ผู้ไท
จากกองเกวียนอพยพ
ถึงผู้ไทโลก
ชาติพันธุ์อีสาน
หลากกลุ่มชนบนที่ราบสูง
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง, ประเวช ตันตราภิรมย์
“อพยพ มาจากฟากลาว แบกมาทุกอย่างมีดผาหลาฟืน หาบกระดอนคอนกระเดว ผูกลูกผูกม้าดึงหน้าจูงหลัง พะรุงพะรังทั้งผ้าทั้งหมอน เอามาหมดทั้งวัวควายเกวียน น้ำเต้าเหล้าไห เอามาเหมิด เป็นฮีตเป็นคองสืบมา ฮีตใส่ข้อง คองใส่บ่า ไม่ได้ทิ้งไม่ได้ป๋า” สุรวิทย์ ศรีประไหม บรรยายภาพขบวนอพยพที่กำลังแสดงอยู่ในงานมหกรรมผู้ไทโลกให้ฟังเป็นคำลำผญา เขาเป็นผู้ไทจากบ้านกุดสิมคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปรกติเป็นหมอแคน เป่าแคนให้แม่หมอในพิธีเหยาและเป็นนักลำผญา
“ข่อยสิถามข่าวเจ้า ถามข่าวทางป๋า ถามข่าวน้า ถามข่าวทางเข่า (ข้าว) ถามข่าวเจ้ามีสองแล้วบ่ คั่นบ่มีคู่ว่อน ตั๋วอ้ายสิเข้าซอน”
ผญาเกี้ยวพาราสีของผู้ไท
นอกจากเครื่องดนตรีและท่วงท่าการฟ้อน ผู้เฒ่ากลุ่มนี้แสดงความเป็นผู้ไทอย่างชัดเจนในด้านการแต่งกาย สวมเสื้อผ้าฝ้ายเข็นมือ ย้อมครามหรือฮ่อมนิลสีน้ำเงิน
ถึงเข้มจนออกดำ คนซ้ายสุดใช้ผ้าขาวม้าเคียนอก ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้หญิงสูงวัยสมัยก่อน ซิ่นผ้าฝ้าย หรือไหมหลากลายสไตล์ผู้ไท พาดเฉียงผ้าแพรวา และโพกหัวด้วยผ้าฝ้ายทอมือไม่ย้อมสี ใส่เครื่องประดับเงินเส้นขดเป็นกำไล และต่างหูรูปตัวเอส เครื่องดนตรีผู้ไท ในมือผู้ชายเรียกไม้กั๊บแก๊บ เป็นเครื่องเคาะจังหวะ
“กลอนที่จะเอาไปร้องโต้ตอบกัน” เขาอธิบายความหมายของลำผญา “อย่างเราไปหาผู้หญิงบ้านอื่น เขาจะลำเป็นผญาถามข่าวเรา ‘น้องจะถามข่าวอ้าย ถามข่าวนา ถามหาเทิงข้าว ถามข่าวเจ้าว่ามีคู่ซ้อนแล้วละบ๋อ’ เราก็ตอบเขาให้ได้ ‘อ้ายนี่เนาอยู่บ้านขอนกว้าง แต่ละเว็นคิดฮอดเจ้าไม่เห็นสักเท๋อ...’ ถามมาตอบไป ๆ จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะจนคำ เวลาพูดโดนใจ คนฟังจะร้องเป๊บ ! ม่วนใส่กัน เพราะเขาก็ฟังอยู่ สนุกสนานเฮฮา กรี๊ดโฮ ผู้ชายที่ผญาเก่งผญาหลาย ผู้หญิงจะจนมุม หมดคำสิพูด มีแต่ความเก่า ‘ยอมแล้วอ้ายเอ๋ย ความเจ้าหลาย’ เขินอายไป ยอมแพ้บอกในกลอนลำ”
ในวันงานผู้ไทโลกครั้งที่ ๑๓ ปี ๒๕๖๗ เขาได้รับเชิญมาร่วมงาน แสดงลำผญาโต้ตอบกับพี่น้องภูไทจากเมืองต่าง ๆ ได้สนุกสนานสามัคคี
“ผู้ไทเรามีล้านกว่าคนใน ๑๑ จังหวัด เราต้องจับมือกันให้ได้ จึงตั้งสมาคมผู้ไทโลกเมื่อปี ๒๕๕๔ มีพี่น้องไทดำจากอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ลาวเวียงจากจังหวัดนครนายก ผู้ไทจากลาว เวียดนาม มากันหมด พี่น้องจากฮาวาย อเมริกาก็มาด้วย”
