Image

Image

โส้
ข่า/บรู
คนภู (เขา) พาน

ชาติพันธุ์อีสาน
หลากกลุ่มชนบนที่ราบสูง

เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง, ประเวช ตันตราภิรมย์

โส้ กะโซ่ บรู เป็นคำและผู้คนที่เกี่ยวพันกันอยู่แถวเทือกเขาภูพาน

โส้ในปัจจุบันกล่าวกันว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและศูนย์วัฒนธรรมไทโส้อยู่หน้าที่ว่าการอำเภอ  ส่วนผู้คนชาวโส้ส่วนใหญ่อาศัยหนาแน่นอยู่ในแถบตำบลนาโพธิ์ ตำบลนาเพียง ตำบลโพธิไพศาล

อีกกลุ่มตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้เชิงเขาภูพานด้านตะวันตก ที่บ้านปทุมวาปี ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ถูกเรียกว่าโส้ทะวืง

ข้ามเทือกเขาไปทางฟากใต้ของภูพาน เขตพื้นที่อำเภอดงหลวง อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม มีกลุ่มชาติพันธุ์โซ่ หรือกะโซ่ ที่สันนิษฐานว่าน่าจะกร่อนเสียงมาจากคำว่าข่าโซ่ ซึ่งเขียนในภาษาไทยด้วย ซ  ดังนามสกุลของโซ่ดงหลวงจำนวนมากที่เขียนว่าวงศ์กะโซ่ โซ่เมืองแซะ

โซ่ดงหลวงบางหมู่บ้านเรียกตัวเองว่าบรู แปลว่าภูเขา หมายถึงคนที่อยู่ในป่าเขา

ทั้งโส้ โซ่ กะโซ่ ข่าโซ่ บรู ล้วนเป็นชื่อที่เรียกกลุ่มชนคนท้องถิ่นแถวภูพาน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ด้วยลักษณะกายภาพ ภาษา และวัฒนธรรมเดียวกัน แต่เขียนและเรียกต่างกัน

ความสับสนของชื่ออันหลากหลายมาจากคำที่ตนเองเรียกและผู้อื่นเรียก

ชื่อที่ตัวเองเรียกมักหมายถึงคน เพื่อแยกจากภูตผีหรือสัตว์

ส่วนที่ผู้อื่นเรียกมักมีความหมายทางไม่ดี เป็นผี ไพร่ คนป่า ผู้ส่งบรรณาการ หรือไม่ก็เป็นคำที่ไม่มีความหมาย

โส้ โซ่ กะโซ่ ข่าโซ่ บรู ล้วนเป็นชื่อที่เรียกกลุ่มชนคนท้องถิ่นแถวภูพาน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ด้วยลักษณะกายภาพ ภาษา และวัฒนธรรมเดียวกัน แต่เขียนและเรียกต่างกัน มาจากคำที่ตนเองเรียกและผู้อื่นเรียก ชื่อที่ตัวเองเรียกมักหมายถึงคน เพื่อแยกจากภูตผีหรือสัตว์  ส่วนที่ผู้อื่นเรียกมักมีความหมายทางไม่ดี เป็นผี ไพร่ คนป่า หรือเป็นคำที่ไม่มีความหมาย

Image

Image

โส้ทั่งบั้ง ทุกวันนี้มักใช้ลำไผ่ขนาดกำรอบและยาวท่วมหัว เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง  ต่างจากในอดีตที่ต้องใช้ลำใหญ่ ๆ เท่าน่องเท่าขา ยาวสามปล้องกระทุ้งพื้นให้เกิดเสียงเป็นจังหวะ  ซึ่งทุกวันนี้ใช้การเปิดเครื่องเสียง

Image

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ระบุความหมายหนึ่งของ “โซ่” ว่า “กะเหรี่ยง”

“แต่โส้ หรือกะโซ่ ไม่ใช่กะเหรี่ยงหรือข่า” ตามคำยืนยันของคนโส้ ในหนังสือ ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช ศูนย์วัฒนธรรมไทโส้ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ของกองการศึกษา เทศบาลตำบลกุสุมาลย์ และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม “จากการสอบถามคนดั้งเดิมของไทโส้ก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่ข่า” 

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ระบุไว้ใน นิทานโบราณคดี ว่า “พวกกะโซ้เปนข่า...” และว่าชาวเมืองกุสุมาลย์ “นี้เปนข่าที่เรียกว่ากะโซ้...” ก็บ่งนัยว่า ข่า ไม่ใช่ชื่อชาติพันธุ์

