วิชาตายดี…
วิชาสุดท้ายของชีวิต
Holistic
เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
ภาพประกอบ : zembe
ในชีวิตหนึ่งเราเรียนรู้วิชาต่างๆ มากมาย บางวิชาได้ใช้ประกอบอาชีพ บางวิชาไม่ได้ใช้ แต่วิชาหนึ่งที่จะต้องได้ใช้แน่นอนนั่นคือวิชา “ตายดี” ซึ่งมีชื่อทางการว่า การดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) หรือชีวาภิบาล
แม้หลีกเลี่ยงการตายไม่ได้ แต่เราเลือกวางแผนตายดีได้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อการเจ็บป่วยดำเนินมาถึงระยะท้าย เราจะขอรับการรักษาที่จำเป็น และปฏิเสธการยื้อชีวิต
เร็ว ๆ นี้ผู้เขียนมีโอกาสร่วมฟังเสวนา “วิชา Palliative Care ทางเลือกในการดูแลวาระสุดท้ายที่ไม่ต้องยื้อชีวิต เจ้าของชีวิตมีสิทธิ์เลือกได้” ในงาน Death Fest 2025 ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ให้ความรู้เรื่องการตายดีไว้น่าสนใจ
วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการตายดีอย่างต่อเนื่องกล่าวว่า การดูแลแบบประคับประคองคือ “ไม่เร่ง ไม่ยื้อ แต่ให้มีคุณภาพชีวิตอย่างที่อยากเป็น” และช่วงระยะท้ายของชีวิตจะเป็นโอกาสให้ใคร่ครวญว่าเวลาที่เหลืออยู่อะไรคือสิ่งสำคัญ บางคนอาจอยากใช้วาระสุดท้ายกับคนที่รัก แทนอยู่ในห้องไอซียู ท่ามกลางอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่รบกวนความสุขสบาย
“เรามองการประคับประคองเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ป่วยและครอบครัวจะต้องทำความเข้าใจ และบางรายชุมชนก็ต้องเข้าใจด้วย เพราะอาจต้องให้คนในชุมชนมาช่วยดูแลเพื่อให้ผู้ป่วยจากไปด้วยดี”
ด้าน รศ.นพ. ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า การดูแลแบบประคับประคองคือการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุมทั้งด้านกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ โดยถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้เพื่อรับมือกับความทุกข์จากการเจ็บป่วยระยะท้าย
“เรามีวัฒนธรรมแก้ไขตัวเลข โซเดียมต่ำก็ต้องแก้ ความดันสูงก็ต้องแก้ เพราะส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องการยืดชีวิตออกไป ส่วนคนไข้ระยะท้ายต้องการความสบาย แต่จะโดนวัดความดันตอนตี ๒ เจาะเลือดทุกเช้า ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติปรกติของการดูแลผู้ป่วยวิกฤต จนลืมนึกว่าจำเป็นหรือเปล่า การป่วยระยะท้ายนี้ตัวเลขไม่ได้ทำให้คนไข้มีความสุข”
พญ. นิษฐา เอื้ออารีมิตร ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลคูน โรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านการดูแลแบบประคับประคองแห่งแรกของประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นการเริ่มดูแลตั้งแต่รู้ว่าเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายหรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคมะเร็ง ซึ่งสามารถทำควบคู่กับการรักษาโรคปรกติ
“โรงพยาบาลไม่ได้โฟกัสที่ตัวโรค สิ่งสำคัญคือการสื่อสารและจัดการความไม่สุขสบาย เช่น เป็นมะเร็งก็อาจดูดน้ำออกเพื่อให้คนไข้รู้สึกสบาย ขณะการแพทย์แบบเดิมจะจัดการความเจ็บปวด ซึ่งเป็นทุกข์หนักของผู้ป่วย (pain point) ส่วนการดูแบบประคับประคองเป็นจุดเปลี่ยน (turning point) ที่ช่วยให้คนไข้มีความสุข”
ขณะที่ อ.นพ. นิยม บุญทัน ศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลแบบประคับประคอง และเป็นแหล่งผลิตแพทย์ด้านนี้ของประเทศให้ความเห็นว่า การดูแลแบบนี้ไม่ได้สิ้นสุดที่คนไข้เสียชีวิต แต่จะดูแลญาติพี่น้องภายหลังจากสูญเสียคนในครอบครัวด้วย ดังนั้นคนทำงานด้านนี้จึงต้องมีทักษะในการดูแลร่างกายและจิตใจตัวเองรวมถึงดูแลผู้ดูแลด้วยความเข้าใจและเมตตา
อย่างไรก็ตามแม้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒ ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิ์ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ขอรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายของตน” หรือหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้า หรือ “พินัยกรรมชีวิต” ที่ผู้ป่วยสามารถปฏิเสธการใส่เครื่องช่วยหายใจ การปั๊มหัวใจ หรือการรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดคุณภาพชีวิต รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขก็มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกระดับมีหน่วยดูแลแบบประคับประคอง แต่ก็ยังเป็นสิ่งใหม่ในวงการแพทย์บ้านเรา เนื่องจากไม่มีการเรียนการสอนวิชานี้ ดังนั้นแพทย์ส่วนใหญ่จึงรักษาตามแบบแผนปฏิบัติเพื่อคงสัญญาณชีพของผู้ป่วยให้นานที่สุด
ระหว่างรอให้มีการปรับปรุงหลักสูตรการดูแลแบบประคับประคองในโรงเรียนแพทย์ การตระหนักรู้และยอมรับในสิทธิ์การตายดีจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะทำความเข้าใจสิทธิพื้นฐานของตนเอง โดยวางแผนสุขภาพล่วงหน้า ผ่านพินัยกรรมชีวิต หรือ “สมุดเบาใจ” ซึ่งมีผลทางกฎหมายที่แพทย์ผู้ทำการรักษาจะเคารพเจตนารมณ์ของคนไข้ และเรียกร้องการดูแลแบบประคับประคองแก่ตนเองหรือญาติเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
“การดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นสิทธิพื้นฐาน และควรเป็นสายธาร ไม่ใช่หยดน้ำในทะเลทราย ที่หายาก ขึ้นอยู่กับดวงหรือโชคช่วย” รศ.นพ. ฉันชายสรุป