คำประกาศของ ดร. วิทยา อินาลา ผู้นำการก่อตั้งและเป็นนายกสมาคมผู้ไทโลก
“ให้ผู้ไททั้งโลกเป็นหนึ่งเดียว คนผู้ไทเราอยู่ทั้งไทย ลาว เวียดนาม รวมทั้งที่อพยพช่วงสงครามเวียดนามไปอยู่อเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และทั่วโลก ให้ได้มารู้จักกันผ่านออนไลน์ในยุคนี้”
จากมิติทางวัฒนธรรมไปสู่ด้านเศรษฐกิจ
“ทำเรื่องภูมิปัญญาแล้วต้องได้เรื่องเศรษฐกิจด้วยพี่น้องผู้ไทต้องได้เศรษฐกิจที่ดี แล้วลูกหลานก็ได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างพิธีเหยาที่หนองสูง ต่อไปทั้งโลกต้องรู้จัก เรามีเสื้อผ้า วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ทำอย่างไรให้ผู้ไททั่วโลกใช้เหมือนกันหมด ก็จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ด้านการแต่งกาย จะช่วยให้ภูมิปัญญาการแต่งกายของท้องถิ่นผู้ไทยั่งยืน สมาคมผู้ไทโลกจะเป็นตัวกลางในการสื่อจากหมู่บ้านไปสู่ระดับโลก เราจึงจัดงานผู้ไทโลก”
เป็นงานที่มีชื่อเสียงในแถบเทือกเขาภูพานอีสานเหนือไปจนถึงทั่วโลกก็ว่าได้ ในการสะท้อนภาพความเป็นสากลและส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ว่าคนผู้ไทมิใช่มีอยู่แค่ในประเทศไทย แต่ยังมีกลุ่มที่อาศัยอยู่ในนานาประเทศอีกมากมาย
นิทรรศการและการแสดงในขบวนแห่ รวมทั้งในหนังสือตำราหลากหลายแหล่งที่เขียนถึงชาติพันธุ์ผู้ไทเล่าว่า ราวปี ๒๓๘๐ อพยพจากเมืองวัง ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมายังสยาม เนื่องจากไม่พอใจการปกครองของพระยาก่ำ เจ้าเมืองฝั่งลาว
แต่ถิ่นฐานดั้งเดิมผู้ไทอยู่บริเวณตอนเหนือของลาวและเวียดนามซึ่งต่อแดนกับภาคใต้ของจีน แถบลุ่มแม่น้ำดำกับแม่น้ำแดงในเมืองแถนหรือเดียนเบียนฟู ปัจจุบันเรียกว่ากลุ่มผู้ไทดำ
ประเพณีพิธีกรรมของผู้ไทดำเนินไปเช่นเดียวกับไทลาวที่ยึดถือ “ฮีตสิบสองคองสิบสี่” ตามที่สืบทอดมา ฮีตสิบสองเป็นขนบธรรมเนียมในรอบปีที่จะมีประเพณีที่อิงอยู่กับพุทธศาสนา แสดงออกถึงความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับธรรมชาติ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ
ทรงผมและการแต่งกายของผู้ไทเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีก่อน ยังมีการใช้กันอยู่ในหมู่ผู้ไทกาฬสินธุ์
สี ลวดลาย และรูปแบบเสื้อผ้าผู้ไท อาจมีแตกต่างกันไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่นและการปรับปรุงตามยุคสมัย ในภาพนี้เป็นสไตล์ผู้ไทวัง กาฬสินธุ์
