ย้อ
ข่า/กลาง
ชาติพันธุ์อีสาน
หลากกลุ่มชนบนที่ราบสูง
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง, ประเวช ตันตราภิรมย์
บ้านข่า เป็นหมู่บ้านใหญ่ในอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ชื่อบ้านพ้องกับชื่อเรียกขานชนกลุ่มหนึ่ง
แต่หมู่บ้านนี้เป็นชุมชนคนชาติพันธุ์ย้อ ไม่มีข่าในหมู่บ้าน
“บ้านข่าเดิมทีข่าขอมอาจตั้งถิ่นฐานมาก่อน คนเฒ่าเล่าเขาหนีไปเหลือเศษอิฐปูน คนย้อบอกเป็นบ้านข่ามาก่อน ตั้งชื่อบ้านตามผู้อยู่มาก่อน”
ตามคำเล่าของ ชิน ทีสุกะ ย้อบ้านข่า ผู้เฒ่าเกิดที่หมู่บ้านนี้เมื่อปี ๒๔๘๒
“ตอนผมเกิดมีบ้านราว ๑๐๐ กว่าครัวเรือน บ้านยกพื้นสูงพ้นหลังวัวควาย เลี้ยงสัตว์อยู่ใต้ถุนบ้าน ตอนนี้บ้านข่ามีห้าหมู่บ้าน เกือบ ๒,๐๐๐ หลังคาเรือน ถ้าทั้งตำบลบ้านข่า ๑๔ หมู่บ้าน ในหมู่บ้านแออัดขยายออกไปอยู่ในทุ่งนาด้วยไปทำโคกหนองนา เทศบาลทำไฟฟ้าน้ำประปาไปถึง”
บ้านข่าเป็นถิ่นคนข่ามาก่อน แล้วคนย้อมาจากไหน
ผู้เฒ่าชินเล่าความเป็นมาของหมู่บ้าน
ย้อถือเป็นชนส่วนน้อยของอีสานที่มีคนชาติพันธุ์ลาวเป็นกลุ่มหลัก และส่วนใหญ่ย้อก็ปรับตัวกลมกลืนเข้ากับคนลาว ทั้งการแต่งกาย ภาษา อาหาร โดยเฉพาะอาหารหลักประจำวันอย่าง ข้าวเหนียวส้มตำ แต่คงมีน้อยคนที่รู้ว่าครกดินเผาที่ใช้ตำบักหุ่งกันอยู่นั้น ส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของคนย้อ
ครกดินปั้นที่ปั้นเสร็จสิ้น ผึ่งแดดลมจนแห้งดี จะเป็นครกส้มตำโดยสมบูรณ์ เมื่อผ่านการเผาในเตาต่อเนื่อง ๔ วัน
การปั้นครกส้มตำจากแต่เดิมปั้นด้วยมือและใช้แรงคนหมุนแป้น ทุกวันนี้มีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยหมุนและมีแม่พิมพ์ให้ใช้ ทำให้ปั้นได้เร็วและขนาดเดียวกัน แต่การเผายังคงใช้เตาฟืนแบบกรรมวิธีโบราณ
เตาเผาใส่ครกส้มตำได้ ๒,๐๐๐ ใบ ภายในเรียบเป็นเงาวาวเหมือนน้ำเคลือบเซรามิก ซึ่งเกิดจากการหลอมเหลวของแร่ธาตุในดินเป็นลักษณะเดียวกับผิวครกดินเผาที่เงาวาวเหมือนสีเหล็ก หลังเผาในเตา ๔ วัน
“ย้อบ้านข่ามาจากเมืองปุงลิง ตอนกลางของลาว แขวงคำม่วน หลังเจ้าอนุวงศ์ถูกปราบกบฏ คนย้ออพยพจากอุเทน ไชยบุรี แล้วมาตามแม่น้ำสงคราม ขึ้นฝั่งอยู่บ้านสามผง ทางนั้นเป็นคนลาว ปู่พึ้มที่หัวหน้านำมา สำรวจพบหนองสังข์ เลยมาตั้งถิ่นฐานอยู่ฝั่งตรงข้าม พี่น้องไปตั้งนามสกุลกันเป็นกลุ่ม คนบ้านข่าเป็นลูกหลานปู่พึ้มทั้งหมด”
คนย้อบ้านข่าใกล้ชิดศาสนา ผูกพันอยู่กับวัดและการทำบุญ ตามที่ผู้เฒ่ายืนยัน
“พุทธบ้านข่าไม่ถือผี เพราะนับถือครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ศาลพระภูมิไม่มี”
ทุกวันนี้ทุกเช้าคนเกือบทั้งหมู่บ้านข่าจะตั้งแถวใส่บาตร ตลอดแนวถนนกลางหมู่บ้าน เป็นแถวยาวนับร้อย ๆ คน เป็นวิถีชีวิตจริงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด
ตามข้อมูลชนเผ่าในสกลนครว่า ย้อส่วนหนึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ปากน้ำสงคราม ริมฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี ๒๓๕๑ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ย้อเมืองไชยบุรีถูกกองทัพเจ้าอนุวงศ์กวาดต้อนกลับไปฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้ไปอยู่เมืองปุงลิงในแขวงคำม่วนอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนกลับมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงเมื่อปี ๒๓๗๓ ที่เป็นอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปัจจุบัน
ภาพเก่าเมื่อปี ๒๔๔๙ บรรยายภาพว่า หญิงชาวย้อกับอุปกรณ์หาปลา สะท้อนว่าย้อคงมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับน้ำ ตั้งแต่สายน้ำหลักอย่างแม่น้ำโขง จนถึงแม่น้ำสงคราม ที่ชาวย้อ บ้านข่าตั้งถิ่นอยู่ในทุกวันนี้
ย้อส่วนหนึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ปากน้ำสงคราม ตั้งแต่ปี ๒๓๕๑ ต่อมาถูกกองทัพเจ้าอนุวงศ์กวาดต้อนกลับไปฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ไปอยู่เมืองปุงลิงในแขวงคำม่วนอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนกลับมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงเมื่อปี ๒๓๗๓ ที่ท่าอุเทน
ตามในบันทึก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปตรวจราชการมณฑลนครราชสีมาและมณฑลอุดรอีสาน ร.ศ. ๑๒๕ พ.ศ. ๒๔๔๙ มีว่า
“ชาวเมืองท่าอุเทนนี้ว่าเป็นคนชาติย้อโดยมาก แต่แต่งตัวอย่างชาวเมือง ภาษาพูดก็เหมือน ๆ กัน เปนแต่สำเนียงเพี้ยนกันบ้าง พระศรีวรราชเล่าว่า พวกย้อนี้เดิมอยู่เมืองไชยบุรีเมื่อครั้งขึ้นเมืองเวียงจันท์ ครั้นเสียเมืองพวกย้อก็หนีไปตั้งอยู่เมืองหลวงโปงเลงทางเมืองคำเกิด คำมวน เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาไปตั้งอยู่ที่เมืองยโสธร ได้แต่งคนลงไปเกลี้ยกล่อมพวกย้อลงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองท่าอุเทน”
บ้านกลางเป็นชุมชนใหญ่อีกแห่งของชาวย้อท่าอุเทน อยู่ห่างจากตัวอำเภอที่ริมแม่น้ำโขงไปทางตะวันตกราว ๑๐ กิโลเมตร เป็นแหล่งทำครกดินเผา
ครกส้มตำที่คนลาวใช้กันอยู่ทั่วไปในแดนอีสาน ส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของชาวย้อทำส่งพ่อค้ามารับไปขายต่อ
“รับจากปู่ย่าตายายต่อกันมา ๑๕๐ ปีแล้ว” บุญทัน พาพรม พูดถึงเครื่องปั้นดินเผาของชุมชน “ผมทำมาแต่อายุ ๒๐ ปี หัดจากพ่อ พ่อเป็นจากไหนไม่รู้ ขึ้นรูปด้วยมือ แป้นหมุนใช้แรงคน”
ผู้เฒ่านักปั้นเล่าภาพอดีตเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน
ครกส้มตำที่คนลาวใช้กันอยู่ทั่วไปในแดนอีสาน ส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของชาวย้อทำส่งพ่อค้ารับไปขายต่อ
“เดี๋ยวนี้มีบล็อกจากสระบุรี แต่ก่อนไปศึกษาการปั้นที่ด่านเกวียน มาก่อเตาที่บ้าน ๓๐ กว่าปีได้แล้ว ตอนแรกก่อเตาสองสามรอบก็ยุบ เจาะผาดินเจาะโพนเผาโอ่งปลาร้าได้ ๑๐๐ ใบ ต่อมาลองใส่ครกบ้าง เดี๋ยวนี้ทำครกอย่างเดียว โอ่งคนเปลี่ยนไปใช้พลาสติก”
เคล็ดลับการเผาให้เตาไม่ยุบ งานไม่แตก อยู่ที่การจัดเรียงและการสุมไฟที่เรียกว่า “ดัง”