แต่เป็น “การเหยียดทางชนชาติ” ตามความเห็นของ ธันวา ใจเที่ยง และคณะ ที่เขียนไว้ในบทความ “สังคมอุดมธรรมของชนชาติบรูกับสังคมอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในยุคการปฏิวัติประชาชนทศวรรษ ๒๕๐๐-๒๕๒๐” และ “ชนชาติพื้นเมืองและขบวนการปฏิวัติประชาชนของชนชาติบรูแห่งเทือกเขาภูพาน” ว่า ข่าไม่ใช่ชื่อชนชาติ แต่มาจากคำในตระกูลภาษาไท-กะได ใช้เรียกชนพื้นเมืองกลุ่มออสโตรเอเชียติกผู้พ่ายแพ้สงคราม หรือถูกล่าจับมาเป็นข้าทาส  เป็น “ลาวเทิง” ที่แยกจาก “ลาวลุ่ม” ผู้เป็นชนกลุ่มหลักของลาว ซึ่งลาวเทิงหรือบรูจะทำไร่ เก็บของป่า ล่าสัตว์ ตั้งถิ่นฐานตามภูเขา ดำรงอยู่อย่างอิสระ  กระทั่งเมื่อลาวสถาปนาอาณาจักรล้านช้างขึ้นมา ก็กดผู้คนกลุ่มออสโตรเอเชียติกที่ผิวคล้ำกว่าลงเป็นข่า  ครั้นสยามได้อำนาจเหนือล้านช้างข่าก็ตกเป็นข้าของสยามต่อมา

“ข่า” จึงเป็นคำเรียกรวม ๆ ที่ชาวอีสานใช้เรียกพวกที่อยู่ในป่าและแถบภูเขาที่ไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์หลักในแผ่นดินสยามในอดีต เป็นคำแสดงชนชั้นทางสังคม ตามข้อสันนิษฐานว่า ข่าอาจมาจากคำว่าข้า (ทาส) ซึ่งลาวเรียกว่าข่า แล้วคนไทยเรียกตามโดยไม่ได้ผันเสียง

นอกจากนี้ในพงศาวดารสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยังมีการกล่าวถึงคดีที่เจ้าเมืองจำปาสักฟ้องร้องเจ้าเมืองนครราชสีมา ที่ให้ทหารไป “ตีข่า” หรือจับชาวป่าในเขตปกครองของตนมาเป็นทาส

Image

หมอเหยาและพิธีเหยามีอยู่ทั่วไปในชุมชนแถบเทือกเขาภูพาน เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเข้าทรงและเสี่ยงทาย  ปรกติจะทำในชุมชน  แต่ในงาน “บรูไฮไทโซ่” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ หมอเหยาชาติพันธุ์โซ่หลายสิบคนมารวมตัวกันแสดงพิธีเหยาที่หน้าอำเภอดงหลวง ในมหกรรมของชาติพันธุ์ที่จัดกันง่าย ๆ โดยท้องถิ่นเอง แต่ดูมีมนตร์ขลัง ทรงพลัง และเห็นคุณค่าของการรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์

เอเตียน แอมอนีเย (Etienne Aymonier) นักวิชาการชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาสำรวจภาคอีสานและลาว ช่วงต้นรัชกาลที่ ๔ เมื่อปี ๒๔๒๕ บันทึกถึงการจับข่าค้าทาสว่า ชาวป่าที่อาศัยอยู่บนภูเขาในเมืองอัตตะปือ แขวงจำปาสัก มีหลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งมีวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มแตกต่างกันไป  บางกลุ่มยอมจ่ายค่าส่วยให้แก่เจ้าเมืองก็จะได้รับความคุ้มครอง แต่กลุ่มที่กระจายอยู่ในป่าลึกและไม่ยอมรับเป็นพลเมืองด้วยการเสียส่วยก็มักถูกล่าจับไปเป็นทาส

เอเตียนเล่าถึงข่าบรูว่า อาศัยอยู่ทางใต้ของเมืองอัตตะปือ คนวัยหนุ่มสาวจะใช้ก้อนหินฝนฟันข้างบนจนเหี้ยนติดเหงือก ผู้ชายตัดผมสั้น แต่บนศีรษะปล่อยยาวลงมาด้านหลังเพื่อขมวดมวย นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว  ผู้หญิงสวมเสื้อไม่มีแขน ปิดเพียงหน้าอก นุ่งผ้ายาวแค่เข่า

