สำรวจโลกของกล้วยไม้
จากปลายพู่กันของ
เอกณัฏฐ์ คูเจริญชัยมานที
พฤกษศิลป์
พฤกษศิลปิน
เรื่อง : ธเนศ แสงทองศรีกมล
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนประกวดวาดภาพประจำชั้นเรียน ทำให้หลงนึกไปว่าตนเองมีฝีมือไม่แพ้ใคร ต่อมาเมื่อได้เห็นภาพวาดจากนักวาดชั้นครู ผู้เขียนก็รู้ตัวว่าการวาดภาพคงไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องสำหรับตนเองนัก
ความงามทางศิลปะเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่จะให้นิยามว่าเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นก็มีมาตรฐานการเริ่มต้นวาดภาพกล้วยไม้ของชายวัยเลยกลางคนมาแล้วจึงอาจไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นชินกัน
“ครั้งแรกคือตรงชั้น ๕ ของหอศิลป์ (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) ลานกิจกรรมหน้าบันไดเลื่อน เขาสอน ผมก็นั่งวาด มีต่างชาติมายืนมองยืนจ้อง ด้วยความที่เราไม่เป็น กระดาษ พู่กัน สีก็ซื้อผิด วาดไปมือสั่น เหงื่อแตกพลั่ก สีก็ลงไม่เป็น ผมเลยวางพู่กัน อาจารย์ถามว่าเสร็จแล้วเหรอ ผมก็บอกว่าไม่วาดแล้วครับ วาดไม่ได้” ชายร่างเล็กเล่าพลางหัวเราะร่า
เราอาจเคยเห็นภาพวาดต้นไม้ใบหญ้าหรือดอกไม้นานาพรรณที่ชวนให้เพลิดเพลินไปกับ “ความงดงาม” ของธรรมชาติ ทว่า “ภาพวาดพฤกษศาสตร์” หรือ “พฤกษศิลป์” (botanical art) นั้นแสดงลักษณะของพืชที่สมจริง มีรายละเอียดถูกต้องตามหลักทางพฤกษศาสตร์ถึงขั้นที่ผู้ชมภาพแยกได้ว่าพืชเหล่านั้น เป็นประเภทใดและใช้อ้างอิงในงานเชิงวิทยาศาสตร์ได้กล่าวได้ว่าภาพวาดพฤกษศาสตร์คือภาพที่ใช้สื่อความหมายมากไปกว่าความงาม เป็นบันทึกความหลากหลายทางพรรณพืชที่มีอยู่บนโลกนั่นเอง
“ว่านเพชรหึง Letter plant, Tiger orchid (Grammatophyllum speciosum)” ผลงานที่ร่วมแสดงในงานนิทรรศการ Botanical Art Worldwide 2025 เป็นพืชพื้นเมืองไทย ตำรายาไทยว่ามีสรรพคุณใช้แก้อักเสบจากงู ตะขาบ และแมงป่องกัดต่อย
๑
เอกณัฏฐ์ คูเจริญชัยมานที ชายร่างเล็กเจ้าของเรื่องราวข้างต้น เคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงพร้อมกับเป็นเกษตรกรในสวนส้มแถวตลิ่งชันร่วมกับคุณพ่อ ทว่าการเดินทางไปเรียนค่อนข้างยากลำบากและใช้เวลา อีกทั้งเขาเชื่อว่าความรู้นั้นล่องลอยอยู่ทุกที่ แต่ “สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ไปต่อได้คือต้องเป็นลูกศิษย์ ก็ติดมาจนทุกวันนี้นะว่าศิษย์ต้องมีครู คุณจะบอกว่าเก่งเองโดยไม่มีครู คุณโม้ ผมเชื่อแบบนั้น” เอกณัฏฐ์จึงตัดสินใจหยุดเส้นทางการศึกษาในระบบ เดินหน้าหาความเชี่ยวชาญด้วยตนเอง
