ในหลายกรณี
ภาพวาดทูตจากสยามในสมุดภาพ รัฐบรรณาการแห่งราชวงศ์ชิง (Huang Qing Zhigong Tu) เขียนขึ้นในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ประมาณปี ๒๒๙๔
๑๑
เจ
齋
(อักษรจีนตัวเต็ม)
เสียงจีนแต้จิ๋วและจีนกลางออกว่าไจ แปลว่า อุโบสถ การถือศีล
ตำนานหนึ่งเกี่ยวกับเทศกาลกินเจเล่าว่า “กิ้วอ๊วงฮุกโจ้ว” หรือคณะพุทธจักรพรรดิเก้าพระองค์จะเสด็จมาตรวจสอบมนุษย์เพื่อจดกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละคน ตลอดทั้ง ๙ วัน
ตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ชาวจีนจึงสะสมบุญด้วยการถือศีลทำทาน กินผัก ไม่กินเนื้อ ของคาว และผักมีกลิ่นแรง เช่น หอม กระเทียม กุยช่าย สีของป้ายหรือธงในเทศกาลกินเจจะใช้สีเหลืองซึ่งเป็นสีของจักรพรรดิจีนมีการแขวนตะเกียงน้ำมันเก้าดวงแทนดวงวิญญาณของพุทธจักรพรรดิทั้งเก้า
เชื่อว่าคนจีนฮกเกี้ยนนำเทศกาลกินเจเข้ามาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทางภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะที่ภูเก็ตซึ่งมีคนจีนฮกเกี้ยนมาเป็นกรรมกรเหมืองแร่ ยังมีคำว่า “โรงเจ”
ซึ่งก็คือศาลเจ้าหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมซึ่งประดิษฐานเทพเจ้าที่ชาวชุมชนเลื่อมใสศรัทธาเป็นสถานที่ทำพิธีในเทศกาลกินเจ และเป็นโรงทานเลี้ยงอาหารพระและผู้ร่วมพิธี
ปัจจุบันประเทศจีนใช้คำว่า 吃素 (ชือสู่ จีนกลาง) หมายถึงกินเจหรือกินมังสวิรัติ
เทศกาลกินเจ
วัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่
๑๒
เจ๊ก, เจ็ก
叔
สันนิษฐานว่ามาจากเจ็กในเสียงแต้จิ๋วหมายถึงอาชาย หรือน้องชายของพ่อ และเป็นสรรพนามเรียกผู้ชายซึ่งคุ้นเคยกันที่ไม่ใช่ญาติแต่คนไทยอาจฟังเสียงเพี้ยนมาเป็นเจ๊ก แล้วใช้หมายถึงคนจีนทั่วไป เช่น วรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์เรื่อง ขุนช้างขุนแผน มีวรรคหนึ่งว่า “เจ๊กกับแขกมันทะเลาะกันเพราะพริ้ง”
สมัยรัชกาลที่ ๕ มีการนำรถลากจากเมืองจีนมาใช้บริการรับส่ง เรียกว่ารถเจ๊ก ทำให้เกิดเพลงร้องเล่นสำหรับเด็กว่า รถไฟไม่ใช่รถเจ๊ก มันทำด้วยเหล็กฉึกฉักฉึกฉัก รถเจ๊กไม่ใช่รถไฟ มันทำด้วยไม้กอกแกกกอกแกก
สมัยหนึ่งเจ๊กเป็นคำเหยียดหยามหรือดูถูกคนจีนในเมืองไทย ด้วยรังเกียจคนจีนยากจนที่ท่าทางไม่มีมารยาท พูดจาเสียงดัง เช่นเดียวกับคำว่าลาว ซึ่งเคยใช้ดูถูกคนอีสาน ปัจจุบันยังมีร้านอาหารบางแห่งใช้เจ็กนำหน้าชื่อเจ้าของร้านเช่น ร้านข้าวแกงเจ็กปุ้ย ร้านดังในเยาวราช