และบันทึกถึงรายละเอียดการล้อมจับข่าว่า คนลาวหรือชนเผ่าอื่นจะรวมกลุ่มกันที่บ้านหัวหน้า กลุ่มละ ๕๐ หรือเป็นร้อยคน ใช้ว่านทาตัวให้หนังเหนียว ต้มเครื่องยารากไม้ดื่มกิน รดตัว ให้คงกระพันชาตรี  การออกเดินทางไปจับข่าถือเรื่องโชคลาง หากได้ยินเสียงนกบางชนิดร้องสองข้างทางถือว่าเป็นฤกษ์ดี มีความฮึกเหิม แต่หากร้องแค่ทางซ้ายมือถือว่าจะโชคร้าย  เมื่อไปถึงที่หมายจะแยกย้ายกันล้อมหมู่บ้านข่าไว้ตอนกลางคืน พอเช้าก็กรูเข้าจับเด็ก ผู้หญิง มัดใส่ขื่อคานำไปขายที่ตลาดค้าทาส ผู้ชายที่ต่อสู้จะถูกฆ่า  ข้าทาสจากภูเขาตะวันออกมีราคาสองหรือสามแท่งเงิน หรือเท่ากับควายห้าหรือหกตัว เมื่อมาถึงเมืองดอนโขงจะขายได้คนละสี่ถึงหกแท่งเงิน

จิตร ภูมิศักดิ์ ปัญญาชนนักนิรุกติศาสตร์ บันทึกเรื่องการตีข่าในลาวไว้ใน ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ว่า “ในสมัยหนึ่งนั้น ข่าเผ่าเดียวเคยมีจำนวนถึง ๓ แสนคน แต่ได้ถูกลดจำนวนลงจนเหลือไม่กี่พันเพราะการสังหารหมู่ของพวกคนไทย  นิยายเก่า ๆ ของลาวเทิง (พวกข่า) ยังมีเล่ารำลึกถึงทุ่งนาที่นองไปด้วยเลือด แม่น้ำลำธารอืดตัน และหุบเขากองท่วมท้นไปด้วยซากศพ  พวกรอดพ้นการสังหารมาได้ก็ถูกพวกคนไทยกวาดต้อนไปเป็นข้าทาสหรือขายให้แก่ลาวลุ่ม (หัวเมืองอีสาน) เพื่อใช้เป็นข้าทาส”

“ข่า” จึงเป็นคำเรียกรวม ๆ ที่ชาวอีสานใช้เรียกพวกที่อยู่ในป่าและแถบภูเขาที่ไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์หลักในแผ่นดินสยามในอดีต เป็นคำแสดงชนชั้นทางสังคม ตามข้อสันนิษฐานว่า ข่า อาจมาจากคำว่าข้า (ทาส) ซึ่งลาวเรียกว่าข่า แล้วคนไทยเรียกตามโดยไม่ได้ผันเสียง

วิถีชีวิตชาติพันธุ์อีสานจะเกี่ยวพันอยู่กับผีและขวัญ ทั้งในชีวิต ที่อาศัย สัตว์เลี้ยง แหล่งอาหาร  ในภาพนี้เป็นพิธีบูชาเล้าข้าวของโซ่ดงหลวง

Image

หมอเหยา หรือแม่แก้ว หรือแม่เมือง ตามที่เรียกกันในแต่ละท้องถิ่น  ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง น้อยที่จะมีผู้ชายอย่างพ่อใหญ่ที่เห็นในภาพ  รวมทั้งมีข้อมูลว่าตอนหลังมีกลุ่มหลากเพศด้วย รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา 

กระทั่งฝรั่งเศสเข้ายึดครองนครจำปาสัก ได้ประกาศห้ามจับชาวป่ามาเป็นทาส ตลาดค้าทาสก็หมดไป

ส่วนในสยาม เจ้าเมืองในหัวเมืองอีสานเคยให้ทหารไปจับข่ามาเป็นทาสอยู่เนือง ๆ จนในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงมีตราโปรดเกล้าฯ ถึงเจ้าเมืองทางอีสาน “ห้ามมิให้จับข่า มาซื้อขายแลกเปลี่ยน และใช้สอยการงานต่าง ๆ” ส่วนข่าที่ซื้อขายกันก่อนนั้นให้คงอยู่กับมูลนายเดิมไป  ให้ชั้นหลานเหลนหลุดพ้นจากการเป็นทาส เป็นพลเมืองเสียส่วยตามธรรมเนียมบ้านเมือง

