ภาพวาดลายเส้นของช่อดอกเปรียงประจิม แสดงลักษณะทางสัณฐานวิทยา ส่วนดอกตูมและปมดอก
จาก “นักวิทย์” สู่ “นักวาด”
Botanical Illustration
พฤกษศิลป์
พฤกษศิลปิน
เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
“เปรียงประจิมเป็นพืชชนิดใหม่ วาดยากสุดเลยก็ว่าได้ ที่เตรียมมาวาดก็เป็นพืชชนิดใหม่อีกชนิด ส่วนนี้เตรียมร่างภาพไว้แล้ว แต่ตรงนี้ยังไม่ได้เตรียม”
ในห้องทำงานชั้น ๒ ของภาควิชาชีววิทยา ผศ.ดร. ยศเวท สิริจามร อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับภาพวาดพฤกษศาสตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะและติดตามฝาผนัง หนึ่งในนั้นคือ “เปรียงประจิม” พืชสกุลหางไหล ลำดับที่ ๓ ต่อจากตาปลาป่าปูน (Derris tonkinensis) และหางไหลเขียว (Derris solorioides) ที่พบในระบบนิเวศแบบเขาหินปูน
อาจารย์ยศเวทพบเปรียงประจิมบนเขาช่องพราน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และสังเกตว่าแตกต่างจากพืชในสกุลเดียวกัน หลังผ่านการวิเคราะห์ของนักพฤกษอนุกรมวิธานอย่างละเอียดหลายขั้นจึงยืนยันว่าเป็นพืชชนิดใหม่ เบื้องต้นตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Derris longiracemosa เนื่องจากช่อดอกมีความยาวเฉลี่ยมากที่สุดเท่าที่เคยพบในพืชสกุลนี้
ผศ.ดร. ยศเวท สิริจามร นักพฤกษอนุกรมวิธานและนักวาดภาพพฤกษศาสตร์
ภาพวาดเปรียงประจิมเป็นผลงานร่วมกันระหว่างอาจารย์ยศเวทและ พันธ์วริศ บุญประจันทร์ นักศึกษาปริญญาโท (ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ประจำภาควิชาชีว-วิทยา) ภาพลายเส้นขาวดำบนกระดาษขาวนวลแสดงลักษณะของช่อดอกทั้งระยะใกล้และไกล กลีบดอกคู่ล่าง กลีบดอกคู่ข้าง เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ใบ รวมทั้งลักษณะของฝักเมื่อแห้งซึ่งรอบเมล็ดจะมีสีคล้ำขึ้นเล็กน้อยและผนังฝักไม่ได้นูนหนา ซึ่งเป็นลักษณะที่พบเหมือนกันในหางไหลเขียว พืชที่คาดว่าเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดทางสายวิวัฒนาการ...แต่เป็นคนละชนิดกัน
ภาพวาดที่งดงามให้รายละเอียดถูกต้องตามหลักพฤกษศาสตร์ใช้เป็นสิ่งอ้างอิงข้ามกาลเวลา เช่นเดียวกับภาพวาดพืชพรรณโดยศิลปินยุโรปในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่แม้ผ่านเวลามานับร้อยปีก็ยังมีคุณค่า
เมื่อนักวิทยาศาสตร์จับพู่กัน
“ความฝันในวัยเด็กของผมคือการได้เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลในชนบท แต่พอสอบเอนทรานซ์ไม่ติด นั่นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต โชคดีที่ผมรู้จักและเข้าใจความรักความชอบของตัวเอง ค้นพบความสุขและความต้องการจริง ๆ ว่าคือการศึกษาสิ่งมีชีวิตและพรรณไม้มาตั้งแต่เด็กแล้ว พอพลาดหวังจากคณะแพทย์ไม่นานก็เลือกทางเดินชีวิตใหม่ด้วยการเป็นนักพฤกษศาสตร์ สาขาพฤกษอนุกรมวิธาน หรืออนุกรมวิธานพืช”
สมัยเรียนปริญญาตรีที่สาขาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ยศเวทเคยเป็นนักศึกษาทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) หลังจบปริญญาตรีเขาเรียนต่อปริญญาโทสาขาเดิมและได้รับเกียรตินิยมอันดับ ๑ จากนั้นได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านพฤกษศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไลเดิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Hortus Botanicus สวนพฤกษศาสตร์และพิพิธภัณฑ์พืชเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หลังเรียนจบเขากลับมาเป็นอาจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ในเมืองไทย มีผลงานวิจัยด้านอนุกรมวิธานและสายสัมพันธ์ของพืชที่ได้รับการเผยแพร่ระดับนานาชาติ ที่โดดเด่นคือการค้นพบพืชชนิดใหม่และสกุลใหม่ของโลก ถ้าสืบค้นฐานข้อมูลการตั้งชื่อพืชก็จะพบชื่อและนามสกุลของเขาปรากฏในฐานะผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ (author name) ให้พืชหลายชนิด เช่น เครือไหลลีรติวงศ์ (Derris rubricosta Boonprajan & Sirich.) พืชสกุลหางไหลชนิดใหม่ล่าสุดที่พบในบริเวณคาบสมุทรไทย
ภาพวาดแสดงลักษณะช่อดอกเปรียงประจิม กิ่งและใบ
ตัวอย่างพืชที่ได้มาจากทั่วประเทศจะเก็บรักษาด้วยวิธีการดองแอลกอฮอล์
