ท้ายครัว
เรื่องและภาพ : กฤช เหลือลมัย
เมื่อคิดถึงการต่อสู้เพื่อขอคืนผืนดินถิ่นฐานบ้านเกิดจากการรุกคืบของโรงงานและกิจกรรมอุตสาหกรรม ไม่มีใครลืมวีรกรรมของชาวบ้านดงมะไฟ อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู ที่ร่วมกันคัดค้านเหมืองหินและโรงโม่หินในเขตเขาหินปูนภูผายา ผาฮวก ผาจันได มาอย่างยาวนานร่วม ๓๐ ปี การต่อสู้ทางกฎหมาย รวมตัวประท้วงในที่สาธารณะ ป่าวประกาศคุณค่าพื้นที่ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ตลอดจนการเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติที่สำคัญ แม้ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ถึงกับต้องสูญเสียผู้นำการประท้วงจากเหตุลอบสังหารถึงสี่คน แต่แล้วชัยชนะก็เป็นของชาวบ้านจนได้ เมื่อประทานบัตรเหมืองหินถูกยกเลิกในปี ๒๕๖๓
สี่ปีกับการฟื้นฟูพื้นที่ ปลูกต้นไม้เพิ่ม วางมาตรฐานเพื่อวันหน้าตามคำประกาศ “ปิดเหมืองหินและโรงโม่ ฟื้นฟูภูผาป่าไม้ พัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยว” ปีนี้พวกเขาจัดงานรำลึก “เทศกาลอาหารบ้านป่าดงมะไฟ” ที่ “จัดตั้ง” คือ “หมู่บ้านผาฮวกพัฒนาชาวประชาสามัคคี” วันที่ ๑๒-๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ เพื่อสนทนากับคนนอกวัฒนธรรม ถึงทรัพยากรอาหารที่เขามี เขาใช้ เขาสั่งสมเป็นองค์ความรู้อาหารพื้นถิ่น มีเวทีกลางที่อวดพืชผักและเห็ดป่าฤดูฝนกว่า ๖๐ ชนิด หมู่บ้านต่างๆ ส่งแม่ครัวพ่อครัวมือหนึ่งทำอาหารบ้านๆ ให้ผู้เข้าชมร่วมชิม ร่วมลงคะแนนตัดสินกับข้าวยอดนิยม...ซึ่งก็ปรากฏว่า อ่อมปู-แจ่วเห็ดไค ของบ้านผายา เฉือนกับข้าวของบ้านอื่นๆ อย่างก้อยหมากลิ้นฟ้า แกงหน่อไม้ ป่นกบ ส้มหน่อไม้ ไปแบบหวุดหวิด
เพราะว่าฝีมือปรุงมันอร่อยทัดเทียมกันน่ะสิครับ ใครเคยกินกับข้าวชาวบ้านที่เขาจงใจไม่ใส่ผงชูรสอย่างครั้งนี้ เป็นต้องติดใจแน่ๆ บอกเลย
ผมลองคุยกับคนดงมะไฟหลายคน พบว่าพวกเขา ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก รู้จักพืชผัก เห็ดสารพัดชนิดในพื้นที่ดีมากๆ เมื่อบวกกับวีรกรรมการต่อสู้เพื่อรักษาถิ่นฐานบ้านเกิด มันยืนยันอย่างไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาคือคนที่จะต้องมีชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมอาหารธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป...ต่อๆ ไป
ในงานมีวัตถุดิบอาหารทั้งสดๆ และแปรรูปแล้วหลายอย่าง ผมเองติดใจ “แหนมหน่อไม้” ที่ชาวบ้านต้มหน่อไม้จนสุก ลอกกาบ ขูดซอยเป็นเส้น หมักกับกระเทียม เกลือ และหนังหมูต้มนิดหน่อย รสชาติเขาดีมากครับ จิ้มป่นกบกินก็อร่อยแล้ว แต่ผมลองคั่วในกระทะบนเตาไฟ ใส่กระเทียมหอมแดงสับ พอเกรียมหอมดีแล้วตอกไข่โปะลงไป กลับด้านไปมาสักสองครั้ง
ไม่ต้องปรุงรสอะไรเลยครับ แค่นี้ก็สุดยอดมาก
“เทศกาลอาหารบ้านป่าดงมะไฟ” นับเป็นการเริ่มบทสนทนาใหม่ๆ ทั้งระหว่างคนดงมะไฟกันเองและนักท่องเที่ยวจากภายนอก ที่จะบอกเล่า เชื้อเชิญ ชวนชิมชวนเที่ยวไปใน “บ้าน” ที่ผ่านการต่อสู้แลกคืนมาด้วยชีวิตของคนดงมะไฟ สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นอย่างแท้จริงครับ...