อัญชัน Butterf ly pea (Clitoria ternatea L.) ไม้เลื้อยพัน ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบมีทั้งดอกลาและดอกซ้อน พันธุ์ดอกซ้อนที่มีกลีบดอกสีน้ำเงิน นิยมใช้เป็นสีย้อมอาหาร หรือเครื่องดื่ม กระจายพันธุ์ในแอฟริกา อาระเบียนเพนินซูลา ไทยนำเข้ามาเป็นไม้ประดับ ผลงานร่วมจัดแสดงในงาน Botanical Art Worldwide 2025
อัญชันงอกงาม
ตามจังหวะสีไม้
พฤกษศิลป์
พฤกษศิลปิน
เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
ในสตูดิโอประดับด้วยกระจกใสบานใหญ่แทนผนังบางด้าน
มีมุมสะสมพืชและแมลง-ร่องรอยสืบค้นธรรมชาติที่ครอบครัวร่วมเรียนรู้ผ่านหลากกิจกรรม แวดล้อมด้วยดอกไม้ แม้ไร้กลิ่นเพราะกำเนิดจากปลายพู่กัน สีไม้ และอุปกรณ์ขีดเขียน แต่ยามเนื้อสีเนียนนุ่มต้องแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านกระจกก็ชวนสดชื่นรื่นตาคล้ายเข้ามาอยู่ในกรีนเฮาส์
คือพื้นที่รังสรรค์ศิลป์ของ อรวรรณ สังวรเวชภัณฑ์ พฤกษศิลปินผู้ปลูก “อัญชัน” (Clitoria ternatea L.) บนกระดาษด้วย “สีไม้” หนึ่งในผลงานที่ได้รับเลือกแสดงในนิทรรศการภาพวาดพฤกษศาสตร์นานาชาติ ครั้งที่ ๒ (Botanical Art Worldwide 2025) หัวข้อ “มรดกพืชพรรณธัญญาหารของชาวสุวรรณภูมิ” เพื่อสะท้อนความมั่นคงทางอาหารของไทย ใจกลางดินแดนแห่งทองคำ
ชวนเสพแนวคิดคัดสรรพืชปลูกและวิธีปรุงรูปภาพด้วยเสน่ห์พิเศษของดินสอสี
อรวรรณ สังวรเวชภัณฑ์ กับพื้นที่รังสรรค์ศิลป์ กระดาษวาดภาพ กล่องสีไม้ ถาดวางพืชต้นแบบ แท็บเลตแสดงภาพถ่าย
วิทย์สานศิลป์
สิ่งดึงดูดของภาพวาดพฤกษศาสตร์คือการใช้ศิลปะสื่อสารข้อมูลวิทยาศาสตร์
ครั้งเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายอรวรรณเป็นเด็กสายวิทย์-คณิต แต่ชัดเจนในใจว่าชอบวิชาชีววิทยาและสนใจเรื่องพืชพอกับศิลปะ หลังเรียนจบสาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะสมประสบการณ์วัยทำงานในสตูดิโอถ่ายภาพควบคู่กับออกแบบผลิตภัณฑ์ของตน และใช้ความสามารถด้านศิลปะออกแบบหลักสูตรการศึกษาโฮมสกูลตามความสนใจของลูกทั้งสองผ่านสมุดบันทึกและการจัดแสดงนิทรรศการ Double Nature ที่หอศิลป์จามจุรี กระทั่งส่งลูก ๆ วัยมัธยมศึกษาตอนปลายสู่รั้วโรงเรียนแล้ว เป็นโอกาสให้อรวรรณเข้าร่วมกลุ่ม “เครือข่ายวิทย์สานศิลป์” โดยภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดโครงการอบรมสร้างความเข้าใจวิธีถ่ายทอดความงามของธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพแก่ประชาชนทั่วไป ให้นำภาพวาดวิทยาศาสตร์ไปสื่อความหมายทางวิชาการได้