๑๓
เฉาก๊วย
草
粿
เสียงจีนแต้จิ๋วและจีนกลางออกว่าเฉากั่ว เฉาคือหญ้า ก๊วยคือขนมหรืออาหารทำจากแป้ง
เฉาก๊วยเป็นของว่างพื้นบ้านแต้จิ๋วมานานหลายร้อยปี ทำจากหญ้าเฉากั่วหรือเซียนเฉ่า (Chinese mesona, Platostoma palustre) พืชท้องถิ่นของจีนตอนใต้ ในฤดูร้อนพ่อค้าแม่ค้ามักเข็นรถเร่หรือตั้งแผงลอยตามริมถนน ใช้มีดเคาะชามกระเบื้องเป็นจังหวะเพื่อเรียกความสนใจ เวลาขายจะตัดเฉาก๊วยใส่ชามกระเบื้องให้ลูกค้า บางคนก็ชอบโรยน้ำตาลทรายแดง คนจีนในเมืองไทยเมื่ออดีตก็กินแบบเดียวกันนี้ แตกต่างจากปัจจุบันที่กินใส่น้ำแข็ง น้ำเชื่อม หรือนม
แพทย์แผนจีนมักแนะนำให้กินเฉาก๊วยเพื่อปรับสมดุลหยิน-หยางและป้องกันอาการลมแดด เพราะมีสรรพคุณช่วยดับร้อนในร่างกาย แก้อาการลำไส้ร้อน เฉาก๊วยแพร่หลายในดินแดนที่มีชาวจีนโพ้นทะเล ภาคใต้ของไทยเรียกของว่างนี้ว่าวุ้นดำ บ้างมีสำนวนเปรียบเปรยเรียกคนผิวสีเข้มว่าผิวเฉาก๊วย
๑๔
ชา
茶
ยุคนี้ชาเขียวเป็นที่นิยม แต่ย้อนไปนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ชาจีนก็ครองสยามเรื่อยมา ดังมีบันทึกว่าคนในกรุงศรีอยุธยาดื่มชาเป็นปรกติและใช้น้ำชาต้อนรับแขกที่มาเยือน จนสืบเนื่องถึงหมู่เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการและพระสงฆ์ในสมัยรัตนโกสินทร์
คำว่าชา สำเนียงจีนกลางใช้ว่าฉา ส่วนแต้จิ๋วเรียกเต๊
การชงชาที่นิยมในไทยเป็นไปตามธรรมเนียมแต้จิ๋ว เรียกว่า “กังฮูเต๊” มีหลายขั้นตอน เริ่มจากต้มน้ำร้อนจนเดือดแล้วราด “ปั้นชา” (กาน้ำชา ป้านชาก็เรียก) กับจอกชาให้ทั่วเพื่ออุ่นและทำความสะอาด ถือกันว่าถ้าปั้นชาไม่ร้อนจะชงชาไม่อร่อย ใส่ใบชาในปั้นชา เทน้ำร้อนแล้วเททิ้งเพื่อล้างฝุ่นและกระตุ้นกลิ่นชา เทน้ำร้อนอีกครั้งเพื่อชงจริงแล้วปิดฝา ทิ้งไว้ไม่เกินครึ่งนาที รินใส่จอก แล้วยกจิบได้
การผลิตเครื่องชาจัดเป็นงานศิลปะและสินค้าส่งออกของจีนสมัยราชวงศ์หมิงที่ไทยนำเข้ามาสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชนิดใบชาจีนที่นิยม เช่น ทิกวงอิม จุ้ยเซียง จือหลันเซียง (จุหลัน) มักเก็บใบชาในกระบอกมีฝาปิดสนิทเรียกว่า “ถ้ำชา”
ความชื่นชอบการดื่มชาของข้าราชการไทยเป็นที่มาของสำนวน “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” หมายถึงสินบนที่ช่วยให้การติดต่อราชการสะดวกรวดเร็วขึ้น