ปัจจุบันอาจารย์ยศเวทสอนวิชาบังคับหลายวิชาของสายพฤกษศาสตร์ เช่น อนุกรมวิธานพืช กายวิภาคพืช สัณฐานวิทยาของพืชมีเนื้อเยื่อลำเลียง รวมถึงวิชาเลือกอื่น ๆ เช่น วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต ชีววิทยา แม้มีงานสอนล้นมือเขาก็ยังหาเวลาวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
“นักวิทยาศาสตร์สายอนุกรมวิธานมักสนใจทำงานด้าน biological illustration ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เพราะงานสายนี้มาพร้อมกับการ ‘ค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่’”
อาจารย์ยศเวทเล่าหน้าโต๊ะตัวใหญ่ที่มีตัวอย่างแห้งของพืชหลายชนิดวางเรียงราย
“หน้าที่หนึ่งของนักอนุกรมวิธานพืชคือสำรวจความหลากหลายของพืชในพื้นที่ที่สนใจว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง ผลพวงคืออาจเจอพืชที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นพืชชนิดใหม่”
นักสำรวจพืชอธิบายต่อไปว่าการตีพิมพ์ผลงานวิชาการมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าต้องมีภาพลายเส้นแสดงลักษณะต่าง ๆ ของพืชที่ค้นพบเพื่อประกอบคำบรรยายด้วย
การวาดภาพพฤกษศาสตร์นั้นแตกต่างจากการวาดภาพศิลปะทั่วไป เพราะไม่มีการตกแต่งหรือดัดแปลงให้ดูสวยงามเกินจริง วัตถุที่ใช้เป็นแบบถูกออกแบบโดยธรรมชาติ ผู้วาดเพียงแค่ถ่ายทอดภาพให้ถูกต้องเหมือนจริงเท่านั้น
“จริง ๆ แล้วจ้างวาดก็ได้นะ ไม่มีปัญหา เมื่อก่อนผมก็เคยจ้าง แต่หาคนวาดยากเหลือเกิน ก็เลยวาดเอง ข้อดีคือเราวาดแสดงลักษณะของพืชได้ครบถ้วนตามต้องการ คนทำงานด้านอนุกรมวิธานจึงมักวาดภาพได้”
ศิลปะในงานวิจัยช่วยให้ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ได้รับการสื่อสารอย่างไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน คือสิ่งที่เชื่อมนักพฤกษศาสตร์เข้ากับงานวาดภาพประกอบ
สำหรับอาจารย์ยศเวท การวาดภาพไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ หากย้อนกลับไปในวัยเยาว์เขาสนใจศิลปะอยู่เป็นทุน
ปี ๒๕๓๒ เขาเคยได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ ๑ ในการประกวดวาดภาพระดับชั้น ป. ๑-ป. ๒ ระดับอำเภอ เนื่องในวันประถมศึกษาแห่งชาติ และในปี ๒๕๓๙ เคยได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ ๒ จากการแข่งขันวาดเส้นสร้างสรรค์ ระดับชั้น ม. ต้น ในงานวันวิชาการของโรงเรียน นอกจากนี้ยังเคยผ่านการคัดเลือกเข้าโรงเรียนเตรียม-อุดมศึกษาด้วยความสามารถพิเศษด้านศิลปะ
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งในฐานะ “นักศึกษา” และ “อาจารย์” คณะวิทยาศาสตร์ที่ดูห่างไกลความเป็นศิลป์ กลับปลุกวิญญาณความเป็นนักวาดในตัวเขาขึ้นมา
อาจารย์ยศเวทเล่าว่า “เริ่มวาดภาพพฤกษศาสตร์ ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ทำซีเนียร์โปรเจกต์เรื่องอนุกรมวิธานเชิงตัวเลขของเฟินสกุลหนึ่ง อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้บังคับให้วาดหรอกนะ แต่ผมอยากอวดว่าวาดรูปสวย พอเรียนปริญญาโทก็เริ่มมีคนจ้างให้วาด ผมสนใจและเชี่ยวชาญพืชวงศ์ถั่วที่เป็นไม้เถาเลื้อยและมีเนื้อไม้ ถ้าได้วาดพืชกลุ่มนี้ก็ง่าย แต่พืชชนิดอื่น ๆ ก็มีคนจ้างให้วาดเหมือนกัน”
“new species คือผลกำไร แต่ไม่ใช่เป้าหมายของการเป็นนักอนุกรมวิธาน...ผมเชื่อว่าศาสตร์ทางอนุกรมวิธานสำคัญและเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง”
จะวาดส่วนใดของพืช หรือครบถ้วนทุกส่วน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการวาด บางครั้งเพื่อแสดงโครงสร้างภายในของพืชก็ต้องศึกษาผ่านกล้องจุลทรรศน์
ตามหาหางไหลขนและพืชชนิดอื่น ๆ ใกล้น้ำตกหินลาด เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี การลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อเก็บตัวอย่างพืช สังเกตลักษณะ รวมถึงถิ่นอาศัย เป็นกระบวนการสำคัญยิ่งสำหรับนักพฤกษศาสตร์
ภาพ : ผศ.ดร. ยศเวท สิริจามร
