จากบรรณาธิการ
จำไม่ได้เลยว่าหัดใช้ตะเกียบเป็นตอนอายุเท่าไร แต่เมื่อเป็นลูกหลานเชื้อสายจีนก็เดาว่าแม่น่าจะสอนมาตั้งแต่เล็ก ๆ พอโตขึ้นเวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวกับกลุ่มเพื่อน ใครใช้ตะเกียบคล่องหรือไม่ ก็พอเดาได้ว่ามาจากครอบครัวจีนไหม แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางคนลูกหลานจีนก็จริงแต่ใช้ตะเกียบไม่คล่องก็มี
ตะเกียบมีประวัติความเป็นมายาวนานมาก หลักฐานว่าตั้งแต่ราว ๕,๐๐๐ ปีก่อนเลยทีเดียว แต่ใช้เป็นอุปกรณ์ทำครัว สำหรับคนหรือคีบอาหารในหม้อต้มใบใหญ่ ส่วนตะเกียบกินอาหารพบหลักฐานเป็นโบราณวัตถุอายุราว ๓,๐๐๐ ปี ทำด้วยทองเหลือง และยังมีบันทึกถึงการใช้ตะเกียบของจักรพรรดิจีนสมัยนั้นด้วย มีข้อสันนิษฐานว่าตะเกียบเริ่มแพร่หลายในยุคนั้นเพราะประชากรคนจีนเพิ่มมากขึ้นจนต้องหาวิธีประหยัดฟืนทำครัว โดยหั่นวัตถุดิบเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งจะสุกง่ายขึ้น และตะเกียบก็เหมาะพอดีกับการใช้คีบอาหารชิ้นเล็ก ๆ ยิ่งต่อมาเมื่อคนจีนรู้จักทำเส้นหมี่ราว ๒,๐๐๐ ปีก่อน ก็ไม่ต้องสงสัยว่าตะเกียบจะยิ่งเป็นที่นิยม
อุปกรณ์กินอาหารตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีแค่ไม่กี่อย่าง หนึ่ง มือ สำหรับหยิบ-จับ-ฉีก อาหารแข็ง สอง ช้อน สำหรับตักอาหารอ่อนหรือเหลว ซึ่งสองอย่างนี้น่าจะเก่าแก่ที่สุดและพบในทุกอารยธรรมทั่วโลก และสาม มีด สำหรับหั่นอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก
ส้อมน่าจะมาหลังสุด คือประมาณ ๑,๖๐๐ ปีก่อนในจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออก หลังจากนั้นใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะแพร่หลายไปถึงยุโรปจนกลายเป็นอุปกรณ์คู่กับมีด แทนการใช้มือจับอาหารที่ตัดแล้ว โดยเฉพาะชาวอิตาลีใช้ส้อมม้วนกินพาสต้าจนเป็นวัฒนธรรมบนโต๊ะอาหาร เช่นเดียวกับที่คนจีนใช้ตะเกียบคีบเส้นหมี่และกินอาหารทุกอย่าง
ความเรียบง่ายของแท่งไม้เรียวยาวสองอัน ทำให้ตะเกียบเป็นอุปกรณ์ที่น่าทึ่งมาก ๆ
ใครจะคิดว่าเราสามารถถือวัตถุยาว ๆ สองชิ้นด้วยมือข้างเดียว (เทียบกับการจับช้อน ส้อม มีด ซึ่งเป็นวัตถุชิ้นเดียว) แล้วใช้ส่วนปลายที่อยู่ห่างออกไปจากมือคีบอาหาร ไม่ว่าชิ้นใหญ่หรือเล็ก กลมหรือยาว หนักหรือเบา ยกขึ้นมาเข้าปากได้อย่างง่ายดาย
หลักการของตะเกียบอาจเทียบเคียงเข้ากับปรัชญาหยิน-หยางของเต๋า
ตะเกียบด้านในที่วางตรงง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เป็นฐานของการรับแรง เทียบได้กับหยิน ที่เน้นความนิ่งสงบ และด้านนอกที่ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจับให้กางเข้าออกตามขนาดวัตถุที่จะคีบและออกแรงหนีบ เทียบได้กับหยาง ที่เน้นการเคลื่อนไหว
การร่วมกันอย่างเหมาะเจาะของคู่หยินหยาง ทำให้ตะเกียบแฝงพลังที่ทำงานได้อย่างสมดุลและดีงามจนเหลือเชื่อ
ตามหลักเต๋า สรรพสิ่งทุกอย่างประกอบด้วยหยินและหยาง แม้จะมีคุณสมบัติตรงข้ามกัน อ่อนกับแข็ง เย็นกับร้อน นิ่งกับเคลื่อนไหว แต่ทั้งคู่ต้องพึ่งพากันเพื่อให้อยู่ในสภาวะสมดุล ถ้าอย่างใดมากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็จะเกิดปัญหา
ขงจื๊อ นักคิดคนสำคัญที่สุดของจีนและของโลก มีชีวิตอยู่ปลายยุคสงครามวุ่นวายระหว่างรัฐราว ๒,๕๐๐ ปีก่อน เขาสนับสนุนให้คนจีนใช้ตะเกียบ เพราะไม่ชอบมีดบนโต๊ะอาหาร เขาเห็นว่ามีดคม ๆ เป็นตัวแทนของอาวุธและความรุนแรง ขณะที่ตะเกียบปลายทื่อเป็นตัวแทนของสันติภาพและความสุขในครอบครัว ขงจื๊อยังเป็นผู้เสนอหลัก “มนุษยธรรม” ในการปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรมและความรักต่อประชาชน
งานวิจัยใหม่ ๆ พบว่าการฝึกให้เด็กเล็ก ๆ ใช้ตะเกียบคีบอาหารเป็น ยังช่วยพัฒนาสมองส่วนการคิดและวางแผน ฝึกความอดทนและการควบคุมตนเอง รวมถึงพัฒนาความจำและการเรียนรู้
ชวนให้คิดถึงความรักความอบอุ่นที่ยังเห็นได้บนโต๊ะอาหาร เวลาพ่อหรือแม่สอนให้ลูกใช้ตะเกียบ หรือช่วยคีบอาหารให้ลูกเล็ก ๆ ที่ยังใช้ตะเกียบไม่คล่อง
ฉบับนี้ สารคดี ขึ้นปีที่ ๔๑ ถือโอกาสชวนคนอ่านมากินอาหารเส้นอร่อย ๆ เพื่อการมีอายุยืนยาว และเวลาจับตะเกียบคีบเส้นก็อย่าลืมคิดถึงความสุขและสมดุลในชีวิตตามหลักหยินหยางด้วยนะครับ
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
ฉบับหน้า :
มนตร์รัก “แผ่นเสียง”
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์