ช่วงที่สวนส้มส่อแววไม่แน่นอน ผลผลิตราคาถูกสวนทางกับต้นทุนที่แพงขึ้น เอกณัฏฐ์ได้ไปเที่ยวชมพบปะกับเพื่อนที่ทำสวนอยู่หนองแขมพร้อมทั้งได้รับกล้าพันธุ์กล้วยไม้จากเพื่อน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่กระตุกความสนใจและถือเป็นก้าวแรกในวงการกล้วยไม้ของเขา
“กล้วยไม้กินไม่ได้ แต่ถ้าตัดดอกกล้วยไม้กำหนึ่งแล้วเดินไปตลาด มันเปลี่ยนเป็นเงินไปซื้ออะไรก็ได้” ปรัชญาจากพ่อของเพื่อนจุดประกายถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เอกณัฏฐ์จึงเริ่มเลี้ยงกล้วยไม้อย่างจริงจัง จากห้าเป็นสิบต้น จากสิบเป็นพันต้น จากพันเป็นแสนต้น หลายต้นกลายเป็นกล้วยไม้งดงาม แต่หลายต้นถูกแมลงทำลาย ทำให้เขาต้องเสาะแสวงหาองค์ความรู้จากหลายที่เพื่อให้กล้วยไม้เติบโตอย่างดีที่สุด
ผ่านพ้น ๕ ปีแรกแห่งการทดลองและเรียนรู้ เอกณัฏฐ์ได้พบกับ รศ.ดร. ครรชิต ธรรมศิริ ครูคนแรกที่ยกระดับองค์ความรู้เรื่องกล้วยไม้ เขาได้เป็นผู้ช่วยในการศึกษาเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและการผสมพันธุ์กล้วยไม้ (breeding) หลังจากติดตามครูครรชิตไปตามสวนกล้วยไม้ต่าง ๆ จนได้รับองค์ความรู้มากพอ เขาจึงทดลองทำแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่บ้าน เพื่อขยายพันธุ์และทำแปลงปลูกกล้วยไม้
“ตอนทำก็ไม่ได้ออกสังคมนะ ไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร ก็ก้มหน้าก้มตาผสมพันธุ์กล้วยไม้ไป แต่กลับทำให้เรามีกล้วยไม้ลูกผสมเป็นร้อย ๆ ต้น พอคนเห็นเขาก็เริ่มมาหา ติดต่อขอซื้อ จากที่เคยขายต้นละ ๕,๐๐๐ บาทในปี ๒๕๓๐ ก็ขายให้คนมาเลเซียไป ๓ ต้น ๕ แสนบาท” เอกณัฏฐ์เล่าพลางยิ้มราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
หนึ่งในกล้วยไม้ที่ผู้คนนิยมมากที่สุดคือสกุลหวาย เพราะเลี้ยงง่าย เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังออกดอกสีสันสดใสตลอดทั้งปี จึงมีการพัฒนาหวายสายพันธุ์ลูกผสม (hybrid) มากมาย และ “สุรีย์พีช” ก็เป็นลูกผสมหวายที่เอกณัฏฐ์รังสรรค์
เอกณัฏฐ์จะเลือกต้นที่มีสภาพสมบูรณ์และโครงสร้างที่ดี มาเป็นแบบในการวาด บางครั้งต้องเลือกกล้วยไม้มาหลายต้น เพื่อให้องค์ประกอบที่ปรากฏบนภาพวาดสมบูรณ์ที่สุด
ดอกสีชมพูอมส้มหรือสีโอลด์โรสราวกับดอกซากุระผลิบานทำให้สุรีย์พีชกลายเป็นการค้นพบครั้งใหม่ของวงการกล้วยไม้ สุรีย์พีชต่อยอดธุรกิจไปไกลถึงญี่ปุ่น ผู้คนนิยมนำไปใช้ในช่วงที่ไม่มีดอกซากุระ หลายคนเริ่มรู้จัก “มานะออร์คิด” ร้านกล้วยไม้ครบวงจร และชื่อของเอกณัฏฐ์ ในนามของนักปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ก็เพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน ดังปรากฏตามสื่อหลายเจ้า