Image

กลุ่มชาติพันธุ์ที่คนอื่นเรียกข่าโซ่ กะโซ่ หรือโส้ ออกเสียงเรียกตัวเองว่าโซร เสียง ซ และ ร ควบกัน ทุกวันนี้มีอาศัยอยู่ในภาคอีสานตอนบนแถบเทือกเขาภูพาน ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร (อำเภอกุสุมาลย์ อำเภอพรรณานิคม อำเภอส่องดาว อำเภอเมืองสกลนคร)  จังหวัดนครพนม (อำเภอศรีสงคราม อำเภอท่าอุเทน อำเภอบ้านแพง อำเภอปลาปาก อำเภอนาแก อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอเมืองนครพนม)  จังหวัดมุกดาหาร (อำเภอดงหลวง อำเภอดอนตาล อำเภอคำชะอี อำเภอเมืองมุกดาหาร)  จังหวัดกาฬสินธุ์ (อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอสมเด็จ) และอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย ประชากรรวมทั้งสิ้นราว ๓ หมื่นคน

เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นักภาษาศาสตร์จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก สาขามอญ-เขมร สาขาย่อยกะตูอิกเหนือ ซึ่งไม่มีเค้าและฟังกันไม่ออกกับภาษาไทย-ลาว  มีเฉพาะภาษาพูด ไม่มีตัวเขียน แต่เมื่อปี ๒๕๖๕ ได้มีการจัดทำ “ระบบเขียนภาษาโทรฺด้วยอักษรไทย” ขึ้นเพื่อบันทึกเรื่องเล่า ภูมิปัญญา นิทาน ชื่อพืชพื้นบ้าน และผลิตสื่อการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนในท้องถิ่นอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร พื้นที่แรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและยังมีคนโส้อาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในปัจจุบัน

คราวสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการมณฑลอุดรอีสานเมื่อปี ๒๔๔๙ ทรงบันทึกถึงเมืองกุสุมาลย์ไว้อย่างละเอียด ซึ่งเวลานั้นเป็นหัวเมืองใหญ่ในอีสานเช่นเดียวกับเมืองท่าอุเทน

“พระอรัญอาสา ผู้ว่าราชการเมืองกุสุมาลย์กับกรมการกำนันผู้ใหญ่บ้านแลราษฎรชายหญิงมารับเปนอันมาก ชาวเมืองนี้เปนข่าที่เรียกว่ากะโซ้  เดิมมาจากเมืองมหาไชยกองแก้ว ผู้หญิงไว้ผมสูงแต่งตัวนุ่งสิ้นสวมเสื้อกระบอกย้อมครามห่มผ้าแถบ ผู้ชายแต่งตัวอย่างคนชาวเมือง แต่เดิมว่านุ่งผ้าขัดเตี่ยวไว้ชายข้างหน้าชายหนึ่งข้างหลังชายหนึ่ง มีภาษาที่พูดคล้ายสำเนียงมอญ” 

Image

ร้อยกว่าปีแฟชั่นชาวโส้ ปี ๒๔๔๙ เทียบกับปี ๒๕๖๖ รูปแบบการนุ่งห่มแทบไม่เปลี่ยน ทั้งเส้นด้าย ลายผ้า ซึ่งตามข้อมูลว่ามี ลายหวีใหญ่ ลายหยักยาว ๆ เรียงขนานเป็นแนวคล้ายซี่หวี, 
ลายนาคหวี ลายหยักยาว ๆ คล้ายลำตัวพญานาค, ลายบักจับ เป็นดอกเล็ก ๆ คล้ายดอกกระจับ, ลายดอกกระเจียว ประยุกต์จากธรรมชาติเป็นลายคล้ายดอกกระเจียว, 
ลายหมี่ขอ ลายหยักยาว ๆ ปลายลายหักมุมงอคล้ายรูปตะขอ หรือส่วนของกิ่งก้านต้นไม้ที่มีความหักงอ, 
ลายโซ่ ลายเป็นข้อต่อกันยาว ๆ คล้ายสายโซ่, ลายหน่วย เลียนแบบจากลูกผลไม้ที่ชาวถิ่นเรียกหน่วย เป็นลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เนื่องจากการทอไม่สามารถทำให้เป็นวงกลม ตรงกลางเป็นสี่เหลี่ยมทึบตันขนาดเล็ก เป็นเหมือนเมล็ดของผลไม้ เป็นต้น  
ส่วนสีเน้นย้อมคราม ซึ่งกลุ่มผู้หญิงโส้บ้านคำฮากในภาพนี้กล่าวว่า ผ้าฝ้ายย้อมครามช่วยให้เนื้อหนังอยู่เย็นเป็นสุข