เพราะภาพวาดพืชที่สวยงามด้วยศิลปะไม่เพียงแทนคำบรรยายได้มาก รายละเอียดสมจริงที่ถ่ายทอดผ่านเทคนิคอย่างแยบคายยังจะทำให้ผู้ชมประทับใจและตระหนักถึงความสำคัญของพืช
“ก่อนหน้านั้นแค่รู้ตัวว่าชอบวาด botanical เวลาไปไหน
จะสเกตช์พืชข้างทางที่พบลงสมุดด้วยวิธีวาดจากความรู้สึก บางครั้งใส่เงาเป็นลูกเล่น วางองค์ประกอบทางศิลปะให้ดูสวย ซึ่งภายหลังพอศึกษาการวาดแบบ botanical จึงรู้ว่า
แม้จะเป็นภาพวาดต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ เมล็ดพันธุ์ แต่ที่ผ่านมาสิ่งที่เราวาดนั้นคือ “f lowers painting” ไม่นับเป็น “botanical art” เพราะมันเพียงสะท้อนความงาม ให้ความรื่นรมย์ แต่ไม่ได้แสดงลักษณะละเอียดสมจริงของพืช ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรมีแสงเงาหรือพื้นหลัง ปล่อยให้เป็นสีขาวไว้ อะไรไม่ใช่อย่าเอาไปใส่ เพราะภาพวาดพฤกษศาสตร์เป็นการสื่อสารงานวิชาการกับสังคม”
นับแต่นั้นอรวรรณก็เริ่มเรียนรู้เสน่ห์ใหม่ ๆ ของโลกพฤกษศิลป์ที่ฝึกเกลาให้เห็นความสำคัญเรื่องรายละเอียด แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคใหม่จากผู้มีประสบการณ์กว่าเพื่อฝึกฝนและแก้ไขงานตน
ขณะฟังเธอเล่าพลอยได้เชื่อมโยงเกร็ดน่าสนใจ เช่นภาพที่มีชีวิตควรเขียนจากพืชตัวอย่างจริง ภาพที่เขียนจากภาพถ่ายอาจทำให้สีผิดเพี้ยนและแสดงมุมที่เห็นรายละเอียดได้ไม่ดีพอ
นับวันการวาดภาพพฤกษศาสตร์เป็นได้ทั้งอาชีพและงานอดิเรก มีผู้คนมากมายสนใจรวมกลุ่มทำกิจกรรมเกี่ยวข้องในลักษณะของชมรมทั้งระดับชาติและนานาชาติ มีการร่วมจัดแสดงผลงานภาพวาดพฤกษศาสตร์ เครือข่ายวิทย์สานศิลป์ถือเป็นกลุ่มหลักที่ร่วมผลักดันให้ศิลปินไทยมีผลงานเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ โดยปี ๒๕๖๑ เปิดรับภาพวาดพฤกษศาสตร์พืชพื้นเมืองไทยจากนักวาดทั่วประเทศมาแสดงนิทรรศการภาพวาดพฤกษศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
“ตอนนั้นเราอายุสัก ๕๑ ปีแล้ว ถึงได้เริ่มต้นเข้ากลุ่มศิลปินไทยที่มารวมตัวกันแสดงงาน จากนั้นก็ได้ร่วมแสดงนิทรรศการ Botanical Art Thailand เรื่อยมาจนปัจจุบัน”
ปี ๒๕๖๘ อรวรรณในฐานะสมาชิกเครือข่ายวิทย์สานศิลป์ร่วมส่งผลงานสองภาพ คือ กระดังงา ด้วยเทคนิคสีน้ำ และ อัญชัน ด้วยเทคนิคสีไม้ ซึ่งอย่างหลังเป็นเทคนิคที่แตกต่างจากผลงานของศิลปินอื่น
ภาพวาดพืชที่สวยงามด้วยศิลปะ ไม่เพียงแทนคำบรรยายได้มาก รายละเอียดสมจริงที่ถ่ายทอดผ่านเทคนิคอย่างแยบคาย ยังจะทำให้ผู้ชมประทับใจและตระหนักถึงความสำคัญของพืช
เลือกสิ่งที่รู้จักดีพอ