“ทางไปรษณีย์ไทยเขาติดต่อมาว่าอยากทำแสตมป์ภาพดอกกล้วยไม้ แสตมป์ปี ๒๕๕๔ กล้วยไม้ของผมได้เป็น ๒ ใน ๑๐ รูป ก็คือพันธุ์สุรีย์พีชและลายสิรินทร์ ซึ่งสุรีย์พีชเคยได้รับการคุ้มครองพันธุ์พืชจากสำนักคุ้มครองพันธุ์พืชด้วย เขาเอาช่างที่จะวาดแสตมป์มานั่งคุย ผมก็อธิบาย พอเห็นภาพแล้วก็ตกใจว่ามันสวยจริง ๆ” เอกณัฏฐ์เล่าถึงความรู้สึกที่ได้เห็นภาพวาดพฤกษศาสตร์ แม้จะยังไม่แน่ใจนักว่านิยามของมันเป็นอย่างไร
ด้วยความหลงใหลในความงดงามดังกล่าว เอกณัฏฐ์จึงเสาะหานักวาดภาพกล้วยไม้ที่ลงรายละเอียดได้เหมือนที่เขาเคยเห็นบนแสตมป์ แต่ก็ยังไม่ได้นักวาดที่ตรงใจ จนครั้งหนึ่ง ผศ.ดร. ศศิวิมล โฉมเฉลา แสวงผล อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ไถ่ถามผ่านทางภรรยาของเอกณัฏฐ์ ซึ่งเป็นอาจารย์คณะพฤกษศาสตร์เหมือนกันว่า จะขอใช้ร้านมานะออร์คิดเป็นพื้นที่อบรมการวาดภาพกล้วยไม้ “ผมถามเขาว่าอยากได้อะไรบ้าง เขาบอกอาหารหนึ่งมื้อ เครื่องดื่ม สรุปวันนั้นไม่คิดตังค์ ให้อาหารสองมื้อด้วย ผมตื่นเต้น นี่เป็นสิ่งที่เราอยากได้” เอกณัฏฐ์เล่าพลางหัวเราะ
ตกเย็นวันนั้น นอกจากคำขอบคุณของอาจารย์ศศิวิมลแล้ว เอกณัฏฐ์ยังได้รับใบเบิกทางจากอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ จักกะพาก พฤกษศิลปินผู้มีชื่อเสียงระดับโลกและหัวหน้าคณะในวันนั้น เอกณัฏฐ์บอกอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ว่าอยากขอจ้างลูกศิษย์สักคนหนึ่งเพื่อมาวาดภาพกล้วยไม้ลูกผสมของเขา
เอกณัฏฐ์เริ่มหัดวาดภาพพฤกษศาสตร์ ด้วยความรักในกล้วยไม้ และคำแนะนำส่งเสริมจากอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ จักกะพาก
“ไม่ต้องให้ใครวาด วาดเอง” อาจารย์พันธุ์ศักดิ์บอก “ผมวาดไม่เป็น ไม่รู้จักสีเลย” เอกณัฏฐ์สวนทันควัน
“รู้จักสีแดง สีน้ำเงิน สีเหลืองไหม มันมีทุกสีอยู่ในนั้น” อาจารย์พันธุ์ศักดิ์ตอบ
การพูดคุยในวันนั้นจบลงที่นิยามเบื้องต้นของพฤกษ-ศิลป์ ถึงวันนี้กว่า ๗ ปีแล้วที่เอกณัฏฐ์ไม่อาจปฏิเสธคำชักชวนจากครูคนที่ ๒ เขายังคงฝึกฝนตามคำแนะนำของอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ อาจารย์แขนงอื่น ๆ อีกทั้งฝึกฝนผ่านการรวมกลุ่มย่อย ฝึกฝนเอง และเรียนรู้เทคนิคการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์จากทุกทาง
แม้เอกณัฏฐ์จะมีพื้นฐานสเกตช์ภาพจากการเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะสถาปัตย์ แต่การวาดภาพกล้วยไม้ต่างออกไป เขาอธิบายว่าหากมองลักษณะของพืชจะเห็นทั้งวงกลม วงรี สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม โค้งซ้าย โค้งขวา หน้าที่แรกของผู้วาดคือมองรูปทรงให้ออก เพื่อที่จะขึ้นโครงร่างได้อย่างไม่ผิดสัดส่วน “ผมเคยบอกอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ว่าอยากลองหัดวาดกุหลาบเหมือนอาจารย์ แต่เขาบอกว่าให้ผมวาดกล้วยไม้ไปเถอะ” เอกณัฏฐ์หัวเราะร่วน