เมืองกุสุมาลย์เริ่มก่อร่างขึ้นในปี ๒๓๘๑ เมื่อเจ้าเมืองสกลนครนำกำลังพลไปเกลี้ยกล่อมชาวหัวเมืองลาวทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขงให้ข้ามมาอยู่ฝั่งตะวันตก ไม่ให้เป็นแหล่งสนับสนุนกองทัพญวน  ในช่วง ๔-๕ ปีต่อมา หัวหน้า “ข่ากะโซ้” หลายคนนำครอบครัวบ่าวไพร่มาอาศัยอยู่แถบรอบเมืองสกลนคร

กลุ่มที่นำโดยเพี้ยเมืองสูงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ริม “กุดขมาน” ก่อนโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็น “เมืองกุสุมาลย์มณฑล” ขึ้นต่อเมืองสกลนคร เมื่อปี ๒๓๘๗  ท้าวเพี้ย-เมืองสูงเป็นหลวงอรัญอาสา เจ้าเมืองคนแรก กระทั่งถึงแก่กรรมในปี ๒๔๑๙  ลูกชายชื่อกิ่งได้บรรดาศักดิ์หลวงอรัญอาสา เป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา และได้รับเสด็จสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพคราวเสด็จตรวจราชการ ปี ๒๔๔๙

บ้านของหลวงเอกอาสาตามบันทึกของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอยู่ลึกจากเส้นทางสายสกลนคร-กุสุมาลย์ในทุกวันนี้ เข้าไปยังบริเวณที่เรียกโนนสาวเอ้ ตำบลเมืองเก่า แต่ต่อมาเกิดโรคฝีดาษระบาดและขาดน้ำท่า หลวงอรัญอาสาจึงย้ายออกมาอยู่ข้างวัดกลาง ในเขตเทศบาลตำบลกุสุมาลย์ปัจจุบัน

หลวงอรัญอาสาจากโลกไปนานแล้ว แต่บริเวณที่ตั้งบ้านยังอยู่ ตกทอดมาถึงหลานเหลนรุ่นที่ ๕ เป็นผู้ดูแล รวมทั้งสืบทอดความเป็นโส้และรักษาประเพณีไว้เหนียวแน่น โดยเฉพาะในวันตรุษใหญ่ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓

พิธี “เหยา” ของชาวโส้ เป็นพิธีกรรมติดต่อกับผีผ่านการเข้าทรงเพื่อรักษาโรค เรียกขวัญ บน และบะ (แก้บน)  เซ่นไหว้ ซึ่งบางบ้านจะจัดเหยาในวันงานบุญ  หรือหากจัดที่บ้านหมอเหยาจะเรียกว่าลงสนาม

Image

โส้ทั่งบั้งกำเนิดมาจากการกระทุ้งบั้งไม้ไผ่เป็นจังหวะให้คนในพิธีเหยาเต้นรำ ที่กลายเป็นการแสดง “โส้ทั่งบั้ง” ต่อมา แต่การทั่งบั้งในพิธีเหยาอย่างเดิมก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะงานบุญประจำปี วันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓  ในภาพนี้เป็นพิธีเหยาที่บ้านพระอรัญอาสา เจ้าเมืองกุสุมาลย์ซึ่งลูกหลานยังเก็บรักษาภาพสมัยทวดเอาไว้ 

Image

Image

วันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ของปี จะเป็นวันงานประเพณีไหว้ผีของชุมชนแถบรอบภูพาน-อีสานเหนือ ตอนหลังมีงานมหกรรม “โส้รำลึก” ซึ่งเป็นงานใหญ่ของทางการ จัดหน้าที่ว่าการอำเภอกุสุมาลย์ในอีกวันถัดมา หลังจากผู้นำพิธีและชาวโส้ได้ประกอบพิธีกรรมตามประเพณีในชุมชนเสร็จสิ้นแล้ว