๑๕
เช็งเม้ง
清
明
มีตำนานว่าในยุคชุนชิวเมื่อกว่า ๒,๕๐๐ ปีก่อน รัชทายาทฉงเอ่อร์ หลบหนีจากการถูกชิงอำนาจ ตกระกำลำบากจนครั้งหนึ่งสลบไปเพราะไม่มีอาหารกิน ขุนนาง เจี้ยนจื่อทุย ยอมตัดเนื้อตนเองให้พระองค์เสวยจึงรอดชีวิตมาได้ ภายหลังฉงเอ่อร์ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าจิ้นเหวินกง ทรงปูนบำเหน็จขุนนางทุกคน แต่ลืม เจี้ยนจื่อทุย ต่อมาพระองค์รู้สึกผิดและส่งคนไปตามหา แต่เขาพาแม่หนีไปซ่อนตัวบนภูเขา พระองค์ให้จุดไฟเผาภูเขาโดยเหลือทางหนีไว้หนึ่งทาง เจี้ยนจื่อทุย กับแม่กลับกอดต้นหลิวให้ไฟเผาตาย เขาเขียนจดหมายซ่อนไว้ในโพรงต้นไม้ว่าขอให้พระองค์ปกครองแผ่นดินโดยธรรม พระเจ้าจิ้นเหวินกงทรงเสียพระทัยมาก จึงกำหนดเป็นวันห้ามจุดไฟ เรียกว่า “วันหันสือเจี๋ย” และกินได้แต่อาหารเย็น ปีต่อมาพระองค์มาสักการะสุสาน พบว่า ต้นหลิวที่ตายแล้วกลับฟื้นชีวิต จึงตั้งชื่อต้นหลิวนี้ว่า “หลิวเช็งเม้ง” และกำหนดให้เป็น “วันเช็งเม้ง” ซึ่งกลายเป็นเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ทำความสะอาดสุสาน และเป็นวันรวมญาติพี่น้อง ตรงกับราววันที่ ๔-๖ เมษายน
คำว่าเช็งหมายถึงสะอาด เม้งหมายถึงสว่าง สื่อถึงอากาศแจ่มใสของฤดูใบไม้ผลิ ชาวจีนจึงถือเป็นเทศกาลเดินชมธรรมชาติ และยังเป็น ๑ ใน ๒๔ เทศกาลทางสุริยคติของจีนอีกด้วย
๑๖
โชห่วย
凑
货
เสียงแต้จิ๋วออกโชวห่วย 凑 หมายถึงการรวบรวม 货 หมายถึงสินค้า บางแหล่งอ้างอิงว่ามาจาก 粗货 หมายถึงสินค้าคุณภาพต่ำ โชห่วยน่าจะเป็นศัพท์ที่ใช้เฉพาะในไทย หมายถึงร้านชำเล็ก ๆ ที่ขายของจิปาถะในชุมชน ทั้งข้าวสารอาหารแห้ง ซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำอัดลม สบู่ ยาสีฟัน ยากันยุง หลอดไฟ ฯลฯ เมืองจีนเรียกร้านชำแบบนี้ว่าจั๊บเห้เตี่ยม (杂货店)
ร้านโชห่วยในไทยอาจเกิดขึ้นในชุมชนชาวจีนตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วิธีซื้อของในร้าน ลูกค้าจะถามหาสินค้า เจ้าของร้านจะเดินไปค้นหาและหยิบจากตู้หรือชั้นต่าง ๆ มาให้ดูพร้อมบอกราคาถ้าคิดว่าแพงก็ต่อรองได้
ร้านโชห่วยค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ปีก่อน
เพราะเกิดร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกขนาดกลางและใหญ่ มีสำนวนไทยเปรียบเปรยการขายของสารพัดอย่างแบบร้านโชห่วยว่า “ขายสากกะเบือยันเรือรบ” หรือ “ขายไม้จิ้มฟันยันเรือรบ”
หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง
๑๗
ซำปอกง
三
宝
公
คนเชื้อสายแต้จิ๋วในเมืองไทยเล่าสืบต่อกันมาว่าแต่ครั้งดึกดำบรรพ์มีบรรพบุรุษผู้นำพาคนจีนมาอยู่เมืองไทยระลอกใหญ่ชื่อ “แต้ฮั้ว” บ้างเชื่อกันว่าตรงกับ “เจิ้งเหอ” (郑和) ในภาษาจีนกลาง อันเป็นนามของบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
เจิ้งเหอ เป็นขันทีในราชสำนักราชวงศ์หมิงได้รับมอบหมายภารกิจแม่ทัพคุมกองเรือจีนออกเดินทางสำรวจโลก รวมทั้งเคยแวะมาเยือนกรุงศรีอยุธยาด้วย ท่านมีสมญาว่า “ซันเป่า” (จีนกลาง) หรือ “ซำป้อ” (แต้จิ๋ว) คนเชื้อสายแต้จิ๋วเรียกขานกันด้วยความเคารพ โดยเติมคำว่า “กง” (บรรพบุรุษ/ญาติผู้ใหญ่) เป็น “ซำปอกง” รวมทั้งยังมีตำนานว่าท่านเป็นผู้สร้าง “หลวงพ่อโต” หรือพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง พระนครศรีอยุธยา อันเป็นที่สักการะในนาม “ซำปอกง” ทั้งยังพลอยทำให้“หลวงพ่อโต” องค์อื่น ๆ เช่นที่วัดกัลยาณมิตรกรุงเทพฯ ถูกเรียกขานว่า “ซำปอกง” ไปด้วย
นามของพระพุทธรูปซำปอกงยังปรากฏในวัดไทยและวัดจีนหลายสิบแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะทางภาคใต้
๑๘
ซิงเสียนเยอะเป้า
星
暹
日
报
ซิงเสียนเยอะเป้า อาจแปลได้ว่า (หนังสือพิมพ์) ดาวสยามรายวัน เพราะคำว่าซิง (星) แปลว่าดาว ส่วนเสียนหรือเซียน (暹) เป็นคำที่ใช้เรียกสยามในภาษาจีนโบราณ และเยอะเป้าหรือยิดเป้า (日报) หมายถึงรายวัน หนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่รู้จักมากที่สุดในไทยฉบับนี้ก่อตั้งเมื่อปี ๒๔๙๓ โดยสองพี่น้อง โอ้วบุนโฮ้ว และ โอ้วบุนปา ชาวจีนเชื้อสายกวางตุ้งผู้ผลิตยาหม่องตราเสือและเจ้าของหนังสือพิมพ์จีนหลายฉบับในจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงมาเลเซีย
หนังสือพิมพ์ภาษาจีนในไทยฉบับแรกเผยแพร่ราว ปี ๒๔๔๖ ตั้งแต่อดีตมีรายชื่อหนังสือพิมพ์ภาษาจีนกว่า ๙๐ ฉบับ หน้าสำนักงานแต่ละแห่งมักติดหนังสือพิมพ์เสมือนเป็นกำแพงข่าวให้คนจีนโพ้นทะเลอ่าน เพื่อสื่อข่าวสารและการต่อสู้ทางอุดมการณ์ของฝ่ายการเมืองในประเทศจีนที่เจ้าของหนังสือพิมพ์สนับสนุน จนรัฐบาลไทยเข้าควบคุมสั่งปิดหนังสือพิมพ์หลายครั้ง หลังทศวรรษ ๒๕๐๐ ปัญหานี้ก็ค่อย ๆ หมดไป ปัจจุบัน (ปี ๒๕๖๘) เหลือหนังสือพิมพ์จีนอยู่ราวห้าฉบับ