อุปกรณ์หลักในการวาดภาพพฤกษศิลป์ไม่ใช่เพียงพู่กัน สี และกระดาษ หากคือความเข้าใจรายละเอียดที่เผยตัวและซ่อนอยู่ของพืชพรรณแต่ละชนิด เอกณัฏฐ์ เรียกผู้เขียนเขยิบเข้าไปดูให้ใกล้กว่าเดิม พร้อมชี้ให้เห็นว่าผิวของกล้วยไม้ไม่ได้เรียบสนิท แต่ขรุขระเล็กน้อย มีลายเส้นแทรกอยู่บ้าง เหล่านี้ล้วนส่งผลต่องานในทุกมิติ
“ความรู้อยู่ที่งาน ไม่ได้อยู่ที่ครู คุณจะรู้อีกมากก็ต่อเมื่อคุณขยัน เจอปัญหาแล้วเอาปัญหามาถาม ความรู้จะเกิดจากตรงนั้น” คำสอนจากอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ทำให้เขาทุ่มเทตวัดฝีแปรงอย่างดุเดือด บางวันมอบหมายงานให้พนักงานร้านกล้วยไม้เสร็จก็ขลุกอยู่ในห้องวาดภาพ บางวันวาดจนถึงเช้า
ช่วงแรกเอกณัฏฐ์วาดภาพกล้วยไม้เกือบ ๑๐ ชิ้นงานต่อปี ก่อนลดหลั่นลงตามวัยและภาระหน้าที่การงานที่มากขึ้น
ภาพถ่ายช่วยขยายการสังเกตรายละเอียดได้มากขึ้น
๒
ดวงตะวันเริ่มคล้อย เอกณัฏฐ์บอกว่าเขาจะพาไปชมสถานที่ที่เขาใช้วาดภาพอยู่เป็นประจำ ระยะทางอีกราว ๑๕ กิโลเมตรจากร้านมานะออร์คิด สองข้างทางขนาบด้วยทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา กล้วยไม้หลายร้อยหลายพันชนิดถูกเพาะเลี้ยงอยู่ที่นี่ ในพื้นที่กว่า ๑๔๕ ไร่ที่อุดมไปด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์นี้มีกระท่อมไม้ค่อนข้างมีอายุตั้งอยู่ ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์คล้าย ๆ กับห้องทำงานทั่วไป
“พอวาดรูปที่ ๒ ได้สวยก็มีแรงบันดาลใจ เลยพัฒนามาเรื่อย ๆ” เอกณัฏฐ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“เป็นเรื่องอัศจรรย์ในชีวิตเหมือนกันนะ เราได้เจอคนเก่ง คนที่เขาเป็นครู คนที่มีจิตวิญญาณในการสอน ผมว่ามันไม่ธรรมดาเลย” เขาเปรยขึ้นพลางค่อย ๆ แต้มสีลงบนภาพ
แม้ไม่ค่อยแน่ใจว่าภาพวาดที่เคยวาดทั้งหมดมีกี่ใบ แต่ภาพนี้คือภาพล่าสุดที่เอกณัฏฐ์กำลังรังสรรค์และบันทึกรายละเอียดที่น้อยคนนักจะสังเกตเห็น “เพชรหึงเป็นยาในตำราสมุนไพรโบราณเขาเอาลำต้นมาฝานเป็นแว่นผึ่งลมให้แห้ง ต้มกินน้ำ จะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดี แก้โรคดีซ่าน ลดความเป็นพิษต่าง ๆ ในร่างกายได้” เอกณัฏฐ์อธิบาย
“ผมเคยบอกอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ว่าอยากลองหัดวาดกุหลาบเหมือนอาจารย์ แต่เขาบอกว่าให้ผมวาดกล้วยไม้ไปเถอะ อย่าไปวาดอย่างอื่น ให้คุณเป็นมิสเตอร์ออร์คิด ให้คนอื่น ๆ เขาวาดกล้วยไม้สู้คุณไม่ได้”