ชุมชนใหญ่แห่งหนึ่งของชาวโส้อยู่ที่บ้านคำฮาก อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ชุมชนจะคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่  คนในหมู่บ้านจะนำไก่ตัว เทียนคู่ ผัก ปลา อาหารสดมายังบ้าน “จ้ำ” ผู้นำพิธีซึ่งรับการแต่งตั้งโดยสืบทอดในสายตระกูลและเลือกเป็นบุคคลที่ประพฤติดีให้เป็นเจ้าจ้ำ หรือกวนจ้ำ ตามที่เรียกกันในแต่ละท้องถิ่น ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผีกับคน ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเสี่ยงทาย การบนบานและการแก้บน บวงสรวง และการเชื้อเชิญผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากภพภูมิอื่นมารับการเซ่นไหว้ ดื่มกินให้สำเริงสำราญ

วัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่แต่ละคนนำมาจะถูกนำมารวมกับไก่ ปลาธรรมชาติในนาในหนองที่เจ้าของบ้านหาเตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อนงาน จากนั้นช่วยกันติดเตาหุงปรุงอาหารพื้นบ้านของชาติพันธุ์สำหรับเซ่นไหว้และเลี้ยงพี่น้องที่มาร่วมงาน

“เอาเหล้าไหไก่ตัวมารวมกัน เป็นวันมีความสุขสนุกสนาน มีปัญหาอะไรก็มาคุยกัน” ตามคำเล่าของผู้เฒ่าชาวโส้

เหล้าไหของชาวโส้ความจุหลายลิตร  ไหเดียวดื่มด้วยกันได้ทั้งงาน ซึ่งเจ้าภาพใช้ข้าวเหนียว แกลบ และเชื้อแป้งที่ทำจากสมุนไพรท้องถิ่นหลายชนิด หมักเตรียมไว้ก่อนวันงานหลายสัปดาห์  เมื่อถึงวันงานกรอกน้ำเติมลงจนเต็มไห ใช้หลอดไม้ไผ่สองหลอดปักลง แล้วดื่มพร้อมกันครั้งละสองคน ได้รสหอมหวานและความรื่นเริงไปด้วยกัน  เป็นมิตรภาพเชิงวัดใจกันของพวกหนุ่ม ๆ ลูกผู้ชายในวันงานบุญของชาติพันธุ์

งานบุญประจำปีโส้บ้านคำฮาก มีการนำของเก่าสะสมที่เก็บสืบทอดกันมา ออกมาวางในพิธีบวงสรวง หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีจะดูดอุไหโตด้วยกัน

บ้านของจ้ำที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมตั้งอยู่มุมสี่แยกกลางชุมชนคำฮาก ตัวบ้านเป็นเรือนไม้โบราณหลังใหญ่มีเสาหลายสิบต้น ยกพื้นใต้ถุนสูง หน้าบ้านเป็นลานหญ้าราบกว้าง มีพุ่มมะขามต้นใหญ่เป็นร่มเงาให้แคร่ไม้ไผ่ที่เจ้าของบ้านวางไว้ต้อนรับแขกเหรื่อ

พิธีเซ่นไหว้ทำในช่วงเวลาสั้น ๆ ในห้องหนึ่งบนบ้านของจ้ำซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามพิเศษ พิธีกรรมเริ่มจากนำของโบราณพวกผ้าฝ้าย ผ้าไหม เขาเขี้ยวงาสัตว์ ศาสตราวุธ เงินเหรียญ เครื่องปั้นดินเผา และของเก่าหายากอีกหลากหลายที่สะสมตกทอดกันมา แกะห่อออกมาเช็ดถูทำความสะอาด วางในพิธี นำเครื่องคาย (เซ่น) มาวาง จ้ำและกลุ่มผู้นำในพิธีกล่าวเชื้อเชิญและโต้ตอบกันด้วยคำภาษาโส้ ทอดเวลาไปชั่วครู่ก็เสร็จสิ้นการเซ่นไหว้

จากนั้นเป็นการร่วมฉลองดื่มกินของผู้มาร่วมงาน ซึ่งนอกจากสำรับอาหารหลากหลายที่เป็นเมนูประจำของชาติพันธุ์ เครื่องดื่มหลักของงานประเพณีของชาวโส้คือเหล้าไห คล้ายเหล้าอุที่หมักด้วยข้าวและแกลบของชาวผู้ไทที่มีวางขายตามร้านของฝากและบูทงานโอทอป แต่เหล้าไหของชาติพันธุ์โส้ขนาดใหญ่กว่ามาก ความจุหลาย ๆ ลิตร ไหเดียวดื่มด้วยกันได้ทั้งงาน ซึ่งเจ้าภาพใช้ข้าวเหนียว แกลบ และเชื้อแป้งที่ทำจากสมุนไพรท้องถิ่นหลายชนิด หมักเตรียมไว้ก่อนวันงานหลายสัปดาห์ เมื่อถึงวันงานกรอกน้ำเติมลงจนเต็มไห ใช้หลอดไม้ไผ่สองหลอดปักลง แล้วดูดพร้อมกันครั้งละสองคน ช่วยกันดูดให้น้ำที่เอ่อปากไหยุบลงไป เติมน้ำใหม่เพิ่มแล้วให้คู่ต่อ ๆ ไปวนมาดูดต่อ ได้รสหอมหวานและความรื่นเริงไปด้วยกัน