งานรับจ้างทั่วไปกลายเป็นความภาคภูมิใจระดับสากล เมื่อภาพวาดกล้วยไม้ท้องถิ่นทางภาคเหนือของประเทศไทยสองชนิดมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Peristylus carnosipetalus และ Peristylus phuwuaensis ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ Flora of Thailand (พรรณพฤกษชาติของประเทศไทย) volume 12 part 1, 2011 เน้นย้ำให้เส้นทางสายนักวาดภาพพฤกษศาสตร์เด่นชัด
แม้อาจารย์ยศเวทถ่อมตนว่าวาดรูปยังไม่เก่งนัก แต่คนรอบข้างยอมรับฝีมือและยกย่องว่าเขาคือนักพฤกษ-อนุกรมวิธานผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อนอาจารย์ต่างมหาวิทยาลัยคนหนึ่งเล่าว่า “อาจารย์ยศทุ่มเททั้งงานสอนและงานวิชาการมาก เป็นนักวิชาการขาลุย ชอบเข้าป่าศึกษาพืชสกุลต่าง ๆ ทั้งปีนเขา เดินป่า เพื่อตามหาต้นไม้”
ก่อนค้นพบว่าเปรียงประจิมเป็น new species หรือพืชชนิดใหม่ของโลก อาจารย์ยศเวทเคยบันทึกจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายปมสงสัยไว้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๔ ว่า “เปรียงประจิม” น่าจะไม่ใช่ “หางไหลเขียว”
“ผมมาที่วัดเขาช่องพราน โพธาราม อีกรอบ มีเหตุจำเป็นต้องหาผลสุกของตำหยาวสยาม และกำจัดเรื่องคาใจคือพืชที่คล้ายหางไหลเขียว (Derris solorioides) ที่เจริญอยู่บนเขาหินปูนของวัดนี้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาออกดอกของพืชชนิดนี้ ผมไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
“ตอนนั้นเขาหินปูนและพืชพรรณที่เคยเขียวกลับดูแห้งแล้ง ผมไปดูพืชที่คล้ายหางไหลเขียวและเห็นซากดอกเหี่ยว ๆ ก็คิดว่า อ๋อ เราคงมาช้าไป ดอกคงบานไปแล้วแต่ก็ช่างมัน เพราะผมเพียงต้องการจะยืนยันว่ามันคือหางไหลเขียวที่ระบุไว้ในหนังสือพรรณพฤกษชาติ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเอะใจและต้องกลับไปสังเกตช่อดอกดี ๆ คือช่วงฤดูกาลออกดอกที่เร็วผิดปรกติ พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ในซากช่อดอกเหี่ยว ๆ ก็เห็นชัดเจนว่ามีกิ่งงัน (brachyblast) ซึ่งมีดอกแห้ง ๆ รวมกันเป็นกระจุก”
อาจารย์ยศเวททราบดีว่าหางไหลเขียวที่มีช่อดอกแยกแขนงจะไม่มีทางมีกิ่งงันได้ จึงบรรจงเก็บซากดอกแห้ง กิ่งที่มีใบและช่อดอก รวมถึงใบเพื่อนำไปสกัดดีเอ็นเอ
“ผมขับรถนำตัวอย่างกลับมาศิลปากรเพื่อดูด้วยกล้องสเตอริโอทันที พบว่ามีขนประปรายบริเวณเส้นกลางใบด้านล่าง ช่อดอก กลีบเลี้ยง กิ่งงัน มีขนปกคลุมมากเหมือน ตัวอย่างที่แก่งกระจาน ทำให้ระบุได้ว่าเป็นหางไหลขน (Derris pubipetala) ไม่ใช่หางไหลเขียว เพราะพืชชนิดนั้น
ไม่มีขนมากมายเช่นนี้”
การออกเดินทางไปเขาช่องพรานและหลายพื้นที่โดยรอบเพื่อติดตามการบานของดอกเปรียงประจิม และสังเกตลักษณะอย่างละเอียดของดอก ใบ รวมถึงถิ่นอาศัย (habitat) เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง
ยกตัวอย่างวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔ อาจารย์บันทึกว่า “ผ่านไปแค่ราว ๔ วัน ดอกบางส่วนก็เริ่มโรย ดอกบานแรก ๆ เป็นสีขาวและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นชมพูเรื่อเมื่อใกล้โรย ดอกมีกลิ่นหอมอวล ๆ คล้ายกลิ่นนมเนยในร้านเบเกอรี
หรือกลิ่นอบควันเทียน ตอนประมาณ ๙ โมงเช้าผมแทบไม่เห็น pollinator แต่ราว ๑๐ โมงเช้าก็พบเหล่าผู้ถ่ายเรณูหลากชนิด ทั้งผึ้ง ต่อ แตน ผีเสื้อ แมลงวัน และแมลงปีกแข็ง”
ผลการสำรวจครั้งนั้นเขาพลาดท่าได้รับบาดเจ็บจากคมแหลมของเขาหินปูน
“ผมลงไปเก็บตัวอย่างเพิ่มเพื่อจะให้นักศึกษาดองดอก ปรากฏว่าดันซุ่มซ่ามก้าวขาพลาด หงายหลัง ก้นและหลังกระแทกหินปูน คมหินบาดปลายนิ้วกลางและนิ้วนางขวา ข้อมือด้านซ้าย และหลังจนเลือดออก มีอาการปวดร้าวตั้งแต่หลังด้านซ้ายเรื่อยไปจนถึงก้นและต้นขาซ้าย แต่ก็ต้องฝืนขับรถต่อเพื่อพานักศึกษาไปตามหาพืชอีกชนิดที่อำเภอสวนผึ้ง”
เก็บตัวอย่างเปรียงประจิมที่เขาช่องพราน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ก่อนพบว่าเป็นพืชชนิดใหม่ในเวลาต่อมา
ภาพ : ผศ.ดร. ยศเวท สิริจามร
ประเทศของเรายังประกอบไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่หลากหลายและมีชนิดพันธุ์ใหม่ ๆ รอให้ค้นพบ
ภาพวาดลายเส้น “by Mr. Yotsawate Sirichamorn” สมัยเป็นนักศึกษาปริญญาโท ประกอบการตีพิมพ์บทความวิชาการของนักพฤกษศาสตร์คนอื่น