เพชรหึง หรือว่านเพชรหึง คือกล้วยไม้สกุล Grammatophyllum ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดโลก ลำต้นอาจสูงถึง ๔ เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางกว่า ๕ เซนติเมตร ขนาดใบอาจยาวถึงสองไม้บรรทัด อีกทั้งยังเป็นพันธุ์กล้วยไม้ที่หาดูได้ยาก เพราะต้องใช้เวลาปลูกราว ๆ ๑๐ ปีถึงจะเต็มวัย และจะออกดอกให้เชยชมเพียง ๓ เดือนต่อปีเท่านั้น
ความพิเศษอย่างหนึ่งของเพชรหึงที่ผู้คนอาจทันสังเกตคือลักษณะของราก เอกณัฏฐ์อธิบายว่ารากแขนงของเพชรหึงนั้นแห้งและแข็งเหมือนหนาม ทำหน้าที่ดักแมลงตัวเล็ก ๆ ที่เข้าไปหาอาหารและย่อยสลายซากแมลงให้กลายเป็นอาหารของมันเสียเอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เพชรหึงมีลำต้นค่อนข้างใหญ่
ขั้นตอนการวาดภาพของเอกณัฏฐ์เริ่มตั้งแต่การเลือกกล้วยไม้มาเป็นแบบ เขาจะดูโครงสร้างต้น ใบ ดอก ว่าต้นใดสมบูรณ์และสวยที่สุด บางครั้งก็เล่นแร่แปรธาตุโดยใช้ดอกจากต้นที่ ๑ แต่วาดลำต้นจากต้นที่ ๒ จากนั้นจะใช้เวลาช่วง ๖-๗ โมงเช้าเพื่อถ่ายภาพกล้วยไม้แต่ละส่วน เก็บรายละเอียดสำหรับนำมาใช้วาด โดยตั้งกล้องในจุดเดิมทุกครั้ง แล้วค่อย ๆ เคลื่อนกล้องหรือดอลลี่ (dolly) เข้าไปถ่ายในแต่ละจุด จากนั้นจะพรินต์ภาพลงกระดาษขนาด A4 เริ่มวัดสัดส่วนและสเกตช์ลงบนกระดาษขนาด A3
เอกณัฏฐ์เลือกสเกตช์ “จุดโฟกัส” หรือ “จุดเด่น” ก่อน เพื่อเน้นย้ำลักษณะสำคัญของกล้วยไม้ชนิดนั้น ๆ นั่นทำให้ก่อนการลงสีทุกครั้งเขาต้องนั่งมองโครงภาพทั้งหมดให้สมบูรณ์ตามความต้องการ แล้วทำความสะอาดภาพสเกตช์โดยแตะยางลบลงบนจุดที่เปรอะ ลบรอยดินสอให้จางลง จากนั้นค่อย ๆ ไล่ลงสี เพิ่มแสงเงา แต้มสีตามลายกล้วยไม้จนนูนต่ำได้มิติคล้ายของจริง เมื่อครบถ้วนทั้งสี แสง เงา และพื้นผิว ก็จะได้ภาพวาดกล้วยไม้ที่ทั้งสวยงามและถูกต้องตามหลักของภาพวาดพฤกษศาสตร์
“คะแนนอยู่ตรงนี้แหละ กล้วยไม้พันธุ์เดียวกัน วาดเหมือนกัน แต่ถ้าเราเก็บรายละเอียดจะได้เพิ่มมาอีก ๐.๕ คะแนน” เอกณัฏฐ์อธิบายพลางค่อย ๆ เพิ่มเงาลงบนจุดเน้นของภาพกล้วยไม้
การวาดภาพกล้วยไม้ต้องมองรูปทรงให้ออก สังเกตผิวของกล้วยไม้จะไม่เรียบสนิท แต่ขรุขระเล็กน้อย
๓
ภาพวาดความงดงามของกล้วยไม้กำลังปรากฏบนกระดาษ ขณะที่วงการกล้วยไม้กำลังเผชิญความผันผวนครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิตสูงขึ้นสวนทางกับราคาขายตกต่ำ การเข้ามาของต้นไม้สายพันธุ์อื่น ๆ จากต่างประเทศที่ทำให้ความนิยมและความต้องการกล้วยไม้ในประเทศลดลง “เมื่อก่อนพอกล้วยไม้ลดน้อยลง ราคาจะขึ้นสามถึงสี่เท่า แต่ทุกวันนี้ราคาไม่ขึ้น เพราะมีดอกคาร์เนชัน เบญจมาศ ลิลลี่ กุหลาบ และดอกไม้อื่น ๆ ให้ใช้เต็มไปหมด” เอกณัฏฐ์อธิบายด้วยสีหน้ากังวล