เป็นมิตรภาพเชิงวัดใจกันของพวกหนุ่ม ๆ ลูกผู้ชายในวันงานบุญของชาติพันธุ์

ล้อมวงดูดเหล้าไหเป็นภาพที่ยังมีให้เห็นยามมีงานบุญในวันนี้ ด้วยขนาดของไหเหล้าที่ไม่เล็กลงไปกว่าเมื่อย้อนเวลากลับไปได้นับร้อยปี ในคราวสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการมณฑลอุดรอีสาน ปี ๒๔๔๙ ซึ่งมีการถ่ายภาพไว้ และในพระนิพนธ์ นิทานโบราณคดี ว่า “มีหม้ออุตั้งอยู่กลางหม้อหนึ่ง คนเล่นเดินเป็นวงรอบหม้ออุ...เล่นพักหนึ่งแล้วก็นั่งลงกินอุ แล้วก็ร้องรำไปอีกอย่างนั้น” 

เป็นส่วนหนึ่งของการละเล่นในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชาวโส้ที่เรียกว่าสะลา ซึ่งกลายมาเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทุกวันนี้ว่า “โส้ทั่งบั้ง”

Image

เส็งกลอง หรือการตีกลองกิ่งประชันเสียงกัน

“แล้วพวกผู้ชายมีการเล่นเรียกว่าสะลา คือมีหม้ออุตั้งกลาง แล้วคนต้นบทคนหนึ่ง คนสพายน่าไม้และลูกสำหรับยิงคนหนึ่ง ตีฆ้องซึ่งเรียกว่าพะเนาะคนหนึ่ง คนถือไม้ไผ่ท่อนสามปล้องสำหรับกระทุ้งดินเปนจังหวะสองคน คนถือชามสองมือสำหรับติดเทียนรำคนหนึ่ง คนถือก้นตะแกรงขาดสองมือสำหรับรำคนหนึ่ง แล้วคนถือมีดถือสิ่วหักสำหรับเคาะจังหวะคนหนึ่ง รวม ๘ คน เดินร้องรำเปนวงเวียนไปมาพอได้พักหนึ่งก็ดื่มอุแลร้องรำต่อไป  ดูสนุกกันเองไม่ใคร่อยากเลิก เวลาเลิกแล้วก็ยังฟ้อนกันเรื่อยตลอดทางไป”

การแสดงที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้เมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการปี ๒๔๔๙ และมีละเล่นกันต่อมา ต้นกำเนิดมาจากการทั่งบั้งในพิธี “เหยา” ของชาวโส้ พิธีกรรมติดต่อกับผีผ่านการเข้าทรงที่เกี่ยวกับการรักษาโรค เสี่ยงทาย เรียกขวัญ บนและบะ (แก้บน) เซ่นไหว้ ซึ่งบางบ้านจะจัดเหยาในวันงานบุญใหญ่ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ หรือวันปีใหม่โส้ไปด้วย

พี่น้องเพื่อนบ้านของ อาภรณ์ ไพราชสูง เหลนรุ่นที่ ๕ ของหลวงอรัญอาสา (กิ่ง) มาช่วยกันห่อข้าวต้ม ขนมหลักในพิธี ที่บ้านข้างวัดกลางในเขตเทศบาลตำบลกุสุมาลย์ตั้งแต่ก่อนวันงาน เช่นเดียวกับเครื่องประกอบพิธีอย่างอื่น ซึ่งรวมถึงอาหาร ขนม ผลไม้ เครื่องใช้ ศาสตราวุธ ผ้าโบราณ ได้รับการนำมาปัดฝุ่นทำความสะอาด เตรียมใช้ในพิธี

บริเวณที่ใช้ประกอบพิธีกรรมเป็นเรือนหลังหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยประจำ และบางห้องของบ้านเป็นเหมือนหอบรรพบุรุษที่ห้ามคนนอกตระกูลล่วงล้ำ