ความยากลำบากในการลงพื้นที่เพื่อติดตามสำรวจชีวิตเปรียงประจิมและพืชชนิดอื่น ๆ ถูกบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า
“การออกทริปแบบพานักศึกษามาด้วยนั้น แต่ละครั้งเสียค่าใช้จ่ายรวมค่าน้ำมัน (ยังไม่รวมค่าที่เอาคนจบ Ph.D. มาเป็นคนขับรถ) ก็ไม่เคยต่ำกว่าพัน แต่ผมเห็นการปฏิบัติงานอย่างขยันขันแข็ง ความตื่นเต้นสนใจที่นักศึกษาแสดงออกเมื่อเห็นพืชจริงในภาคสนาม และความตั้งอกตั้งใจในการเรียนรู้เวลาที่ผมสอนเกี่ยวกับพืชสกุลนี้ แล้วผมก็ชื่นอกชื่นใจทุกครั้ง เรียกว่าลงทุนไม่สูญเปล่า ในอนาคตคงมีนักพฤกษอนุกรมวิธานที่ดีและเก่งมาแทนที่คนรุ่นผมที่นับวันจะสูญหายไปตามกาลเวลา”
ปลายปี ๒๕๖๗ ร่างแรกของภาพวาดพฤกษศาสตร์ลายเส้นส่วนต่าง ๆ ของเปรียงประจิมที่อาจารย์ยศเวทและพันธ์วริศช่วยกันวาด ถูกนำมาทดลองจัดวางรวมกันในหน้ากระดาษเดียว ประกอบด้วยภาพ A ช่อดอกแบบมีใบ, B ช่อดอกระยะใกล้, C ช่อดอกระยะใกล้ (เห็นส่วนของดอกตูมและปมดอก), D-F ดอก (มุมมองด้านหน้าและด้านข้าง), G กลีบดอก, H กลีบคู่ล่าง, I กลีบคู่ข้าง, J เกสรตัวผู้, K เกสรตัวเมีย, L ใบด้านบน, M ใบด้านล่าง, N ฝัก และ O เมล็ด
บ่อยครั้งที่การค้นพบพืชชนิดใหม่เกิดขึ้นหลังจากการเก็บตัวอย่างผ่านมาแล้วหลายปี
“new species คือผลกำไร แต่ไม่ใช่เป้าหมายของการเป็นนักอนุกรมวิธาน” อาจารย์ยศเวทกล่าว
“ทุกวันนี้นักศึกษาไม่ค่อยเลือกเรียนพฤกษศาสตร์สายอนุกรมวิธาน เพราะไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไร จริง ๆ แล้วนักอนุกรมวิธานทำอะไรได้มากมาย นอกเหนือจากค้นหาพืชชนิดใหม่ จำแนกประเภท ระบุประเภท ตั้งชื่อพืช ยังทำงานเป็นนักวิจัยในสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ หรือเป็นอาจารย์อย่างผมได้ เป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ถ้ารักการผจญภัย ชอบเดินป่า อาจเป็นภัณฑารักษ์หรือผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์พืช เป็นผู้ให้คำปรึกษาในบริษัทยาหรือเครื่องสำอาง หรือเป็นนักวิจัยร่วมในการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ถ้ามีฝีมือทางศิลปะก็อาจผันตัวมาเป็นนักวาดภาพพฤกษศาสตร์เช่นเดียวกับที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้” อาจารย์นักวาดภาพพฤกษศาสตร์ที่เชี่ยวชาญภาพลงเส้นขาวดำพอ ๆ กับเทคนิคสีน้ำและสีไม้ให้ความเห็น
หลายคนคิดว่างานอนุกรมวิธานน่าเบื่อ เข้าใจยาก เป็นงานที่ตายแล้ว ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ประเทศของเรายังประกอบไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่หลากหลายและมีชนิดพันธุ์ใหม่ ๆ รอให้ค้นพบ
“ผมเชื่อว่าศาสตร์ทางอนุกรมวิธานสำคัญและเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง คล้ายกับการจีบใครสักคน เริ่มต้นเลยเราควรรู้ว่าเขาชื่ออะไร เป็นใคร เป็นญาติกับใคร และมีพื้นฐานทางบ้านอย่างไร เมื่อรู้จักชื่อแล้วสิ่งที่เราจะเรียนรู้ตามมา ไม่ว่านิสัยใจคอ ความรู้ความสามารถ แง่มุมต่าง ๆ ก็จะไม่ยากอีกต่อไป”
ภาพแสดงลักษณะใบด้านบน
ของต้นเปรียงประจิม
ความรู้นอกห้องเรียน
“การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ขึ้นอยู่กับความฮึด ไม่ใช่ฉันเห็น...ฉันวาด...แล้วจบ มันต้องอยู่กับพืชนานเป็นเดือน ๆ”
ในห้องทำงานชั้น ๑ ของตึกพฤกษศาสตร์ ผศ.ดร.ฉัตรทิพย์ รอดทัศนา อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำภาพวาดพฤกษศาสตร์ของใบไม้ชนิดหนึ่งซึ่งเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น มีใบย่อยสามใบเกิดบนก้านใบซึ่งแยกจากกิ่งบนกระดาษ และบอกว่านี่เป็นผลงานของนิสิตรายวิชาภาพประกอบเรื่องทางวิทยาศาสตร์ (Scientif ic Illustration)
การนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทำได้หลายทาง เช่น ตัวเลข ตาราง สถิติ แผนภาพ ฯลฯ ภาพวาดเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยอธิบายรายละเอียดได้แจ่มชัด ก้าวข้ามข้อจำกัดทางภาษา ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าภาพวาดนั้นต้องชัดเจน ถูกต้อง ตรงไปตรงมา และมีเสน่ห์น่าจดจำ