เอกณัฏฐ์พาเราย้อนกลับไปว่า กล้วยไม้นั้นนิยมกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ทว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการบันทึกมีแค่ตำรานักเล่นกล้วยไม้ หนังสือสอนวิธีปลูกเลี้ยง มีภาพวาดเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีรายละเอียดของการถ่ายทอดสายเลือดของกล้วยไม้ ทำให้ไม่รู้พ่อและแม่พันธุ์ของกล้วยไม้ที่เคยเกิดขึ้นและหายไปแล้วในประเทศไทย อีกทั้งยุคหลังมานี้การบันทึกข้อมูลด้านการถ่ายทอดสายเลือดถูกจำกัดด้วยเหตุผลทางการค้า ทำให้ความหลากหลายและคุณค่าของกล้วยไม้ทั้งในมิติทางสรรพคุณและความงามหล่นหายไป
“หลายปีมานี้ผมพัฒนากล้วยไม้เพื่อหาสารสำคัญหรือที่เรียกว่าพฤกษเคมีในพืช” เอกณัฏฐ์ขยายความว่ากล้วยไม้หลายสายพันธุ์มีคุณค่าทางสารอาหารมาก ไม่ว่าจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่ช่วยยับยั้งการก่อตัวของสารก่อมะเร็ง สารกลุ่มแอนโทไซยานินช่วยเรื่องหัวใจและลดการอักเสบของร่างกาย หรือสารฟีนอลิกที่ช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ
ปัจจุบันเอกณัฏฐ์ทำงานเพื่อหาวิธีรับรองการเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อให้เป็นพืชปลอดภัย ผ่านการตรวจสารเคมีตกค้าง โลหะหนัก เชื้อราหรือแบคทีเรีย ซึ่งขณะนี้กล้วยไม้บางส่วนในมานะออร์คิดก็อยู่ในระดับปลอดภัย อย่างกล้วยไม้ดำ (Black Pearl) ที่เอกณัฏฐ์พัฒนาขึ้นมา ผ่านการตรวจปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจากสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ว่ามีสูงถึง ๗ หมื่นยูนิต
แต่อย่างไรก็ดีการพัฒนากล้วยไม้หรือพืชอื่น ๆ เพื่อหาสารพฤกษเคมียังเต็มไปด้วยเงื่อนไขหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาและขั้นตอนในการตรวจสอบอยู่ระหว่าง ๒-๕ ปี งบประมาณในการวิจัยที่สูงถึง ๑-๕ ล้านบาท กระทั่งนโยบายหรือมาตรการของภาครัฐที่ไม่ได้ส่งเสริมมากเท่าที่ควร ทำให้แนวทางดังกล่าวยังอยู่ห่างไกล แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นอันดับต้น ๆ ที่ส่งออกกล้วยไม้มากที่สุดในโลกก็ตาม
กว่า ๗ ปีที่เอกณัฏฐ์คลุกคลีอยู่ในวงการพฤกษศิลป์ ภาพกล้วยไม้หลายสิบภาพในร้านมานะออร์คิด ไม่ได้บอกเล่าแค่ความสวยงาม แต่ตอกย้ำถึงคุณค่าความสำคัญของความหลากหลายในธรรมชาติ