ต่อมาบางกลุ่มอพยพเข้ามาในพื้นที่ตอนกลางของลาวขึ้นต่อเวียงจันทน์ เรียกว่าผู้ไทวัง ผู้ไทกะปอง ผู้ไทกะตาก ก่อนอพยพต่อมายังสยาม ซึ่งหลักฐานพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทเข้ามาหลายระลอก โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ ๓ ยุคหลังสงครามเจ้าอนุวงศ์ ปี ๒๓๖๙ ราชสำนักสยามกวาดต้อนผู้คนมาทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งกระจายอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ตลอดถึงหลายจังหวัดในแอ่งสกลนคร แถบจังหวัดนครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ สกลนคร ซึ่งต่อมาชุมชนชาวผู้ไทหลายแห่งได้รับการยกขึ้นเป็นเมือง
ตามบันทึก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปตรวจราชการมณฑลนครราชสีมาและมณฑลอุดรอีสาน ร.ศ. ๑๒๕ พ.ศ. ๒๔๔๙ มีว่า
“...เมืองเรณูนครนี้เดิมชื่อบ้านดงหวาย ตั้งเปนเมืองขึ้นเมืองนครพนมในรัชกาลที่ ๓ สังเกตดูผู้คนแต่งตัวสอาดเรียบร้อยดีกว่าทุกแห่งที่ได้ผ่านมาแล้ว พลเมืองเปนผู้ไทยโดยมากมีจำนวน ๑๑,๙๘๖ เปนที่ดอน ใช้น้ำบ่อแต่ที่นาดี ชาวบ้านมีฝีมือทอผ้าดี กับมีการผสมโคกระบือนำไปขายถึงเมืองมรแมน...”
เมืองเรณูนคร จังหวัดนครพนม ถือเป็นถิ่นหลักของผู้ไทในเมืองไทย ตั้งเมื่อราวปี ๒๓๗๓ โดยชาวเมืองอพยพมาจากเมืองวัง เช่นเดียวกับอีกหลายชุมชนที่ได้รับการยกขึ้นเป็นเมืองในสมัยไล่เลี่ยกัน
เมื่อปี ๒๓๘๗ ชุมชนชาวผู้ไทจากเมืองวัง ที่เรียกกันว่าผู้ไทวัง ได้รับการยกฐานะเป็นเมือง ดังนี้
เมืองพรรณานิคม เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสกลนครในปัจจุบัน
เมืองกุดสินารายณ์ ปัจจุบันเป็นอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
เมืองแล่นช้าง ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอเมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วเปลี่ยนเป็นตำบลภูแล่นช้างเมื่อปี ๒๔๕๒ ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์
เมืองหนองสูง ที่มีพระไกรสรราชเป็นเจ้าเมืองคนแรก ปัจจุบันเป็นอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร
ผู้ไทอีกกลุ่มที่มาจากเมืองเซโปน ตั้งเมืองเสนางคนิคม เมื่อปี ๒๓๘๒ ปัจจุบันเป็นตำบลเสนางคนิคม ขึ้นกับอำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ กับเมืองคำเขื่อนแก้วเมื่อปี ๒๓๘๗ ปัจจุบันเป็นตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอชานุมาน ในจังหวัดเดียวกัน