“ใบจามจุรีสัก ๔ โมงเย็นจะหลับ” อาจารย์ฉัตรทิพย์เกริ่นนำถึงปรากฏการณ์ในพืชวงศ์ถั่วบางชนิดที่ใบจะหุบลู่เข้าหากันในช่วงพลบค่ำ
“ลองสังเกตดู ช่วงอื่น ๆ ก็มีหลับบ้าง นี่เป็นหนึ่งในกลไกธรรมชาติที่พืชใช้ป้องกันตัวเองเพื่อหลบจากสัตว์กินพืชที่ออกหากินตอนกลางคืน”
ตัวอย่างพันธุ์ไม้แห้งและตัวอย่างพันธุ์ไม้ดองในพิพิธภัณฑ์พืช ศาสตราจารย์กสิน สุวตะพันธุ์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ชี้ชวนให้ค้นหาข้อแตกต่างของใบจามจุรีทั้งสามในภาพวาด ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าแต่ละใบ “หุบ” หรือ “กาง” ไม่เท่ากัน
“ถ้าใบพืชหุบเหลือพื้นที่น้อยพวกสัตว์จะเกาะกินลำบาก เคยกินสลัดบาร์ใช่ไหม เวลาตักผักเรามักจะเลือกตักใบสวย ๆ กาง ๆ การหุบใบของพืชบางชนิดเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากสัตว์ที่หากินกลางคืน เพราะฉะนั้นถ้ารู้แค่ว่านี่คือต้นจามจุรี ไม่ได้ทำความรู้จักจริง ๆ ก็จะไม่รู้ว่ากลไกต่าง ๆ มีไว้ทำอะไร ไม่สามารถสื่อสารเรื่องราวของต้นไม้ได้
“หัวใจสำคัญของการวาดภาพพฤกษศาสตร์คือการถ่ายทอดเรื่องราวของพืช คนวาดต้องอยากรู้จักพืชชนิดนั้นจริง ๆ ต้องคอยสังเกต อยู่กับเขาจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อต้นไม้ดอกไม้จากตลาดมาวาด”
อาจารย์ฉัตรทิพย์เป็นศิษย์เก่าจุฬาฯ ที่กลับมาสอนคณะเดิม สมัยปริญญาตรีเคยเรียนสาขาวิชาชีววิทยา ทำวิจัยเกี่ยวกับนิเวศวิทยาป่าชายเลน จากนั้นได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทและเอก เลือกเรียนปริญญาโทด้านความหลากหลายทางชีวภาพและอนุกรมวิธานพืช (Biodiversity and Taxonomy of Plants) ที่สวนพฤกษศาสตร์ เอดินบะระ (Royal Botanic Garden Edinburgh : RBGE) มหาวิทยาลัยเอดินบะระ สหราชอาณาจักร แต่รู้สึกว่ายังไม่ใช่งานวิจัยด้านที่สนใจ
“ตอนปริญญาตรีเคยเรียนวิชาเกี่ยวกับสัตว์ แต่รู้สึกชอบเรียนเกี่ยวกับพืชมากกว่า เลยเปลี่ยนมาเรียนพฤกษศาสตร์ ได้เรียนการจำแนกชนิดพืช ตั้งชื่อ และจัดกลุ่ม แต่เราอยากทำความเข้าใจว่าทำไมพืชที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ถึงได้มีลักษณะหรือพฤติกรรมแบบนั้น จึงเข้าใจตัวเองว่าสนใจด้านนิเวศวิทยาของพืชมากกว่าด้านอนุกรมวิธาน”
ในระดับปริญญาเอกจึงเลือกเรียนด้านพฤกษศาสตร์ (Plant Sciences) ที่ภาควิชาพฤกษศาสตร์ (Department of Plant Sciences) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร ทำวิจัยเกี่ยวกับผลของการจัดการซากพืชต่อพลวัตของรากฝอยและซากพืชที่ร่วงหล่นในป่าดิบลุ่มต่ำเขตร้อน (Litter manipulation effects on f ine root and litterfall dynamics in a lowland tropical forest) ที่ประเทศปานามา ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลาง ตรงรอยต่อระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้
“ตัดสินใจวิจัยและทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับนิเวศวิทยาป่าเขตร้อนที่เก็บข้อมูลในปานามาที่อยู่เหนือระนาบเส้นศูนย์สูตรโลกใกล้เคียงกับประเทศไทย มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นคล้าย ๆ กัน จะได้เอาความรู้กลับมาใช้ ดังนั้นโดยพื้นฐานความสนใจเราไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ทางด้านอนุกรมวิธาน ต่างกับพี่ยศ (ผศ.ดร. ยศเวท สิริจามร) ที่เป็นนักพฤกษศาสตร์ด้านอนุกรมวิธานพืช”
อาจารย์ฉัตรทิพย์เล่าจุดเริ่มต้นของการวาดภาพพฤกษศาสตร์ว่า
“ก็คงเหมือนหลาย ๆ คนที่เห็นผลงานคนอื่นแล้วรู้สึกว่าภาพวาดพืชที่สมจริงนี่สวยจังเลย ไม่ใช่แค่สวย...พึงพอใจ...แล้วจบ แต่ทำให้อยากรู้ว่าพืชในภาพคืออะไร อยากรู้จัก แล้วก็อยากจะวาดภาพแบบนี้บ้าง”
ภาพวาดพฤกษศาสตร์มักใช้อ้างอิงทางวิชาการเพื่อระบุชนิดพืช จึงต้องถูกต้องและแสดงลักษณะเด่นที่แตกต่างจากพืชชนิดใกล้เคียงกัน อาจแสดงส่วนประกอบปลีกย่อย เช่น ดอก กลีบ เกสร ผล เมล็ด ผิวของลำต้น ใบ ราก
เก็บข้อมูลภาคสนาม วัดขนาดต้นไม้ และเก็บตัวอย่างรากพืชชายเลน ร่วมกับทีมวิจัย ในห้องทำงานน่ามหัศจรรย์ที่ป่าชายเลนปากแม่น้ำตราด จังหวัดตราด
ห้องเรียนวิชา Scientif ifific Illustration สำหรับนิสิตปริญญาตรีทุกคณะ และคนทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมเรียนได้ เทอมละสองถึงสามคน เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่มาทำงานด้านนี้