“ในอนาคตมูลค่าของภาพวาดมันจะมากขึ้น และก็จะมีคนสะสมภาพพวกนี้มากขึ้นด้วย ถ้าเราหากล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ๆ หายาก ๆ มาวาดมากขึ้นก็จะบ่งบอกและยืนยันว่ากล้วยไม้นี้อยู่ในประเทศไทย ภาพนี้วาดในประเทศไทย เพื่อประเทศไทยเป็นบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์”
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ทำให้วงการกล้วยไม้มั่นคงและยั่งยืนได้คือภาพวาดพฤกษศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในสายตาของเอกณัฏฐ์ เขาเล่าว่าได้ยินจากเพื่อนและอาจารย์หลายคนบอกว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านภาพวาด พฤกษศาสตร์ มีบุคคลระดับโลกอยู่หลายคน มีการถ่ายทอด
และอบรมอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังมีกลุ่มนักวาดที่เข้มแข็ง
และมีอุดมการณ์เดียวกัน เขามองว่าวงการภาพวาดพฤกษศาสตร์จะเปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าของภาพที่สูงขึ้น ความหลากหลายทางพันธุ์ที่มากขึ้น กระทั่งมีคนที่อยากสะสมภาพมากขึ้นด้วย “ถ้าเราหากล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ๆ หายาก ๆ มาวาดมากขึ้น ก็จะบ่งบอกและยืนยันว่ากล้วยไม้นี้อยู่ในประเทศไทย ภาพนี้วาดในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย เป็นบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์” เขากล่าวหนักแน่น
แม้จะยกยอว่าเอกณัฏฐ์เป็นหนึ่งในศิลปินผู้วาดภาพกล้วยไม้ที่น่าจับตามอง แต่เขาบอกว่าตนเป็นเพียงนักเพาะพันธุ์กล้วยไม้ที่วาดรูปได้ กำลังสนุกกับการเรียนรู้และสร้างสรรค์งาน เป็นเพียงเด็กน้อยถือพู่กันที่เดินตามจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจ ฉะนั้นการเปลี่ยนโลกด้วยปลายพู่กันของเขาจึงไม่อาจทำได้เต็มที่นัก
สิ่งที่เอกณัฏฐ์ทำได้และกำลังทำอยู่คือการนำเสนอสิ่งใหม่และผลักดันเด็กรุ่นหลังที่มีฝีมือวาดภาพร้ายกาจให้รู้จักกล้วยไม้ในมิติที่มากกว่าความสวยงาม แต่เป็นคุณค่ามหาศาลและความหลากหลายที่ซ่อนอยู่
ระหว่างที่เอกณัฏฐ์กำลังเก็บอุปกรณ์และตรวจสอบรายละเอียดของภาพวาดเพชรหึงเป็นครั้งสุดท้าย ผู้เขียนถามเขาว่า ถ้าไม่อยากเป็นศิลปิน “พี่มานะ (ชื่อเดิมของเอกณัฏฐ์) วาดไปเพื่ออะไร”
“ผมอยากถ่ายทอดให้คนได้เห็นความจริงว่ากล้วยไม้สวยงามในมิติแบบนี้ สังเกตดูสิ ผมวาดเต็มรูป เต็มฟอร์ม วาดทุกองค์ประกอบ ไม่ได้วาดเป็นส่วน ๆ มันยาก แต่เวลาคนเห็นเขาเข้าใจ ผมมีตัวตนและเติบโตจากกล้วยไม้ก็อยากจะตอบแทนคืนกลับให้คนเห็นว่าคุณค่าของกล้วยไม้มีมากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ทำได้จริง ๆ ก็คือภาพวาด ผมก็จะวาดต่อไปในมุมใหม่ ๆ เพื่อเชิดชูกล้วยไม้นี่แหละ กล้วยไม้มีบุญคุณกับผม ผมก็เลยวาดแต่กล้วยไม้”