มีการแต่งคายขันห้า หรือเครื่องเซ่นในพิธี ประกอบด้วย ไข่ไก่ ข้าวสาร กระบอกไม้ไผ่ หน้าไม้ เงิน ง้าว หมอน น้ำหอม เหล้าขาว และโดยเฉพาะเกลือ พริก ผักต้ม ซึ่งลูกหลานบอกว่าเป็นอาหารประจำของปู่พระอรัญ

พิธีเหยาเริ่มขึ้นพร้อมการบรรเลงแคน พิณ กลองตุ้ม กลองแต้ ฉิ่ง ฉาบ และเครื่องดนตรีชิ้นสำคัญที่สุดคือบั้ง เป็นท่อนไผ่ขนาดน่องยาวสามปล้อง ใช้กระทุ้งหรือทั่งพื้นเป็นจังหวะให้คนในพิธีและผีบรรพบุรุษได้ฟ้อนรำเมื่อเข้าทรง

โส้รำลึก งานบุญใหญ่ประจำปีของโส้กุสุมาลย์ ที่จัดใหญ่เป็นที่รู้จักไปทั่วอีสาน และต่อเนื่องมาเป็นปีที่ ๔๓ แล้วในปี ๒๕๖๗

โดยหมอเหยาจะเรียกผีบรรพบุรุษมาเข้าทรงลูกหลานคนที่รับสืบทอด และจะกลายเป็น “ลูกเมือง” ของหมอเหยาที่มีฐานะเป็น “แม่เมือง” ด้วย เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ที่เกาะเกี่ยวกันเหนียวแน่นกว้างไกล แม่เมืองบางคนมีลูกเมืองหลายร้อยคน ยามมีงาน “ลงสนาม” หรืองานเหยาใหญ่ ซึ่งเป็นงานบุญสำคัญที่หมอเหยาทุกคนจะจัดไหว้ครูทุก ๓ ปี ลูกเมืองจะมาชุมนุมกันพร้อมหน้า  งานยาวต่อเนื่อง ๒ วัน ๒ คืน เต็มไปด้วยการร่ายรำขับกล่อมบรรเลงดนตรีที่ต้องใช้แรงกายมาก แต่หมอเหยาส่วนใหญ่แม้เป็นหญิงสูงวัยก็ไม่เห็นท่าทีเหน็ดเหนื่อยในระหว่างงาน

หมอเหยาและพิธีเหยามีอยู่ทั่วไปในชุมชนชาวโส้และกะโซ่ทางฟากทิศใต้ของเทือกเขาภูพานตะวันออก  ในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ หมอเหยาในแต่ละชุมชนจะมารวมตัวกันหน้าที่ว่าการอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ในงาน “บรูไฮไทโซ่” งานมหกรรมของชาติพันธุ์ที่จัดกันง่าย ๆ โดยท้องถิ่นเอง แต่ดูมีมนตร์ขลัง ทรงพลัง และได้เห็นคุณค่าของการรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์

จากนักเก็บของป่าล่าสัตว์ ตั้งถิ่นฐานตามภูเขาอย่างอิสระ สมัยหนึ่งในยุคสงครามประชาชน โซ่ดงหลวงได้กลายเป็นกำลังพลหลักสำคัญกลุ่มหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ (พคท.) ในเขตงานฐานที่มั่นภูพาน 

เพลง “คนภูเขา” เพลงเพื่อชีวิตในขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม ที่ วิสา คัญทัพ แต่งให้วงคาราวานขับร้อง ก็อาจมาจากคำแปลที่ตรงตัวของคำว่าบรู-คนภูเขา สดุดีนักสู้คนกล้ากลางป่าเขา ผู้อุทิศตนเพื่อความใฝ่ฝันถึงความเท่าเทียมและเป็นธรรมให้กับคนต่ำต้อยผู้ด้อยโอกาสและถูกกดขี่ดุจข้าทาส

...คือคนคงคู่คน เปล่งเสียงสู้เหนือภูพาน
คือผู้ที่อยู่ป่า เป็นแนวหน้ากลางป่าเขา
คือดาวที่วาวเงา อันทอดดวงเพื่อปวงชน...

สถานการณ์ทางสังคมการเมืองผ่านแปรผันไปตามปัจจัยเงื่อนไข แต่คนยังอยู่ สืบทอดความบรูอยู่ในสายเลือดและสายธารวัฒนธรรม อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีแสดงให้เห็นอยู่ทุกปีในมหกรรมงานบุญเดือนสามของชาติพันธุ์โส้ “บรูไฮไทโซ่” และ “โส้รำลึก”