ฟัง
จากบรรณาธิการ
เราฟังดนตรีตอนไหนและแบบไหนกันบ้าง
ถ้าระหว่างนั่งทำงาน เช่นเขียนหรือบรรณาธิการต้นฉบับ ผมจะเปิดเพลงที่คุ้นเคยจากแผ่นซีดีหรือมิกซ์เพลงที่ยูทูบจัดให้ คลอบรรยากาศ หลายครั้งแทบจะไม่รู้ว่าฟังเพลงไหนอยู่ จนเสียงเพลงจบไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ทำงานต่อจนความคิดจดจ่อกับงานหยุดชะงักด้วยเหตุใด ๆ เช่น ต้องหยิบพจนานุกรมมาเปิดตรวจสอบคำ เมื่อนั้นถึงรู้ตัวว่าไม่มีเสียงเพลงแล้ว
โหมดฟังเพลงคุ้นเคยนี้เป็นเสมือนเครื่องจูนสมองให้เข้าสมาธิ ซึ่งถ้าไม่เปิดเพลง ความคิดก็จะว่อกแว่กง่าย
อีกโหมดของการฟังเพลงคือตอนขับรถ จัดเป็นช่วงที่ได้ฟังเพลงเต็มที่ เพราะระหว่างขับรถ ตามองถนน มือบังคับพวงมาลัย เท้าเหยียบคันเร่งหรือเบรกตามสัญชาตญาณแบบอัตโนมัติ เราสามารถฟังเพลงจากรายการวิทยุช่องโปรด หรือแผ่นซีดี (ถ้ารถคุณรุ่นเก่าพอ) ภายในรถที่ปิดทึบ อาจร้องหรือฮัมเพลงตาม โดยเปิดเพลงดังแค่ไหนก็ได้แบบไม่รู้สึกผิดว่าจะรบกวนคนอื่น
ถือเป็นช่วงฟังเพลงเพื่อความรื่นรมย์ ปล่อยใจไปกับเนื้อร้องและทำนองเพลง ผ่อนคลายจากการจราจรที่มักติดขัด
การฟังเพลงอีกโหมด คือเพื่อเรียนรู้ดนตรีหรือเพลงที่ไม่คุ้นเคย แบบนี้จะไม่ทำอย่างอื่นเลย เปิดเพลงและตั้งใจฟังทุกเสียงที่ได้ยิน เครื่องดนตรีแต่ละชิ้น คนร้อง ท่วงทำนองซึมซับกับสิ่งที่ดนตรีกำลังสื่อสาร เช่นการหัดฟังเพลงคลาสสิกที่บรรเลงโดยวงออร์เคสตรา ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด ทั้งเครื่องสาย เครื่องเป่าลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง เครื่องให้จังหวะต่าง ๆ
ความสนุกของการหัดฟัง คือการท้าทายว่าเราได้ยินเสียงอะไร แยกแยะออกไหมว่าเครื่องดนตรีไหนกำลังเล่นอยู่
ถ้าเราคุ้นเคยกับเพลงหรือดนตรีที่เป็นของใหม่แล้ว วันหลังก็อาจเปิดเพลงนั้นในโหมดขับรถได้อย่างรื่นรมย์ หรือโหมดทำงานแบบให้เพลงผ่านหูช่วยสร้างสมาธิ
ในรายการโทรทัศน์เมื่อต้นปีนี้ (ปี ๒๕๖๘) นิโคล คิดแมน นักแสดงฮอลลีวูดมากฝีมือ ให้สัมภาษณ์กับพิธีกรซึ่งถามว่า ถ้าให้เลือกเพลงเดียวที่ต้องฟังไปตลอดชีวิตหลังจากนี้ จะเลือกเพลงอะไร
เธอคิดอยู่สักพักและบอกว่า John Cage “4' 33"”
คำตอบนี้ทำให้ผู้ชมหลายคนงง เพราะไม่เคยได้ยินชื่อเพลง จนต้องตามไปเปิดหาดูในยูทูบ
จอห์น เคจ เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอเมริกัน ซึ่งมีงานดนตรีแนวทดลองที่โดดเด่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ บทเพลง “4' 33"” ที่เขาแต่ง จัดแสดงครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๙๕๒ โดยนักเปียโน เดวิด ทิวเดอร์ (David Tudor) เป็นเพลงคลาสสิกที่ประกอบด้วยสามท่อน ท่อนที่ ๑ ยาว ๓๐ วินาที ท่อนที่ ๒ ยาว ๒ นาที ๒๓ วินาที และท่อนที่ ๓ ยาว ๑ นาที ๔๐ วินาที รวมทั้งเพลงยาว ๔ นาที ๓๓ วินาที ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเพลง
เมื่อการแสดงเพลงจบก็เรียกเสียงฮือฮา พร้อมกับเกิดข้อถกเถียงมากมายถึงความหมายของเพลงและดนตรี เพราะตลอดการแสดงนั้นนักดนตรีไม่ได้วางนิ้วบนคีย์เปียโนเลย เพียงเปิดฝาและปิดฝาเปียโนตอนขึ้นต้นและจบเพลงแต่ละท่อน
ทุกอย่างมีเพียงความเงียบ และเสียงบรรยากาศอื่น ๆ ที่ดังขึ้นเองในห้องแสดง
ผู้ฟังเพลงนี้บางคนอาจเข้าถึงเสียงของความเงียบ บางคนอาจสนุกกับการฟังเสียงลมหายใจ เสียงกระแอมไอ เสียงคนขยับตัว ฯลฯ และบางคนก็ไม่อาจเข้าใจเพลงนี้ได้เลย
จอห์น เคจ บอกว่าดนตรีประกอบขึ้นจากเสียงและความเงียบ บทเพลงนี้เขาอุทิศให้กับคุณค่าของความเงียบและเสียงต่าง ๆ รอบตัวที่เรามักมองข้าม เพราะเรามักได้ยินแต่เสียงที่เราต้องการฟัง
บางทีดนตรีที่ฟังยากที่สุดอาจคือความเงียบ
อาจเพราะเราชอบหลบซ่อนชีวิตภายใต้ความอึกทึกครึกโครมไม่กล้าเผชิญความรู้สึกลึก ๆ ภายในที่มักผุดขึ้นมาในความเงียบ
และถ้าให้เลือกเพลงเดียวที่สามารถฟังไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ คุณจะเลือกเพลงอะไร
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
ฉบับหน้า : Botanical Art
เมื่อวิทย์สานศิลป์