ท้ายครัว
เรื่องและภาพ : กฤช เหลือลมัย
แกงน้ำใสๆ ในตำรากับข้าวไทยที่เรียกกันว่า “แกงเลียง” นั้น
น่าจะเป็นกับข้าวเก่าแก่ ทั้งจากเครื่องปรุงที่มีไม่กี่อย่าง และในบันทึกเก่าอย่าง “อักขราภิธานศรับท์” ของหมอบรัดเลย์ (ปี ๒๔๑๖) ก็มีบอกไว้ว่า “เลียงผัก, คือแกงผักไม่ใส่พริกนั้น” ในหลายพื้นที่ อย่างทางเมืองจันทบุรี มี “เลียงส้มระกำ” ใส่เนื้อระกำเปรี้ยวอร่อยชื่นใจ ส่วนสูตรมาตรฐานแบบภาคกลางที่รู้จักกันดีในปัจจุบันนั้นก็คงมีมานานเช่นกัน เพราะ “อักขราภิธานศรับท์” มีบอกไว้อีกตอนหนึ่งด้วยว่า “แกงเลียง, เขาเอาปลาย่าง กะปิ เกลือ หัวหอม, ตำละลายน้ำเปนน้ำแกง, แล้วตั้งไฟให้ร้อนใส่ผักตามชอบใจ”
แกงเลียงแบบภาคกลางนับเป็นวิธีกินผักต้มสุกที่น่าอร่อย ผักที่นิยมใช้ ซึ่งมักมีฤทธิ์เย็น เช่น บวบ ฟัก น้ำเต้า แตงอ่อน ยอดตำลึง ถูกต้มจนนุ่มในน้ำแกงใสๆ หอมกลิ่นกะปิ ปลาย่าง ฉุนพริกไทยและรากกระชายเพียงอ่อนๆ หวานหอมแดง เหมาะกับคนไม่กินกับข้าวเผ็ดเป็นอย่างยิ่ง แถมใบแมงลักก็คุมกลิ่นหอมเจือเปรี้ยวบางๆ ได้อย่างชวนกินทีเดียว
ใครชอบปลาย่าง ก็แกะเนื้อปลาย่างบิใส่เป็นชิ้นๆ ไปตั้งแต่แรกตั้งไฟต้ม เพื่อให้เนื้อนุ่มอร่อย ส่วนใครชอบกุ้งสด ก็ใส่ตอนท้าย เนื้อกุ้งจะได้ยังกรอบอยู่...ถ้าถามว่า แล้วใส่ของทะเลรวมๆ เป็นซีฟู้ดจะดีไหม? ก็ต้องถามกลับว่า ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?
เดิมทีนั้น ใบแมงลักมีสถานะเป็นผักแต่งกลิ่นแกงเลียง โรยใส่ตอนท้ายสุด แต่ผมมานึกว่า เรายังมีแกงจืดโหระพา ต้มจืดกะเพราเลยนี่นา ทำไม่จะมี “แกงเลียงแมงลัก” บ้างไม่ได้เล่า?
มาลองทำดูสักหม้อสิครับ...
โขลกพริกไทย หอมแดง กะปิ เกลือ รากกระชายเข้าด้วยกันให้ละเอียด แกะกุ้งสด เอาเปลือกเอาหัวต้มกรองเป็นน้ำซุปหวานๆ ไว้สักหม้อ เด็ดใบแมงลักมาให้เยอะๆ เลย
แกงเลียงทุกหม้อทำง่ายมากๆ ผมแค่เอาเครื่องพริกที่โขลกไว้ละลายในหม้อน้ำซุปกุุ้ง ตั้งไฟให้เดือดหอมดี จึงใส่กุ้ง ชิมให้เค็มอ่อนๆ ใบแมงลักใส่ตามไปเลยครับ พอเห็นว่าสุกดีแล้วก็ตักใส่ชามไปกินได้
เท่ากับเราดึงเอากลิ่นรสหอมเจือเปรี้ยวของใบแมงลักขึ้นมาเป็นเนื้อเป็นหนังของแกงหม้อนี้ มันเป็นกรอบวิธีคิดเดียวกับแกงจืดโหระพา หรือต้มจืดกะเพรานั่นแหละครับ
เสน่ห์ของใบแมงลัก หรือ lemon basil จะโดดขึ้นมาชัดเจน คนที่ชอบกินซุปใสๆ เปรี้ยวอ่อนๆ แบบสดชื่น น่าจะชอบมากแน่ๆ เลย