วันที่พบกัน ภาพเขียนดอกอัญชันบนพื้นหลังสีขาวสะอาดเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“ตอนแรกที่ทราบโจทย์ของนิทรรศการภาพวาดพฤกษศาสตร์ปีนี้ว่าเป็นการนำเสนอพืชมรดกของภูมิภาคก็ยังคิดว่าอยากวาดพืชวงศ์ยาง มีติดต่อนักวิชาการและคนรู้จักที่ทำงานภาคสนามในป่าทางเหนือกับทางใต้ไว้ อยากวาดสิ่งที่หายากจะได้ไม่ซ้ำศิลปินคนอื่น แต่เนื่องจากช่วงเวลาที่ต้องสร้างงานจำกัด จะเห็นการเจริญเติบโตครบตั้งแต่เมล็ด ราก ลำต้น จนการแตกยอดได้ยาก จึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ สุดท้ายกลับมามองหาพืชที่เรามั่นใจว่ารู้จักโดยไม่ต้องปรึกษาใคร รู้ว่าก้านใบเป็นแบบไหน แต่ละข้อไล่อายุจากแก่ไปอ่อนอย่างไร ลีลาทอดตัวโค้งตัวจากทิศไหนไปทิศไหน รู้กระทั่งกลีบในที่หุ้มเกสรบางดอกต่างกัน พืชจะออกดอกช่วงไหน บานเต็มที่กี่วัน เมื่อต้องทำงานแข่งกับเวลาจึงเลือกสิ่งที่คิดว่ารู้จักมันดีพอ”
แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายเพียงตัดตัวอย่างสักช่อมาเป็นแบบวาด
“พืชจะรู้โดยธรรมชาติว่าถูกย้ายจากที่ที่เคยอยู่จึงต้องหาวิธีช่วยไม่ให้เฉาเร็วเกิน โดยตัดหลายช่อที่ต้องการในตอนเช้านำมาแช่น้ำไว้สักคืน ปล่อยให้พืชมีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ปรับทรงช่อให้เป็นธรรมชาติ จึงค่อยเริ่มศึกษาการทอดตัวจากต้นแบบที่จะวาด”
แม้ปัจจุบันมีเทคโนโลยีถ่ายภาพเป็นตัวช่วยในการวาดภาพ หรือต่อให้ศิลปินพยายามค้นคว้าเพื่อทำความเข้าใจลักษณะของพืชจากตำราก็ย่อมสู้การอยู่ร่วมกับพืชนั้นไม่ได้ อรวรรณจึงปลูกต้นอัญชันไว้ริมรั้วบ้าน เพื่อซึมซับคุณค่าของพืชและศึกษาพฤติกรรมช่อที่เลือกมาวาดเทียบเคียงกับกิ่งที่ยังอยู่กับต้น
“ต่อให้ถ่ายภาพมาเป็นร้อยก็ยังยากจะดูว่าหลืบที่อยู่ข้างในเป็นอย่างไร และเมื่อเกิดข้อสงสัยขณะวาดยังเดินไปหาคำตอบจากต้นจริงได้ กระทั่งตัวอย่างส่วนต่าง ๆ ก็ควรมาจากต้นเดียวกันเพื่อเลี่ยงกรณีที่พืชชนิดเดียวกันมีชนิดย่อยที่อาจดูคล้ายแต่มีรายละเอียดบางจุดที่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เช่น ใบเว้าลึกต่างกัน กลีบดอกไม่เหมือนกัน”
แม้ผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักพฤกษศาสตร์ เพียงเป็นศิลปินที่สนใจเรื่องพืชก็ได้ แต่จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่ตนวาดเพื่อจะถ่ายทอดลักษณะของพืชได้อย่างถูกหลักวิชาการ
“เราชอบฟอร์มของอัญชันที่บิดเป็นเกลียว จะแหวกต้นหาช่อที่มีเกลียววกกลับขึ้นไป หยิบลีลาความรกของพืชมานำเสนอ สะท้อนเสน่ห์เล็ก ๆ ของอัญชันที่เรารู้จักมัน”