ซิงเสียนเยอะเป้า เคยมียอดขายสูงมากจนได้ชื่อว่าไทยรัฐ ภาคภาษาจีน ก่อนโลกดิจิทัลออนไลน์จะมาแทนที่ ทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ภาษาจีนฉบับนี้เปลี่ยนเป็นออนไลน์ในชื่อซิงเสียนฉวนเหมย (星暹传媒) หรือซิงเสียนมีเดีย
อ่านหนังสือพิมพ์จีน พิพิธภัณฑ์วัดไตรมิตร (ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช)
๑๙
เซียงกง
仙
公
ศาลเจ้าเซียงกงตั้งอยู่ที่ตลาดน้อย ชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยราวทศวรรษ ๒๔๐๐ ร่วมสร้างขึ้นโดยอัญเชิญเซียงกง ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่นของบ้านเกิดมาประดิษฐานเพื่อคุ้มครองและสร้างความรุ่งเรืองให้ชาวจีนโพ้นทะเลย่านนี้
สมัยรัชกาลที่ ๖ ย่านนี้เป็นแหล่งซื้อขายของเก่า เช่น ขวด ไห ต่อมาเป็นแหล่งยอดนิยมรับซื้อขายเศษเหล็ก อะไหล่เครื่องยนต์ อะไหล่รถยนต์ เวลาจะไปซื้อขายของเก่าก็จะบอกว่าไปเซียงกง ปัจจุบันแหล่งซื้อขายของเก่าตามที่ต่าง ๆ ก็ใช้ชื่อว่าเซียงกง
นักธุรกิจเชื้อสายจีนผู้หนึ่งซึ่งเติบโตจากย่านเซียงกง คือ ถาวร พรประภา ผู้ก่อตั้งบริษัทขายรถยนต์สยามกลการ เล่าเบื้องหลังความสำเร็จว่าเพราะจบการศึกษาจาก “มหาวิทยาลัยเซียงกง”
คำว่าเซียงเป็นเสียงแต้จิ๋ว ตรงกับจีนกลางคือเซียน หมายถึงเทพเจ้าหรือมนุษย์ที่บำเพ็ญตบะจนเป็นอมตะตามศาสนาเต๋า ส่วนกงคือผู้อาวุโส รวมความแล้วอาจตรงกับ “ศาลปู่เจ้า” ของคนไทย
๒๐
เซียมซี
签
诗
มีบันทึกของชาวจีนถึงเซียมซีในศาลเจ้าเมื่อ ๑,๐๐๐ ปีก่อน
ต้นกำเนิดน่าจะเก่าแก่กว่านั้น
เซียมซีเป็นบทกลอนทำนายและคำสอนแนะนำการใช้ชีวิต สมัยโบราณจะสลักไว้บนไม้ ผู้เสี่ยงทายต้องคัดลอกกลับไปเองต่อมาจะเขียนเฉพาะตัวเลขหรือสัญลักษณ์บนไม้แท่งเล็ก ๆ เรียกกันว่าไม้เซียมซี คำทำนายมักมี ๑๐๐ หรือ ๖๐ หมายเลขผู้เสี่ยงทายไหว้เจ้าแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าอยากขอคำแนะนำเรื่องใด จากนั้นเขย่ากระบอกไม้ไผ่ที่ใส่ไม้เซียมซีจนหลุดออกมาหนึ่งแท่งหยิบดูใบเซียมซีที่หมายเลขตรงกันซึ่งแขวนไว้ข้างประตูศาลเจ้าหรือเก็บไว้ในตู้ลิ้นชัก ใบเซียมซีนี้ผู้เสี่ยงทายนำกลับไปได้
คำสอนในเซียมซียังแตกต่างตามเทพเจ้า เช่น เซียมซีเจ้าแม่
กวนอิมเน้นเรื่องการดูแลจิตใจ ความเมตตา การให้อภัย เซียมซีเจ้าพ่อกวนอูเน้นความกล้าหาญ ความถูกต้อง การตัดสินใจ
ปัจจุบันเชื่อกันว่าถ้าได้ใบเซียมซีที่คำทำนายไม่ค่อยดีจะไม่