ส่วนผู้ไทที่อพยพมาจากเมืองกะปอง ตั้งเมืองวาริชภูมิเมื่อปี ๒๔๐๒ ต่อมาเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสกลนคร และยังเรียกตัวเองว่าผู้ไทกระป๋องมาจนปัจจุบัน
ถิ่นเดิมของผู้ไทคาบเกี่ยวอยู่ในการปกครองของสามฝ่าย จีน หลวงพระบาง ญวน ซึ่งยามทำศึกสงครามกัน มักยกทัพผ่านดินแดน
สิบสองจุไท ทำให้ผู้ไทพลอยเดือดร้อน กลุ่มชนผู้รักสงบจึงพากันอพยพลงมาตั้งถิ่นฐานทางเมืองวัง เมืองคำเกิด เมืองคำม่วนในประเทศลาว แล้วต่อมายังอีสาน
เมื่อปี ๒๓๘๗ ชุมชนชาวผู้ไทจากเมืองวัง ที่เรียกกันว่าผู้ไทวัง ได้รับการยกฐานะเป็นเมืองหลายแห่ง รวมทั้งเมืองหนองสูง หรืออำเภอหนองสูงในปัจจุบัน ซึ่งมีพระไกรสรราชเป็นเจ้าเมืองคนแรก
บวงสรวงพระไกรสรราช เจ้าเมืองหนองสูงคนแรก หน้าอนุสาวรีย์ริมบึงหนองสูง ในงานผู้ไทโลกครั้งที่ ๑๓
“ผู้ไท ถือพุทธกับผีไปด้วยกัน” สุรวิทย์ ศรีประไหม หมอแคนของหมอเหยา พูดถึงค่านิยมด้านความเชื่อของผู้ไท ซึ่งปัจจุบันหันมานับถือพุทธศาสนา แต่ก็ยังถือภูตผีควบคู่กันไปด้วย
หมอเหยาเป็นผู้นำในพิธีกรรมเสี่ยงทาย เมื่อมีการเจ็บป่วยในครอบครัวที่เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผีต้องทำพิธีเหยา เพื่อให้ผีช่วยแก้ความเดือดร้อนเจ็บไข้ เชิญหมอเหยามาเข้าทรง ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างคนกับผีโดยใช้ท่วงทำนองดนตรี มีการฟ้อนรำประกอบเสียงแคน
ด้านประเพณีพิธีกรรมก็ดำเนินไปเช่นเดียวกับไทลาวชาวอีสานที่ยึดถือ “ฮีตสิบสอง คองสิบสี่” ตามที่สืบทอดมา
ฮีตสิบสองเป็นขนบธรรมเนียมในรอบปีที่จะมีประเพณีเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่อิงอยู่กับพุทธศาสนา รวมทั้งแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ จนถึงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
ในแง่ชีวิตครอบครัว สังคมผู้ไทได้ให้ความสำคัญกับผู้ชาย ซึ่งภรรยาต้องสมมาหรือขอขมาสามีในวันพระ ปัจจุบันอาจลดความเคร่งครัดลง แต่การครองเรือนของผู้ไทยังให้ชายเป็นใหญ่
ธรรมเนียมการอบรมลูกผู้หญิงจะเน้นให้รักนวลสงวนตัว ตามคำสอน “ไคมิแต๊ะเซอมือ อย่าเฮ่อชายมาจับมาต้อง” ไข่ไม่แตกใส่มือ (ยังไม่แต่งงาน) อย่าให้ชายแตะต้องตัว
หากชายใดมาต้องตัวสาวด้วยเจตนาล่วงเกินก็ต้องโทษปรับที่กำหนดไว้ชัดเจน “ทึแหนเสไก ทึบ่าไลเสหมูทึทังเน้อทังโต๋ เสแม่โงโต๋ควาย” ถูกแขนเสียไก่ ถูกบ่าไหล่เสียหมู ถูกทั้งเนื้อทั้งตัว เสียแม่วัวตัวควาย
