เพลงติดหู
หลอนประสาท
วิทย์คิดไม่ถึง
เรื่อง : ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ namchai4sci@gmail.com
ภาพประกอบ : นายดอกมา
เคยมีเพลงที่ฟังแล้วติดหูจนแทบหลอน เอาออกจากหัวไม่ได้บ้างไหม ?
เพลงหรือท่อนเพลงแบบนี้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่าเอียร์เวิร์ม (earworm) แปลแบบทื่อ ๆ ว่า “หนอนหู” ให้ภาพเหมือนมีหนอนไปเต้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในหูของเรา
คำว่า earworm มีรากศัพท์จากภาษาเยอรมันว่า öhrwurm คิดขึ้นมาใช้ในความหมายเดียวกันเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีก่อนนักวิทยาศาสตร์เรียกอาการนี้ในหลายชื่อไม่ว่าจะเป็น stuck tune syndrome หรือ musical repetition และ involuntary musical imagery (INMI)
ส่วนนักดนตรีบางทีก็เรียกอาการนี้ว่า DJ Earworm
ตัวอย่างเอียร์เวิร์มกรณีเพลงไทย เช่น “ทรงอย่างแบด” ของเปเปอร์เพลนส์ “ซุปเปอร์วาเลนไทน์” หรือ “เจน นุ่น โบว์” และ “คุกกี้เสี่ยงทาย” ของวง BNK48 ส่วนเพลงต่างประเทศ เช่น “Pen-Pineapple-Apple-Pen” ของ Pikotaro เพลง “Gangnam Style” ของ PSY ซึ่งเป็นซิงเกิลทำสถิติยอดเข้าชมทะลุ ๑ พันล้านวิวในยูทูบเป็นรายแรกได้สำเร็จ และ “Baby Shark Dance” ของ Pinkfong ซึ่งปัจจุบันครองตำแหน่งวิดีโอบนยูทูบที่มีผู้ชมมากที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดชมกว่า ๑๓,๘๐๐ ล้านครั้ง
แต่ “หนอนหู” ที่คนตะวันตกสมัยใหม่รู้จักกันดีที่สุดน่าจะเป็นท่อนฮุกของ “Jingle Bell Rock” ของ บ็อบบี เฮล์มส์
และ “All I Want for Christmas is You” ของ มารายห์ แครีย์
อะไรทำให้เพลงพวกนี้ “ติดหู” แบบล้างไม่ออกขนาดนี้ ?
งานวิจัยที่ชำแหละเพลงเหล่านี้พบว่าลักษณะสำคัญของเพลงติดหูคือมักเป็นท่อนสั้น ๆ ยาวราวสามถึงสี่บาร์และร้องซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ มีคำอธิบายหนึ่งว่าลักษณะเช่นนี้ทำให้สมองมึนงงเกินควบคุมและอึดอัดจนต้องทำอะไรบางอย่างโดยมักจบลงที่ต้องร่วมร้องตาม
ยังมีคำอธิบายอีกแบบหนึ่งที่แทบจะตรงกันข้าม นั่นคือเพลงพวกนี้อาจฟังแล้วสบายหู แต่ชวนสงสัยบางอย่างจนทำให้อยากฟังซ้ำเพื่อทำความเข้าใจ
งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งระบุว่า ทำนองเพลงเหล่านี้มักเริ่มจากเสียงสูงก่อนแล้วลดระดับเสียงลง แบบเดียวกับท่อนแรกในเพลง “Twinkle, Twinkle Little Star” ซึ่งรูปแบบเช่นนี้เราคุ้นเคยดี ทำให้สบายหูก่อน จากนั้นจึงต่อด้วยท่อนที่คาดไม่ถึง มีจังหวะหรือลีลาแปลกหู จนอยากฟังซ้ำเพื่อทำความเข้าใจ
ท่อนพิเศษนี้ควรเรียบง่าย แต่มีลักษณะจำเพาะบางอย่างเพื่อให้เรียกความจำออกมาได้ง่าย ๆ และอยากฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก
คนที่ทำสิ่งซ้ำซากจำเจ ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เช่นการล้างจานพร้อมฟังเพลงพวกนี้ไปด้วย จะ “ติดกับดัก” โดนหนอนหูเจาะไชเข้าไปได้ง่ายมากเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีการทดลองที่แทรกช่วงเงียบเข้าไปในเพลงเป็นช่วงสั้น ๆ สิ่งที่พบก็คือสมองของอาสาสมัครยังทำงานในช่วงเงียบราวกับได้ยินเสียงดนตรีหรือเสียงร้องครบเหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นเพลงที่มีเนื้อร้อง แต่เล่นให้ฟังแค่ดนตรีแบบคาราโอเกะ สมองก็จะร้องเนื้อเพลงท่อนนั้นด้วย
เพลงพวกนี้ช่างมีอิทธิฤทธิ์มากจริง ๆ
ส่วนที่เด็ดสุดก็คือ ยิ่งคุณพยายามต่อสู้และลืมเพลงพวกนี้มากเท่าไร เพลงนี้ก็จะยิ่งเล่นงานคุณหนักขึ้นและกินเวลากว่าจะหายนานมากขึ้นเท่านั้น !