นำกลับ ทั้งที่จุดประสงค์เดิมของเซียมซีเป็นคำสอนเพื่อแนะนำการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
ป้ายชื่อบรรพบุรุษตระกูลแต้ สมาคมตระกูลแต้ ป้ายสีดำแถวบนสุด ป้ายที่ ๒ จากขวาคือป้ายชื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ภาพถ่ายปี ๒๕๔๑)
๒๑
แซ่
姓
แซ่ออกเสียงตามแต้จิ๋ว จีนกลางว่าซิ่ง เป็นระบบการสืบสายวงศ์ตระกูลซึ่งเป็นวัฒนธรรมสำคัญของจีนที่มีมากว่า ๕,๐๐๐ ปี สมัยสังคมหญิงเป็นใหญ่ ผู้สืบสายจากแม่เดียวกันจะใช้แซ่เดียวกันภายหลังเมื่อสังคมชายเป็นใหญ่ แซ่จึงสืบสายตามพ่อ
คำตั้งแซ่มาจากหลายทาง เช่น ชื่อรัฐ ชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำ ชื่อตำแหน่ง ชื่ออาชีพ ฯลฯ มีจารีตว่าแซ่เดียวกันห้ามแต่งงานกัน
ชื่อจีนเดิมมักมีสามคำ คำแรกคือแซ่ คำที่ ๒ คือรุ่นหรือลำดับชั้นในแซ่ และคำที่ ๓ คือชื่อตัว แต่คนรุ่นหลังก็อาจไม่ใช้ชื่อรุ่นหรือลำดับต่างไป เช่น ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เล่าว่าตนเองมีชื่อจีนคือ อึ๊งป้วยเคียม อึ๊งคือแซ่ ป้วยคือชื่อตัว และเคียมคือ ชื่อรุ่นในแซ่อึ๊ง บางแซ่บรรพบุรุษจะตั้งชื่อรุ่นไว้ ๒๐-๓๐ รุ่น ใช้เวลาหลายร้อยปีจึงครบรอบ ทำให้คนจีน ลำดับญาติจากแค่รู้ชื่อได้
แซ่ของคนจีนในไทยส่วนใหญ่เป็นเสียงแต้จิ๋ว เช่น ตั้ง ลิ้ม ลี้ ฉั่ว อึ๊ง เตีย เฮ้ง มีการตั้งสมาคมตระกูลแซ่ในไทยกว่า ๖๐ แซ่เพื่อช่วยเหลือดูแลกัน ภายหลังนิยมเปลี่ยนแซ่เป็นนามสกุล มีทั้งใช้คำเรียกแซ่เดิมแล้วเติมคำต่อท้าย เช่น ลิ้ม เป็น ลิ้มเจริญรัตน์ ลิ้มทองกุล บ้างกร่อนเสียง เช่น แต้ เป็น เต แล้วแปลงเป็นคำที่มีความหมายดี เช่น เตชะ แล้วเติมคำต่อท้าย เช่น เตชะไพบูลย์ บ้างใช้คำไทยที่มีความหมายตรงกัน เช่น เบ๊ แปลว่า ม้า แทนด้วย อาชา อัศว เช่น ศิลปอาชา อัศวเหม
๒๒
ไซอิ๋ว
หรือ
ไซอิ๋วกี่
西
游
记
เรื่องและภาพจาก ไซอิ๋ว มีทั้งตามศาลเจ้าจีนและวัด พุทธศาสนาในไทยหลายแห่ง ต้นทางคือนิยายจีนยุคราชวงศ์หมิง
เล่าเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์หลังเกิดเหตุการณ์จริงราว ๙๐๐ ปี เนื้อหาดัดแปลงแต่งเติมจากการเดินทางผจญภัยไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากประเทศอินเดียของพระภิกษุจีนเสวียนจั้งหรือ “พระถังซัมจั๋ง” ยุคราชวงศ์ถัง ชื่อไซอิ๋วในภาษาจีนกลางเรียกว่าซีโหยวจี้ แปลได้ว่าบันทึกการเดินทางไปทางทิศตะวันตก (ของจีน)