เธอเลือกนำเสนอมุมมองที่ส่วนของดอกอยู่ใกล้สายตาผู้มอง ก้านใบอยู่ห่างออกไป แล้ววาดซ้อนทับชั้นหลายดอกเพื่ออวดลีลาหลายแบบ ทั้งด้านหน้า-หลังของดอกตูมและดอกบานให้อัญชันสองมิติบนพื้นขาวดูมีชีวิตชีวาเสมือนกำลังเจริญเติบโตบนกระดาษเนื้อด้านขนาด A3
ชวนให้พลเมืองเขตร้อนรู้สึกคันมืออยากเด็ดเจ้าดอกสีน้ำเงินอมม่วงไปคั้นเอาน้ำทำสีผสมอาหาร
การวาดกลีบสีม่วงของดอกอัญชันไม่ใช่แค่ใช้สีม่วง เกิดจากสีนับสิบผสาน สีน้ำเงิน น้ำเงินเกือบดำ แดงเข้ม หรือน้ำตาล ฯลฯ
ขั้นตอนการลงสีไม้เป็นชั้น ๆ การผสมสีจะเกิดขึ้นบนกระดาษไม่ใช่บนจานสีอย่างสีน้ำ
สรรพสี (ดอก) ไม้
เด็กทุกคนเติบโตมากับการใช้ดินสอสี สีไม้จึงถูกมองว่าใช้ง่ายที่สุด
แต่ศิลปินที่ชอบนำสีไม้มาเป็นสื่อศิลปะกลับเห็นว่าคือความท้าทาย
นอกจากคุณสมบัติที่พฤกษศิลปินควรรู้จักพืชที่วาดยังต้องรู้จักสีที่ใช้ โดยเฉพาะข้อจำกัด
“เราใช้ชนิดไส้แข็ง เพราะแม้จะเป็นกระดาษเรียบแต่ก็มีผิวที่ทำให้เนื้อสีไม่ลง เพราะไส้ดินสอสีมีไขผึ้งหรือน้ำมันเป็นพื้นฐาน และสีไม้มีลักษณะแห้งไม่เหมือนสีน้ำที่พอชุ่มสีก็ซึมลงเนื้อกระดาษได้หมด อัญชันในแบบ botanical art จึงต้องลงสีซ้อนทับเกือบ ๑๐ ชั้นจึงจะเก็บรายละเอียดได้ดีพอ”
คนมักเข้าใจว่าสีไม้หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง แต่แท้แล้วศิลปินอาชีพจำเป็นต้องเลือกเกรดคุณภาพที่ออกแบบมาให้ใช้กับงานที่มีความละเอียดสูง ไส้สีแข็งแรง และแท่งไม้คุณภาพดี
“เมื่อก่อนก็เคยใช้ยี่ห้อหนึ่งถือว่าดีมากสำหรับเกรดนักเรียน แต่ใช้งานจริงจังไม่ได้ เนื้อสีซ้อนทับกันยาก จะลงสีรอบที่ ๓ ก็ไม่ติดแล้ว อาจเพราะไส้ดินสอสีมีส่วนผสมของไขผึ้งเยอะไป และสีเกรดนักเรียนพอภาพโดนแสงไฟเลียจะซีดเร็ว สีที่เกรดดีจะใช้น้ำมันสูตรเฉพาะของแต่ละบริษัทผสมสารเติมแต่งและสารยึดในอัตราส่วนที่ช่วยให้เม็ดสีเข้ากันได้ดี”
เทคนิคส่วนตัวที่เธอใช้คือมองว่า “ดินสอสีเป็นเข็ม” จึง “เขี่ยสี” ทีละนิดอย่างเบามือ
“ไม่ใช่การระบายแบบถูไถหรือกดอัดสีเข้าไป เราลงสีโดยเพิ่มรายละเอียดให้สีทีละนิดแบบไม่ออกแรง ดินสอสีที่ใช้จึงต้องแหลมเท่านั้น และต้องจับแท่งให้ตั้งฉากตลอดเวลา ถ้าเอนเมื่อไรจะกลายเป็นแรเงาซึ่งมันจะซ้อนทับไม่ได้ และปลายดินสอสีจะทู่ทำให้เขี่ยสีไม่ได้ ทู่ปุ๊บต้องเหลาปั๊บ”
แม้คุณสมบัติของสีไม้จะเป็นสีกึ่งทึบแสง แต่การที่เม็ดสีนั้นอ่อนนุ่มลื่นไหลไปทั่วพื้นผิวกระดาษและเกาะติดกระดาษง่ายก็มีข้อดีตรงทำให้ลงสีได้หลายชั้น ถึงอย่างนั้นความท้าทายก็มี