สําเนียงแปลกแปร่งซึ่งคนต่างวัฒนธรรมอาจฟังยากและยากจะเขียนเป็นภาษาไทย เพราะหลายคําเสียงไม่ตรงกับวรรณยุกต์ที่มี ซึ่งในภาษาผู้ไทมีเฉพาะภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน
เสียงสระเออ มักถูกใช้แทนสระเอือ และสระเอแทนสระเอีย
เสื่อ-เสอ เลือด-เลิด เมือง-เมิง
เมีย-เม เขียน-เขน เขียด-เคด กระเทียม-กระเท่ม โรงเรียน-โฮงเฮน
คำพูดมีเสียง เผอ ผิเหลอ ผะเหลอ ท้ายคำถาม
นี่แม่นเผอ-นี่คืออะไร ไปเผอ-ไปไหน ไปซิเลอ-ไปไหนมา
“ปัจจุบันชุดเครื่องแต่งกายผู้ไทมีการพัฒนาลวดลาย การออกแบบ ตัดเย็บทันสมัยมากขึ้น ใช้ผ้าหลายชิ้น มีสีสันมากขึ้น ทำให้ชุดชนเผ่าภูไทมีราคาแพง และไม่นิยมใส่ในชีวิตประจำวัน จะใช้เฉพาะเทศกาลงานบุญตามประเพณีและการแสดงเท่านั้น”
ฟ้อนผู้ไท การแสดงที่เป็นไฮไลต์ของงานวัฒนธรรมผู้ไท
นับร้อยปี ที่อยู่ร่วมแผ่นดินที่ราบสูง ผู้ไทค่อยกลืนกลายเข้ากับคนลาวพื้นถิ่นอีสาน แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นผู้ไทอยู่ในผืนผ้าและภาษา
“เครื่องแต่งกายบ่งบอกเลย เสื้อมีแถบแดงคอ ตัวเสื้อสีกรม ใช้เส้นฝ้ายเข็นมือ ย้อมคราม ผู้ชายใส่โสร่ง เสื้อคอกลม ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นต่อตีน ผู้ไทจะทำซิ่นก้อมเพื่อได้ต่อตีนซิ่น ต่อหัวที่เอว เสื้อสั้นโชว์หัวซิ่น เมื่อก่อนใช้ผ้าสีปะโด เส้นไหมหรือฝ้ายทอด้วยกี่ทอมือสำหรับพาดเฉียง ตอนหลังเปลี่ยนใช้สไบ”
คำเล่าจากป้าวึ-นรินทิพย์ สิงหะตา เจ้าของแบรนด์ Aunty Wur ผู้นำกลุ่มพี่น้องผู้ไทในชุมชนทอผ้าฝ้ายผ้าไหมลายผู้ไทโบราณ
“เราถอดลาย ส่งให้สมาชิกมัดย้อม ที่เขาเรียกมัดหมี่ เราดูแบบลายจากผ้าตัวจริง”
ในอาคารวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าดั้งเดิมมุกดาหาร ซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งในบริเวณบ้านของป้าวึ เป็นห้องเก็บผ้าผู้ไทโบราณลายท้องถิ่นหนองสูง
“เรารักหวงแหน เห็นคนใส่จนขาด เขาจะทิ้งก็ไม่ให้ทิ้ง เก็บใส่ถุงปุ๋ย เก็บไว้เฉย ๆ เพราะใจรัก คนรู้ว่าป้าเก็บผ้าเก่าก็เอามาให้ เก็บมา ๔๐ ปีแล้ว วันหนึ่งเอาออกจากถุงปุ๋ยมาลอกลายเก่าทำขาย ปรากฏว่าขายได้ คนนิยมผ้าลายโบราณ ต่อมาทุกลายทำได้หมด ถึงต้นแบบจะขาดอย่างไรก็ทำได้”
ด้วยพื้นฐานที่อยู่กับหูกทอผ้ามาตั้งแต่เกิด
“ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นย่าทอผ้า แม่ทอผ้า มาอีกทีก็รุ่นพี่สาว ผู้ไทต้องทอผ้า ทอมาแต่ ๙ ขวบ พอท่านลุกออกจากกี่เราก็วิ่งขึ้น พอท่านปั่นฝ้ายก็ช่วย ฝึกมาเรื่อย ๆ เป็นทั้งบ้าน คนไหนทอหูกทอผ้าไม่เป็นผู้ชายไม่ยอมรับ ครอบครัวผู้ไทก่อนรับสะใภ้เข้าบ้านเขาต้องถามก่อน เป็นลายบ่ ทอหูกทอผ้าเป็นไหม เขาจะต้องสืบ ถ้าทอผ้าไม่เก่ง ไม่มีใครเอา ออกเรือนไม่ได้ ต้องจัดการให้ลูกสาวทอผ้าเป็น ผู้ไทต้องเป็นหูกเป็นผ้า”
งานผู้ไทโลกครั้งที่ ๑๓ ชาวผู้ไทในอำเภอหนองสูงร่วมกันเป็นเจ้าภาพ มีพี่น้องผู้ไทจากท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศมาร่วมชุมนุม อย่างพี่น้องไทดำจากสุพรรณบุรี
เริ่มหัดจากซิ่นดำปึกไม่มีลาย จากนั้นมาสู่การทำลวดลายดั้งเดิมของผู้ไททั้งหมด ซึ่งป้าวึยกตัวอย่างว่ามีลายดอกกระบวน ลายนาคก้นตี่ ลายผีเสื้อหรือแมงกะบี้ ลายโจก ซึ่งคนออกแบบไปเห็นโคมไฟในค่ายทหารฝรั่งที่มาตั้งสนามบิน จำแบบมาทำเป็นลายผ้า ตั้งชื่อว่าโจก รูปร่างคล้ายเหยือกใส่น้ำ
ลวดลายผ้าผู้ไทส่วนใหญ่ในอดีตจะเป็นรูปทรงเรขาคณิต ใช้เส้นด้ายสีมาคั่นเป็นรูปเหลี่ยมต่าง ๆ
ผ้าผู้ไทบางผืน “เส้นตั้งสีเดียว จำนวนเส้นตามจำนวนฟันฟืม อาจเป็น ๑,๒๐๐-๑,๕๐๐ เส้น ทางพุ่งมัดให้ได้ลวดลายแล้วไปย้อม แต่ก่อนย้อมครั่ง คราม มะเกลือ ตอนนี้มีสีเคมีซอง”
การทําผ้าให้เกิดลวดลายใช้การมัดหมี่ ใช้เชือกกล้วยผูกมัดเส้นด้ายเป็นกลุ่มให้เกิดลายก่อนนำไปย้อมครามและเปลือกหอยให้เกิดสีอื่น ๆ การทอผ้าใช้กี่พุ่งหรือกี่กระตุก
ครามได้มาจากต้นคราม นําใบมาหมักปูนขาวที่ได้จากการเผาเปลือกหอยกาบ โดยใช้ขี้ควายตากแห้งเป็นเชื้อเพลิง เผาสุมไว้ประมาณ ๑ วัน เมื่อเปลือกหอยสุกและเย็นตัวแล้ว นําออกจากกองเถ้าขี้ควาย บดเปลือกหอยเป็นผงแล้วนําไปกวนในน้ำครามเพื่อให้ครามตกตะกอน ช้อนเอาน้ำปูนใสออกจากก้อนคราม ทำครามเป็นก้อนแข็งเก็บไว้ใช้ได้หลายปี
นํามาย้อมผ้า ย้อมเส้นด้ายที่จะทอเป็นผืนผ้า
ครัวเรือนที่ไม่ทำครามจะทอเส้นฝ้ายเป็นผืนสีขาวนวล นำไปตัดเย็บเป็นผ้าเตียว (ผ้าขาวม้า) เสื้อ ซิ่น โสร่ง ผ้ากระโจมตามต้องการ แล้วนําผ้ามาย้อม เน้นสีดำหรือสีจากครามอย่างเรียบง่าย เพื่อรักษาสีผ้าไม่ให้ดูสกปรกเมื่อสวมใส่ไปทำงานในไร่ทำนา
“เครื่องแต่งกายในอดีตทอผ้าใช้เอง เน้นสีธรรมชาติ การเติมแต่งสีสันก็ได้จากคราม ตัดเย็บด้วยมือ เน้นความเรียบง่าย สะดวกสบาย คล่องตัว ใช้ผ้าน้อยชิ้น แต่รูปแบบเสื้อผ้าในอดีตไม่มีให้เห็นแล้ว”
ตามที่ วุฒิศักดิ์ รัตนโรจน์ ระบุในงานวิจัยเรื่อง การอนุรักษ์วัฒนธรรมชนเผ่าภูไทขององค์การบริหารส่วนตำบลนายูง อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี ๒๕๕๘