อาการเพลงติดหูเกิดขึ้นยาวนานแตกต่างกันไปในแต่ละคน ส่วนใหญ่ (ราว ๙ ใน ๑๐ คน) จะเกิดนานเป็นชั่วโมงหรือกว่านั้น สำหรับในรายที่หนักหน่อยอาจติดหูนานเป็นสัปดาห์ก็มี
บางคนอาจสงสัยว่าอาการเพลงติดหูแบบนี้แตกต่างอย่างไรบ้างหรือไม่กับการที่เรานึกถึงเพลงที่ชอบจนอดยิ้มไม่ได้ อยากร้องเนื้อเพลงหรือฮัมทำนองตาม
คำตอบคือสมองตอบสนองคล้ายคลึงกัน แต่เพลงหลอนหูจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสมองส่วน “อารมณ์ความรู้สึก” รุนแรงมากกว่า
หากดูละเอียดขึ้นอีกนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองบ้าง ก็จะพบว่าสมองส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือออดิทอรีคอร์เทกซ์ (auditory cortex) ที่ใช้ประมวลข้อมูลเสียงซึ่งรวมถึงใช้เป็นบริเวณเก็บข้อมูลเกี่ยวกับดนตรีอีกด้วย การทดลองสแกนสมองขณะฟังเพลงพบว่า เมื่อหยุดเล่นเพลงเป็นช่วง ๆ หากเป็นเพลงที่อาสาสมัครคุ้นเคยดี สมองส่วนนี้จะทำงานราวกับยังได้ยินเนื้อร้องหรือดนตรี แสดงให้เห็นว่าสมองกำลัง “จินตนาการ” ถึงเพลงท่อนนั้นอยู่
เอียร์เวิร์มพวกนี้เดิมมักมาจากวิทยุและโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโฆษณาสินค้า นาน ๆ ทีก็มีจากภาพยนตร์บ้าง แต่เดี๋ยวนี้น่าจะมาจากบริการออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะช่องยูทูบและวิดีโอเกม
การประยุกต์ใช้งานความรู้เรื่องนี้ที่สำคัญคือการตระหนักว่าเมื่อใส่ “ข้อมูล” เข้าไปในดนตรีจะช่วยให้จดจำข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น คนที่เคยฟังเพลง “กรุงเทพมหานคร” ของอัสนี-วสันต์ น่าจะช่วยยืนยันได้ว่าเพลงนี้ช่วยให้จำชื่อเมืองหลวงที่ยาวที่สุดในโลกได้ดีขึ้นจริง ๆ
ประโยชน์อีกข้อหนึ่งที่นักวิจัยชี้ให้เห็นก็คือ การศึกษาเพลงที่ล้างไม่ออกจากหูอาจช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของ “เครือข่ายสมอง” ได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องการรับรู้ข้อมูล ความทรงจำ อารมณ์ความรู้สึก และความคิดแบบชั่วแล่น (spontaneous thought) ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
ประเด็นสุดท้ายที่หลายคนคงอยากรู้ก็คือ มีวิธีกำจัดอาการเพลงติดหูหลอนประสาทบ้างหรือไม่ ?
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่ากำจัดยากทีเดียว ยิ่งพยายามลืมก็ยิ่งโผล่มายาวนานมากขึ้น
แต่นักวิจัยก็มีคำแนะนำหลายข้อ เช่น เลิกต่อต้าน แล้วร่วมร้องเพลงดังกล่าวไปด้วยเลย !
นักวิจัยยังพบว่าคนจำนวนมากที่ฟังเพลงพวกนี้จนจบหรือร้องคลอไปด้วยสามารถตัดวงจรของเอียร์เวิร์มในหัวได้ อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ในหลายคนคือหาเพลงอื่นมาเปิดหรือนึกถึง นอกจากนี้ยังมีวิธีที่ได้ผลคือทำสิ่งที่ต้องใช้สมาธิมาก ๆ สุดท้ายคือทำเฉย ๆ เลิกคิดถึง อย่าไปสนใจ เดี๋ยวก็จะค่อย ๆ หายไปเอง
คำแนะนำจากประสบการณ์ตรงของผู้คนก็มีหลากหลาย เช่น อาบน้ำอาบท่า ออกไปเดินเที่ยวเล่น โทร. คุยกับเพื่อน
บางคนก็อาศัยการร้องเพลงโปรดสู้กลับ ยังมีคนแนะนำให้ลองทำโจทย์คณิต-ศาสตร์ และการทำสมาธิก็ช่วยได้เช่นกัน
คงต้องเลือกทดลองดูเองว่า วิธีไหนเหมาะสมหรือดีที่สุดสำหรับคุณ