ภาพวาดพฤกษศาสตร์มีหลายรูปแบบ แบบ “ดั้งเดิม” เรียกว่า “traditional illustration” หรือ “classical illustration” มักใช้สื่อสารประกอบงานวิชาการ อาจแสดงลักษณะของพืชทั้งต้นหรือเฉพาะส่วนก็ได้
ถ้าเป็นภาพวาดพฤกษศาสตร์แบบ “ร่วมสมัย” (contemporary illustration) เน้นความสวยงามของพืชและการจัดองค์ประกอบศิลป์ ทั้งสองแบบต่างยึดความถูกต้องของลักษณะพรรณพืชเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง สีสัน สัดส่วน รายละเอียดต่าง ๆ
“ตอนแรกไม่รู้หรอกนะว่าภาพเหล่านี้เรียกว่าอะไร ช่วงเรียนที่เอดินบะระมีคอร์สสอน Botanical Illustration ถึงรู้ว่าเป็นศาสตร์เฉพาะ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มเรียนปริญญาโท มีวิชาศึกษาลักษณะพืชเลยมีโอกาสได้วาดภาพเพื่อบันทึกลักษณะเหล่านั้น แล้วเริ่มมองคอร์สต่าง ๆ แต่ค่าเรียนราคาสูงมาก สุดท้ายต้องอาศัยห้องสมุดและนักวาดภาพประกอบที่สวนพฤกษศาสตร์เอดินบะระ จนมาเรียนปริญญาเอกที่เคมบริดจ์ จึงตัดสินใจไปเรียนคอร์สสั้น ๑-๒ วัน ก่อนกลับเมืองไทยยังสมัครเรียนคอร์ส ๕ วันกับ ลูซี ที.สมิท (Lucy T. Smith) นักวาดภาพพฤกษศาสตร์คนสำคัญของสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว (Royal Botanic Gardens, Kew) ทำให้เริ่มจับหลักการวาดได้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสให้วาดเป็นชิ้นเป็นอัน แค่หัดวาดไปเรื่อย ๆ และหาความรู้จากหนังสือตำราต่าง ๆ เพราะต้องกลับมาเป็นอาจารย์ เพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นได้อย่างถูกต้อง”
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อาจารย์ฉัตรทิพย์เข้าใจความหมายของการวาดภาพพฤกษศาสตร์ คือการได้พบกับ ศันสนีย์ ดีกระจ่าง นักวาดภาพพฤกษศาสตร์คนสำคัญที่มีผลงานโดดเด่น เคยจัดแสดงภาพและได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย
“เห็นภาพวาดของพี่แอน-ศันสนีย์ ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่อังกฤษ ไม่มีโอกาสไปดูภาพจริงแต่เห็นจากเว็บไซต์ รู้สึกว่าภาพพืชในงานของคนนี้ต้องตาต้องใจ พอกลับมาเมืองไทย มีเพื่อนส่งภาพถ่ายของภาพวาดรูปหนึ่งมาให้ดู เราคุ้นตามาก ถามว่าคนวาดชื่อ ศันสนีย์ ดีกระจ่าง ใช่ไหม เขาถามกลับว่ารู้ได้อย่างไร เราตอบว่าสี เส้น มันใช่เลย จึงตัดสินใจติดต่อไป บอกว่าอยากเรียนวาดภาพพฤกษศาสตร์ด้วย อยากเรียนรู้มุมมองต่าง ๆ โทร. คุยกันเป็นชั่วโมงทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน เขาเองก็สนใจว่าเราเรียนด้านพืชและสนใจในพืชจริง ๆ น่าสนใจว่าพื้นฐานของเราคือวิทยาศาสตร์ไม่ได้เรียนศิลปะ”
กลางปี ๒๕๖๑ ศันสนีย์ ดีกระจ่าง กลับมาเมืองไทยช่วงสั้น ๆ และเปิดสอนวาดภาพให้ผู้สนใจ การเข้าร่วมคลาสนั้นจุดประกายให้อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์คนหนึ่งที่สนใจด้านนิเวศวิทยาตระหนักว่าการวาดภาพพฤกษศาสตร์นั้นอาจเป็นไปเพื่อสะท้อนความงามและมุ่งเน้นการสื่อสารเรื่องราวของพืชสู่สังคม ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบงานทางวิชาการเท่านั้น
“เราไม่สามารถบังคับให้ใครมาสนใจสิ่งที่เราสนใจได้แต่เราอยากสื่อสารให้สังคมวงกว้างได้รับรู้ มันท้าทายว่าเราจะวาดอย่างไรให้คนอื่นสนใจพืชที่เราสนใจบ้าง เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝน ถึงตอนนี้ก็ยังต้องพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ”
ศิลปินนักวาดหลายคนที่ไม่ได้เรียนมาทางพฤกษศาสตร์ อาจกลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพรรณไม้อย่างไม่รู้ตัว หลังจากเพ่งพินิจพิจารณา ศึกษารายละเอียดของพืชที่ตัวเองวาดยาวนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนติดต่อกัน เฉกเช่นเดียวกับนักพฤกษศาสตร์ที่ไม่ได้ชำนิชำนาญด้านศิลปะมาก่อน บางคนแทบไม่เคยจับพู่กัน แต่กลายเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ทางพฤกษศาสตร์ผ่านภาพวาดได้อย่างงดงาม