สีไม้มีข้อจำกัดกับบางโทนซึ่ง botanical art ควรเป็นพื้นขาว ศิลปินจึงเลี่ยงการเลือกพืชที่มีโทนสีขาว สีครีม สีเหลือง เพราะจะทำให้พืชโดดเด่นจากเนื้อกระดาษได้ยาก ซึ่งแม้อัญชันดอกสีเข้มจะพ้นข้อกังวลนั้นก็ยังพบความท้าทายอื่น เช่น ดินสอไม้ไม่มีเฉดสีที่ต้องการ
“กระดังงาสงขลา Dwarf ylang-ylang (Cananga odorata)” อรวรรณใช้เทคนิคสีน้ำ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ร่วมจัดแสดงในงาน Botanical Art Worldwide 2025 กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากดอกหอมมีการกระจายพันธุ์ในเวียดนามและไทย
“ทำให้ต้องมิกซ์หลายสีไปมาทับซ้อนบนกระดาษจนกว่าจะได้สีที่ตรงตามต้องการ โดยทั่วไปสีน้ำจะค่อย ๆ ลงจากอ่อนสุดไปแก่สุดทีละชั้น หรือแก่สุดไล่ลงมาอ่อนสุด แต่สำหรับสีไม้ถ้าลงอ่อนสุดก่อนจะไปบล็อกไม่ให้สีหลัง ๆ ลงต่อได้เพราะชั้นมันแน่นแล้ว จะต้องเริ่มจากลงโทนสีกลาง ๆ ไม่อ่อนไม่แก่ ถ้าต้องการมิติความลึกก็ลงสีเข้มกว่าเพิ่ม แล้วค่อย ๆ เกลี่ยสองสีเข้าหากัน หรือถ้าต้องการผ่อนโทนสีตรงไหนก็ลากสีนั้นออกด้านข้าง”
การวาดกลีบสีม่วงของดอกอัญชันก็ไม่ใช่แค่ใช้สีม่วง เกิดจากสีนับสิบผสาน สีน้ำเงิน น้ำเงินเกือบดำ แดงเข้ม หรือน้ำตาล ฯลฯ แต่จะไม่ใช้สีดำ เพราะถ้าไปโดนสีอื่นจะกลายเป็นความสกปรก หรือที่คนดูเห็นใบไม้สีเขียวก็เกิดจากการผสมสีไม่รู้เท่าไร เช่น ถ้าจะใช้สีเขียวสักเฉด อาจลงสีเขียวเข้มชั้นหนึ่งแล้วลงสีเขียวอมเทา ไล่ไปน้ำตาลจนเหลือง เหลืองมะนาว เหลืองมะปราง ฯลฯ ค่อยเกลี่ยโดยดึงสีที่อยู่ชั้นล่างสุดขึ้นมาเกลี่ยกับสีชั้นบน หรือถ้าต้องการทำให้เหมือนมีแสงธรรมชาติมากระทบก็อาจเติมสีเหลือง สีเทาอมฟ้า ฯลฯ ให้สีอ่อนสุดถูกเกลี่ยเป็นลำดับสุดท้าย
“การใช้สีไม้สนุกตรงได้สร้างสรรค์เทคนิค ถ้าอยากได้เฉดเข้มขึ้นก็ใช้สีตรงข้ามช่วย เช่น ต้องการสีเขียวเข้มก็ผสมสีน้ำตาลลงไป หรือต้องการให้สีน้ำเงินดูมีมิติลึกก็ใช้สีแดงช่วย แทบทุกสีที่เห็นมันซ้อนชั้นสีเยอะมาก ที่ยากคือการผสมสีทุกครั้งจะเกิดขึ้นบนกระดาษเลย ไม่เหมือนสีน้ำที่ผสมในจานสีก่อนได้”
เธอสาธิตบางขั้นตอนที่ยังทำค้างไว้ จึงได้เห็นกระบวนวิธีทำงานที่ป้องกันไม่ให้อวัยวะตนสัมผัสภาพ
“การใช้สีไม้ต้องระวังหลังมือ ผิวหนังคนเรามีเหงื่อมีไขมัน จะสวมถุงมือก็จับสีไม้ไม่ถนัด ขณะทำงานจึงต้องใช้กระดาษไขปิดงานส่วนที่ยังไม่ต้องการทำอะไรแล้วใช้แกนม้วนกระดาษประคองข้อมือไว้ขณะเคลื่อนไปทำงานในส่วนต่าง ๆ”
กว่าจะเสร็จสมบูรณ์แต่ละภาพไม่ง่าย พืชจะงอกงามตามจังหวะของมัน
อัญชันที่เธอปลูกลงกระดาษและตกแต่งจิตวิญญาณด้วยสีไม้ก็เช่นนั้น