ไซอิ๋ว แปลเป็นภาษาไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี ๒๓๔๙ ต่อมาตีพิมพ์เป็นรูปเล่มครั้งแรกสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ เมื่อปี ๒๔๑๗ นามของตัวละครในพากย์ภาษาจีนแต้จิ๋ว เช่นบรรดาปีศาจที่คอยติดตามเป็นบริวารของพระถังซัมจั๋ง ได้แก่ เห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย และซัวเจ๋งกลายเป็นชื่อที่คนไทยคุ้นเคย
ไซอิ๋ว เป็นวรรณกรรมจีนที่ถูกถ่ายทอดในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องยาวนาน เช่น งิ้ว ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ หรือแม้แต่เกมคอมพิวเตอร์ โดยเห้งเจียหรือซึงหงอคง เป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะมีอิทธิฤทธิ์และความเก่งกาจในการต่อสู้
ภาพกระเบื้องเคลือบ ไต้เสี่ยฮุกโจ้ว ศาลเจ้าเห้งเจีย เยาวราช
๒๓
ตังเก
东
家
คำว่าตังเก อ่านตามเสียงฮกเกี้ยน แปลว่านายจ้าง หรือเจ้าของกิจการ เรือตังเกจึงหมายถึงเรือของนายจ้าง
บางแหล่งอธิบายด้วยว่าเรือประมงของจีนโบราณนิยมใช้เรือใบขนาดใหญ่หนึ่งลำกับเรือโล้ขนาดเล็กสองลำ ช่วยกันวางอวนล้อมจับปลา เรือลำใหญ่เป็นเจ้านายก็คือตังเก คล้ายกับในหนังสือ สำมะโนประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๒๘ ของประเทศไทย จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เขียนถึงเรือตังเกว่า ชาวบ้านใช้เรียกเรือโล้สองลำที่วางอวนล้อมจับปลาทู
ยังมีบางแหล่งว่า ตังเกมาจากตั้นเจีย (疍家) ในภาษาจีนกลาง ใช้เรียกชาวประมงพื้นเมืองในมณฑลฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และกวางสี ซึ่งอาศัยเรืออยู่เป็นชุมชนลอยน้ำ ชาวตันเจียอาจอพยพมาไทยและกลายเป็นที่มาของคำเรียกเรือตังเก
ตังเกในภาษาไทยปัจจุบัน หมายถึงเรือประมงมีเก๋งสองชั้น ชั้นล่างติดเครื่องยนต์ ชั้นบนเป็นที่ควบคุมเรือ
คนไทยเรียกนายท้ายเรือหรือผู้ควบคุมการเดินเรือหาปลาว่าไต้ก๋ง (ไต๋เรือก็เรียก) อาจมาจากคำว่า 舵工 หมายถึงนายท้ายเรือหรือกัปตันเรือ บางแหล่งว่ามาจาก 大公 หมายถึง เจ้านายใหญ่ หรือขุนนางชั้นสูง
งานแห่เจ้าพ่อตี่ฮู่อ่องเอี่ย บางตะโล๊ะ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อคุ้มครองชาวประมงเรือตังเก จากพายุคลื่นลมและปัดเป่าโรคร้าย
๒๔
ตั๋ว
票