“ต้องดังไฟให้สม่ำเสมอ วอร์มเตาก่อน ไม่งั้นแตก และอย่าซ้อนกันเยอะ”
เตาเผาของเฒ่าบุญทันทุกวันนี้อยู่หลังบ้าน เป็นเตาเก่าแก่ขนาดใหญ่ เต็มเตาใส่ครกส้มตำได้ ๒,๐๐๐ ใบ ภายในเรียบเป็นเงาวาวเหมือนน้ำเคลือบเซรามิก แต่ผู้เฒ่าเจ้าของเตาบอกว่าเป็นธรรมชาติของดินที่เกิดจากการหลอมเหลวของแร่ธาตุในดิน
คนภาคอีสานส่วนใหญ่รวมทั้งชาวย้อบ้านข่า จะใส่บาตรเฉพาะข้าวเหนียวในตอนเช้า ส่วนกับข้าวจะใส่ปิ่นโตหิ้วไปที่วัด จัดสำรับถวายพระ หลังจากนั้นก็กินข้าวเช้าด้วยกันที่วัด
เป็นลักษณะเดียวกับผิวครกดินเผาที่เงาวาวเหมือนสีเหล็ก หลังเผาในเตา ๓ วัน ใส่ไฟต่อเนื่อง “เกิดจากการเผา ไม่ได้เคลือบอะไร โหมไฟ แล้วปิดเตาบ่มความร้อน จากข้างนอก เข้าเตาออกทางปล่อง เหมือนโดนพัดลมดูด”
ทุกวันนี้ชาวบ้านกลางราว ๓๐-๔๐ ครอบครัวจาก ๓๐๐ กว่าครัวเรือนทำอาชีพปั้นดินเผา โดยในช่วงหลังมานี้ทำครกส้มตำกันเป็นหลัก ตามอุปสงค์ของตลาด
ชุดหนึ่งใช้เวลาทำ ๒๕ วัน ได้ดินมา ตื่นตี ๓ ลุกขึ้นเตรียมดินผึ่งลมผึ่งแดดให้แห้ง แช่น้ำให้เปื่อย นวดดิน แต่ก่อนย่ำ เดี๋ยวนี้ใช้เครื่อง ปั้นในบล็อก ปล่อย ๓๐ นาที ถอดออกมาแต่งทีละใบ ชุดละ ๕๐ ใบ ใช้เวลาราวชั่วโมงครึ่ง ทำได้สองชุดต่อวันรวม ๑๐๐ ใบ ๑๑ โมงเช้าเสร็จงานประจำวัน ช่วงบ่ายเตรียมอุปกรณ์ที่จะทำวันรุ่งขึ้น
ทำ ๒๕ วัน ได้ครก ๒,๕๐๐ ใบ นำเข้าบรรจุเตาปิดเตาดังไฟอุ่น ๒ วัน เร่งไปอีก ๒ วัน วันหลังเร่งเต็มที่ ๑๕ ชั่วโมงต่อเนื่อง
นำออกจากเตาก็มีพ่อค้าขาประจำมารับ ราคา ๒๒-๕๘ บาท ตามขนาด ซึ่งมีห้าขนาด
“ราคาคงเดิมทั้งปี สิ้นปีพูดราคากันครั้งเดียว”
ครกทั้งเตาได้ราว ๕ หมื่น พ่อเฒ่าแบ่ง ๒ หมื่นให้ลูกสองคนที่มาร่วมทำ จ่ายค่าแรงหลานอีกสองคน หักส่วนที่ลงทุนแล้วแกกับเมียก็เหลือรายได้พออยู่ “ทุนหลักอยู่ที่ค่าไม้ฟืน ใช้ราว ๑ หมื่นต่อเตา ราว ๖๐๐-๙๐๐ ท่อน ค่าดินรถละ ๙๐๐ บาท”
เป็นดินในท้องถิ่นจากบ่อดินท้ายหมู่บ้าน
คนย้อบ้านข่าใกล้ชิดศาสนา ผูกพันอยู่กับวัดและการทำบุญ ตามที่ผู้เฒ่ายืนยัน “พุทธบ้านข่าไม่ถือผี เพราะนับถือครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ศาลพระภูมิไม่มี”
ยามเช้าของทุกวัน ชาวย้อบ้านข่าจะมารวมตัวกันใส่บาตรที่ริมถนนหน้าบ้านด้วยกันเป็นร้อยคน เป็นภาพที่มีอยู่จริงตามวิถี โดยไม่มีมิติของการส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“เขาเรียกดินไห มีอยู่ทั่วตามที่ไร่นาแถวนี้ ที่อื่นไม่มีเหมือน ดินทรายสีขาวผสมแดง เผาแล้วเป็นสีเหล็กหลอมเกรียมเข้มตามธรรมชาติของดิน”
เป็นความลงตัวพอดีระหว่างทรัพยากร การเรียนรู้ และฝีมือของคนในท้องถิ่น
บ้านกลางเป็นบ้านย้อ ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของอำเภอท่าอุเทน แต่ก็ยังนับเป็นส่วนน้อยของอีสานที่คนชาติพันธุ์ลาวเป็นกลุ่มหลัก และส่วนใหญ่ย้อก็ปรับตัวกลมกลืนเข้ากับคนลาว ทั้งการแต่งกาย ภาษา อาหาร โดยเฉพาะอาหารหลักประจำวันอย่างข้าวเหนียวส้มตำ
แต่คงมีน้อยคนที่รู้ว่าครกที่ใช้ตำบักหุ่งกันอยู่ในหลายจังหวัดภาคอีสานนั้นมาจากฝีมือคนย้อบ้านกลาง