การร่างภาพในสมุดบันทึก บันทึกรายละเอียด ขนาด สัดส่วนให้ถูกต้องมากที่สุด จะช่วยให้การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ในภายหลังครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นข้อมูลอ้างอิงที่ใช้ทบทวนได้
ผลงานวาดภาพพฤกษศาสตร์ของอาจารย์ฉัตรทิพย์ เช่น รากต้นแสมขาวส่วนรากหายใจที่ติดกับรากแขนงใต้ดิน จัดแสดงในงาน Flora of Southeast Asia ที่ประเทศสิงคโปร์ ช่วงปลายปี ๒๕๖๕ ต่อต้นปี ๒๕๖๖ ในงานเดียวกันนี้อาจารย์ฉัตรทิพย์ยังได้รับเชิญให้เป็นคณะกรรมการตัดสินภาพวาดในฐานะนักพฤกษศาสตร์อีกด้วย
ย้อนกลับไปในปี ๒๕๖๐ อาจารย์ฉัตรทิพย์เริ่มเปิดสอนวิชาภาพประกอบเรื่องทางวิทยาศาสตร์เป็นวิชาเลือกให้นิสิตปริญญาตรีทุกคณะ และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมชั้นเรียนได้เทอมละ ๒-๓ คน ตลอดทั้งเทอมนานประมาณ ๔ เดือน ฝึกวาดภาพครั้งละ ๓ ชั่วโมง สัปดาห์ละ ๑ วัน
“ใช้ชื่อวิชาว่า ‘Scientif ic Illustration’ เพราะอยากให้
คนที่เรียนได้ลองวาดทั้งสัตว์และพืช หรืออาจเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ได้ อย่างหิน แร่ ผลึก แต่ใครสนใจจะวาดพืชอย่างเดียวก็ได้” อาจารย์ฉัตรทิพย์อธิบาย
“จุดที่เราแตกต่างจากนักวาดภาพพฤกษศาสตร์คนอื่นคือเราเป็นอาจารย์ (lecturer) ไม่ใช่ศิลปิน (artist) เราอยากให้ศาสตร์นี้ไม่ตาย อยากให้การวาดภาพพฤกษศาสตร์ถูกส่งต่อ อยากให้มีคนรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาทำงานด้านนี้ ส่วนคนที่ได้รับการส่งต่อจากเราก็ไม่จำเป็นต้องมาเป็นอาจารย์ เขาอาจเป็นศิลปินหรือเป็นนักวาดภาพพฤกษศาสตร์ (botanical illustrator) เต็มตัวก็ได้”
ส่วนประกอบต่าง ๆ ของพืช ไม่ว่าจะเป็นดอก ผล ลำต้น ใบ ฯลฯ ที่มองเห็นจากภายนอกเรียกว่าลักษณะทางสัณฐานวิทยา (morphological characters) คนวาดภาพ อาจวาดเน้นเฉพาะส่วนหรือครบถ้วนทุกส่วนขึ้นอยู่กับเป้าหมาย
ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ที่ผู้วาดทราบหรือค้นคว้ามาบางครั้งอาจแสดงลักษณะโครงสร้างภายในของพืช เช่น เซลล์ เนื้อเยื่อ หรือที่เรียกว่าลักษณะทางกายวิภาคศาสตร์ (anatomical characters) ที่ศึกษาผ่านกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง บางครั้งภาพนั้นอาจแสดงลักษณะวิสัยของพืช (habit) ว่าเป็นไม้เลื้อย ไม้ต้น ไม้ล้มลุก รวมถึงถิ่นที่อยู่และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ (habitat and surroundings)
“เราให้นิสิตจัดวางองค์ประกอบของภาพเอง เขาจะได้รู้ว่างานของเขาเป็นงานศิลปะที่มีข้อมูลของพืชพรรณรวมอยู่ในนั้น
“ถ้าเราสอนวาดแต่แบบคลาสสิก ก็อาจทำให้คนยึดติดว่างานวิชาการน่าเบื่อ ต้นไม้ ใบไม้อยู่นิ่ง ๆ เลยลองให้ไอเดียใหม่ ๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากพี่แอน-ศันสนีย์ ครูที่ไม่เคยหวงวิชา ที่แนะนำว่าภาพวาดพฤกษศาสตร์ไม่ได้มีแต่แนวคลาสสิก แต่มีองค์ประกอบที่เป็นศิลป์ได้ ทำให้การวาดรูปพืชไม่น่าเบื่อและทำให้คนหันมามอง ไม่ใช่แค่มองว่าสวย แต่จะเกิดคำถามว่านี่คือพืชอะไรล่ะ”
เรียนพืชผ่านภาพวาด
ปลายปี ๒๕๖๕ มีนิสิตคนหนึ่งเดินเข้ามาในชั้นเรียน ตอนนั้น อนุสรา ชูจันทร์ เป็นนิสิตคณะครุศาสตร์ สาขาศิลปศึกษา ชั้นปีที่ ๔
“เราเรียนครุศาสตร์ศิลปะ มี Scientif ic Illustration เป็นวิชาเลือกอยู่ในลิสต์ ปรึกษารุ่นพี่แล้วเขาก็แนะนำว่าน่าสนใจ” อนุสราเล่าเรื่องที่ทำให้ตัดสินใจลงทะเบียนเรียนและได้รับเกรด A
ในช่วงที่กำลังเรียนวาดภาพ Shirley Sherwood Gallery
of Botanical Art หอศิลป์ชื่อดังในสหราชอาณาจักร ซึ่งจัด
แสดงภาพวาดจากการสะสมของ ดร. เชอร์ลีย์ เชอร์วูด (Dr. Shirley Sherwood) นักพฤกษศาสตร์และนักสะสมภาพพฤกษศิลป์คนสำคัญของโลก จัดประกวดภาพวาดพฤกษศาสตร์สำหรับศิลปินรุ่นเยาว์ (Young Botanical
Artist Competition) อายุ ๑๙-๒๕ ปี หัวข้อ “Tree” หรือ “ต้นไม้”
ในที่นี้หมายถึง “ไม้ยืนต้น”--ต้นอะไรก็ได้
นี่เป็นเวทีประกวดภาพวาดพฤกษศาสตร์ระดับโลกที่ท้าทาย ไม่จำกัดเทคนิคการวาด ไม่มีเงื่อนไขเรื่องวุฒิการศึกษาหรือสายวิชาที่เรียนมา เงื่อนไขเดียวคือขอให้วาดภาพต้นไม้
ภาพ Half hidden แสดงลักษณะภายในของดอกและผลอ่อนต้นบัวสวรรค์ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ การประกวดภาพวาดพฤกษศาสตร์สำหรับศิลปินรุ่นเยาว์ของ Shirley Sherwood Gallery of Botanical Art