ถ้าแปล “ตั๋ว” เป็นอักษรจีนจะตรงกับ 票 เสียงจีนกลางเพี่ยว เสียงแต้จิ๋วเพี่ย คำนี้ใช้ประกอบอักษรอื่นหมายถึงใบรับรองต่าง ๆ เช่น ใบเสร็จรับเงิน เช็ค ลอตเตอรี่ บัตรใช้สิทธิ เช่น บัตรเข้าชม บัตรคิว ฯลฯ คล้ายกับที่ไทยเรียกตั๋วรถ ตั๋วเรือ ตั๋วหนัง
แหล่งอ้างอิงบางแห่งอธิบายว่า ตั๋วมาจากอักษร 单 เสียงจีนกลางตาน เสียงแต้จิ๋วตัว แต่ความหมายในภาษาจีนหมายถึง ชิ้นเดียว เรียบง่าย หรือหน่วย ซึ่งไม่ค่อยตรงกับตั๋วในภาษาไทย เมื่อประกอบอักษรอื่นมักสื่อถึงหลักฐานทางธุรกรรม เช่น รายการสินค้า กรมธรรม์ประกันภัย การบริการชำระเงิน ฯลฯ
การซื้อตั๋วของคนไทยนิยมใช้คำว่า “ตี” เช่น ตีตั๋วเข้าโรงหนัง ตีตั๋วเที่ยว บางครั้งใช้ “จอง” เช่น จองตั๋วคอนเสิร์ต
ปี ๒๕๖๔ #ตั๋วช้าง ติดอันดับ ๑ ทวิตเตอร์ในไทย เป็นสำนวนสื่อถึงการใช้เส้นสายและสินบนในวงการข้าราชการตำรวจเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงขึ้นโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการ “ตั๋วการเมือง” ก็เรียก
ปี ๒๕๖๘ คนไทยกำลังรอ “ตั๋วร่วม” คือบัตรโดยสารที่ใช้ได้กับทุกระบบการขนส่ง ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้าสีต่าง ๆ เรือ ฯลฯ
๒๕
ตุ๋น
炖
ใน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบาย ตุ๋น ว่าเป็นคำกริยา หมายถึง “ทำให้สุกด้วยวิธีเอาของใส่ภาชนะวางในภาชนะที่มีน้ำแล้วเอาฝาครอบ ตั้งไฟให้น้ำเดือด เช่น ตุ๋นไข่ ตุ๋นข้าว, เคี่ยวให้เปื่อย เช่น ตุ๋นเนื้อ ตุ๋นเป็ด” และเป็นคำนาม “เรียกสิ่งที่ทำให้สุกโดยวิธีดังกล่าว เช่น ไข่ตุ๋น เนื้อตุ๋น เป็ดตุ๋น”
การตุ๋นเป็นวิธีทำอาหารในวัฒนธรรมจีนที่มีประวัติยาวนานนับพันปี ใช้การควบคุมไฟตามหลักหยิน-หยางของศาสนาเต๋า คือใช้ไฟแรงต้มให้น้ำเดือดอย่างรวดเร็ว (หยาง) แล้วใช้ไฟอ่อนเพื่อเคี่ยวต่ออีกหลายชั่วโมง (หยิน) นิยมตุ๋นเนื้อสัตว์กับเครื่องยาสมุนไพรจีน เช่น โสม เก๋ากี้ พุทราจีน ดังเช่นเนื้อแพะตุ๋นยาจีน บะกุ๊ดเต๋หรือซี่โครงหมูตุ๋น เทคนิคการตุ๋นมีหลายวิธี เช่น ตุ๋นแบบนึ่ง ตุ๋นไฟอ่อนนาน ทำให้ได้น้ำซุปลักษณะต่าง ๆ ทั้งแบบน้ำซุปใส น้ำซุปเข้มข้น เครื่องดื่มบำรุงกำลังอย่างซุปไก่สกัดก็ได้จากการตุ๋นไก่นั่นเอง
คำว่า “ตุ๋น” ในภาษาไทยนำมาใช้เรียกการหลอกลวงจนทำให้คนหมดตัว ทำนองเดียวกับการตุ๋นอาหารจนเปื่อยยุ่ยหมดสภาพเดิม เช่นข่าว “แก๊งจีนเทาหลอกตุ๋นเหยื่อ”
อ่านต่อคำที่ 26-50