เนื่องจาก “ปัจจุบันชุดเครื่องแต่งกายผู้ไทมีการพัฒนาลวดลายการออกแบบ ตัดเย็บทันสมัยมากขึ้น ใช้ผ้าหลายชิ้น มีสีสันมากขึ้น ค่าตัดเย็บแพงขึ้น ทำให้ชุดชนเผ่าภูไทมีราคาแพงและไม่นิยมใส่ในชีวิตประจำวัน จะใช้เฉพาะเทศกาลงานบุญตามประเพณีและการแสดงเท่านั้น การแต่งกายตามยุคสมัยใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่หาง่ายมีขายทั่วไป”
แต่ในท้องถิ่นหนองสูง ทั้งครูและนักเรียนยังใส่ผ้าผู้ไทกันทั้งโรงเรียนในวันพฤหัสบดี
ส่วนชาวบ้านทั่วไปจะแต่งเมื่อมีงานบุญประเพณีหรือเทศกาล เพราะเสื้อผ้าผู้ไทปัจจุบันนิยมตกแต่งเครื่องทรงเพิ่มจากอดีตทำให้ชุดหนามากขึ้น หากสวมในฤดูร้อนจะใส่ไม่สบาย
ชุดการแต่งกายชาติพันธุ์ผู้ไทปัจจุบันของผู้ชายประกอบด้วยผ้าสี่ชิ้น คือ ผ้าเตียว โสร่ง เสื้อฮ่อม และผ้าคาดเอว
ผ้าเตียว เป็นผ้าขาวม้าทอจากฝ้าย เป็นสีฝ้ายหรือย้อมครามสีน้ำเงินเข้มจนออกดำ นุ่งคล้ายโจงกระเบน แต่กะทัดรัดไม่รุ่มร่าม ใช้นุ่งเป็นกางเกงชั้นในและนุ่งเวลาอยู่บ้านหรือทำงานในไร่นา แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครนุ่งผ้าเตียวแล้ว เพราะมีกางเกงชั้นในและกางเกงทรงสมัยที่มีขายตามท้องตลาด
ผ้าย้อมครามเข้มจัดจนออกสีนิล แต่ไม่ใช่ดำ ตามที่อาจารย์สถิตย์ ภาคมฤค แนะนำวิธีพิสูจน์หาความแตกต่าง “หากหยดสีดำลงบนผ้าขาว ปลายขอบจะเป็นสีเทา แต่ฮ่อมนิลปลายขอบจะออกเป็นสีฟ้า ถ้ามองเผิน ๆ เป็นสีดำ เดิมชาวชาติพันธุ์ทำใส่เองกันแบบนี้ ตอนหลังพอมีการรณรงค์ให้ใส่ชุดชาติพันธุ์ก็ใช้ผ้าดำเลย ด้วยความไม่เข้าใจ”
โสร่ง ทอจากฝ้ายหรือไหม ใช้โทนสีเรียบ ๆ ขรึม ๆ ต่างจากโสร่งของไทลาวที่มีสีสันฉูดฉาด ทอเป็นตาหมากรุกตัดเย็บคล้ายผ้าถุง เวลานุ่งพับจีบรวบมาชิดเอว และใช้สายรัดโสร่งกันหลุด ใช้นุ่งเวลามีการมีงานหรือในพิธีกรรมต่าง ๆ เดิมการนุ่งโสร่งนิยมนุ่งผ้าเตียวไว้ข้างในด้วย
เสื้อ เส้อ โกเฮง หรือฮ่อม เป็นเสื้อย้อมครามสีน้ำเงินเข้มหรือสีออกดำ เดิมไม่มีกระดุม ไม่มีกระเป๋า ใช้ผ้าพับม้วนเป็นเส้นเย็บเป็นเชือกไว้สำหรับผูกแทนกระดุม ต่อมามีการตกแต่งลวดลายโดยนำตีนซิ่นมาประดับเสื้อและให้มีกระเป๋า ใส่กระดุม ทุกวันนี้เสื้อที่ใส่ในพิธีการนิยมตัดเย็บทรงสูทสากล เสื้อมีความหนาขึ้นจากจำนวนชั้นของผ้าที่ใช้ตัดเย็บ
ผ้าคาดเอว คล้ายผ้าขาวม้าแต่หน้าแคบกว่า พับตามยาวให้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้คาดเอวทับโสร่งก่อนปล่อยชายเสื้อ คาดทับชายเสื้อ
ส่วนชุดแต่งกายของผู้หญิงก็มีสี่ชิ้น ประกอบด้วย ซิ่น ผ้าเคียนอก เสื้อ และผ้าแพรมน