“อนุสราตั้งใจสูงมาก เราเริ่มกันตั้งแต่เลือกพืช ศึกษาลักษณะและรายละเอียด...ผู้ตัดสินให้เหตุผลว่าองค์ประกอบมันแปลกตาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน”
“นี่เป็นเวทีของนักวาดภาพรุ่นใหม่”
อาจารย์ฉัตรทิพย์เล่าว่านิสิตที่สนใจส่งภาพวาดพฤกษศาสตร์ไปแสดงจะมาปรึกษาอยู่เสมอ
“รูปที่ส่งประกวดไม่ใช่รูปที่วาดในคลาส แต่เป็นการศึกษาพืชชนิดใหม่ที่เราสนใจและอยากรู้จัก อาจารย์ฉัตรทิพย์ให้ลองไปค้นคว้าว่าสนใจพืชชนิดไหนแล้วเอามาคุยกับอาจารย์” อนุสราผู้ตัดสินใจส่งผลงานเข้าประกวดเล่า
อาจารย์ฉัตรทิพย์กล่าวถึงลูกศิษย์ต่างคณะคนนี้ว่า “อนุสราตั้งใจสูงมาก เราเริ่มกันตั้งแต่เลือกพืช ศึกษาลักษณะและรายละเอียด จัดวางองค์ประกอบ ร่างภาพ และทดลองเทคนิคที่เหมาะสมหลายรอบกว่าจะเป็นผลงานสุดเก๋”
“Tree” ที่อนุสราเลือกคือบัวสวรรค์ (Gustavia superba)
พืชพรรณที่คาดว่านำเข้ามาจากทวีปอเมริกากลางหรืออเมริกาใต้ เป็นต้นไม้ที่พบได้ทั่วไปในรั้วจามจุรี
อนุสราสนใจพืชชนิดนี้เพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน เธอทดลองผ่าดอก ผล และแกะส่วนต่าง ๆ ดูว่าข้างในมีอะไรบ้าง ในที่สุดชิ้นส่วนที่เธอเลือกวาดก็แสดงลักษณะเฉพาะทางสัณฐานวิทยาที่น้อยคนนักจะเคยเห็น
“ผู้ตัดสินให้เหตุผลว่าองค์ประกอบแปลกตา ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน” อาจารย์ฉัตรทิพย์ในฐานะที่ปรึกษาอธิบาย
ในการคัดเลือกรอบแรกมีภาพวาดมากกว่า ๑,๐๐๐ ภาพส่งมาจาก ๗๗ ประเทศทั่วโลก
ภาพบัวสวรรค์ผ่านการพิจารณาเข้าสู่รอบ ๖๕ ภาพสุดท้าย รอบถัดไปต้องส่งภาพวาดต้นฉบับจริงบรรจุหีบห่อข้ามทวีปไปให้ผู้ตัดสินพิจารณา เธอได้รับคำแนะนำเรื่องการจัดส่งภาพจากอาจารย์พันธุ์ศักดิ์ จักกะพาก และศันสนีย์ ดีกระจ่าง ที่มีประสบการณ์ตรงด้านนี้
ภาพวาดบนกระดาษในหีบห่อไม่ได้บ่งบอกว่าบัวสวรรค์เป็นไม้ยืนต้น อนุสราเลือกวาดดอกกับผลที่ถูกผ่าครึ่ง ตั้งชื่อภาพว่า Half hidden
“ภาพวาดนี้แสดงการผ่าตัดดอกและผลอ่อนของต้นบัวสวรรค์ ลักษณะที่น่าสนใจของดอกและผลถูกซ่อนไว้ครึ่งหนึ่ง กลีบดอกห่อหุ้มส่วนประกอบสำคัญ เช่น เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ปกป้องดอกที่กำลังพัฒนาให้โตเต็มที่ และดึงดูดแมลงมาผสมเกสรด้วยความงดงาม”
ภาพวาดระบายสีไม้ภาพนั้นอธิบายตัวเองได้ สะท้อนถึงความตั้งอกตั้งใจและทักษะอันประณีตของผู้วาด
จาก ๖๕ ภาพ คณะกรรมการคัดเลือกเหลือ ๔๐ ภาพ แล้วตัดสินรอบสุดท้าย ผลออกมาว่าภาพ Half hidden ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ (runner-up) ได้รับเงินรางวัล ๒๕๐ ปอนด์ ผู้วาดได้รับเชิญให้เดินทางไปรับรางวัลและเยี่ยมชม Shirley Sherwood Gallery of Botanical Art ซึ่งตั้งอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว ในฐานะแขกรับเชิญพิเศษ
เบื้องต้นผู้จัดการประกวดไม่ได้สนับสนุนค่าเครื่องบินและที่พัก แต่คนรอบข้างก็ช่วยผลักดันจนอนุสราเดินทางไปรับรางวัล มีโอกาสสัมผัสการทำงานของนักวาดภาพพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เปิดโอกาสเชื่อมโยงกับนักวาดภาพรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ ที่สำคัญคือเปิดประตูสู่โอกาสในสายอาชีพนี้...
“พืชชนิดนี้หามาจากรั้วจุฬาฯ เอามาศึกษาข้อมูลกับอาจารย์ เราสนใจเพราะไม่เคยรู้จักบัวสวรรค์มาก่อน พบว่ามันน่าสนใจทั้งองค์ประกอบของดอก ผล สีสันของมัน...”
ขอขอบคุณ
ศันสนีย์ ดีกระจ่าง
เอกสารประกอบการเขียน
ศศิวิมล โฉมเฉลา แสวงผล. (๒๕๕๙). เรียนวาดเพื่อเรียนรู้. พิมพ์ครั้งที่ ๓.
ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ
เครือข่ายวิทย์สานศิลป์.
ศศิวิมล โฉมเฉลา แสวงผล และ อรวรรณ สังวรเวชภัณฑ์. (๒๕๖๗). Botanical art Thailand 2024 สานพฤกษพรรณผ่านงานพฤกษศิลป์ ครั้งที่ ๖. ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
Biology, Silpakorn University. “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ยศเวท สิริจามร” สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=6RgOtig2RUg