ซิ่น ผ้าฝ้ายทอมือหรือผ้าไหมย้อมครามหรือย้อมสีธรรมชาติ หากต้องการสีม่วงอมชมพูย้อมด้วยเปลือกไม้ประดู่ หากต้องการสีดำย้อมด้วยลูกมะเกลือหรือลูกตะโกนาห่ามใกล้สุก หากย้อมด้วยเปลือกไม้ขนุนจะได้สีเหลืองอ่อน ฯลฯ ต่อมาเมื่อเริ่มมีสีย้อมผ้าให้ใช้นิยมย้อมเป็นสีดำ และตกแต่งด้วยการใส่ตีนซิ่นและหัวซิ่นเพิ่มความสวยงาม
ผ้าเคียนอก ใช้ผ้าเตียวหรือผ้าขาวม้าเคียนอกประกอบการนุ่งซิ่น ในอดีตผู้หญิงมีอายุหรือหญิงที่มีสามีแล้วจะใช้ผ้าเคียนอกแทนการใส่เสื้อเนื่องจากสะดวกสบาย ส่วนหญิงสาวจะใส่เสื้อฮ่อมที่ตัดเย็บด้วยมือ
เสื้อ นิยมใช้ในยุคต่อจากการใช้ผ้าเคียนอก ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือย้อมครามไม่ตกแต่งลวดลาย ต่อมามีการประดับเสื้อด้วยผ้าทอสีต่าง ๆ ซึ่งวุฒิศักดิ์ชี้ว่าปัจจุบันอาจมองเห็นความเป็นชุดผู้ไทแต่ในแง่สี ผ้า และรูปแบบการตัดเย็บเท่านั้น ส่วนเครื่องประกอบอื่นเป็นไปตามยุคสมัยและค่านิยมของการพัฒนาเครื่องแต่งกาย ผ้าตัดเสื้อใช้หลายชิ้นประกอบกัน ทําให้เสื้อมีความหนาแลดูภูมิฐานเมื่อสวมใส่
ผ้าแพรมน หรือผ้าโพกศีรษะ เป็นผ้าฝ้ายทอมือ ไม่ย้อมสีใด ๆ ใช้ในหญิงที่แต่งงานแล้วและหญิงสูงอายุ
เครื่องประดับ กําไลข้อมือ กําไลข้อเท้า ต่างหูรูปตัวเอส ทั้งหมดทําจากเงินแท้
ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับประดาทั้งหลายนี้จะแต่งกันมาแบบเต็มตัวก็ยามมีงานประเพณีเทศกาล
เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อนขึ้นไป ชาวผู้ไทตั้งถิ่นเดิมอยู่แถบชายแดนจีน เวียดนาม ลาว เมื่อมีการจัดงานผู้ไทโลก ผู้ไทในถิ่นเดิมจากทั่วภูมิภาคจึงพากันมาพบปะญาติพี่น้องร่วมชาติพันธุ์
งานผู้ไทโลก ปี ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ มีนาคม จัดอยู่ที่ริมหนองสูง หนองน้ำโบราณอยู่ในที่ลุ่มตีนภู ซึ่งทุกวันนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ริมบึงด้านตะวันตกเป็นสวนสาธารณะ มีอนุสาวรีย์พระไกรสรราชเป็นเหมือนหลักหมายเมือง ถัดขึ้นไปเป็นวัดไตรภูมิ วัดประจำอำเภอ ด้านหน้าเป็นถนนสาย ๒๓๗๐ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของชุมชนมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นหมู่บ้าน ปัจจุบันย่านศูนย์กลางความเจริญของอำเภอหนองสูงก็อยู่สองฟากถนนสายนี้
บริเวณเดียวกันนี้ช่วงปี ๒๕๐๕-๒๕๐๗ เคยเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามของอดีตข้าราชการทหารอเมริกันและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ศ. แอนโทนี โทมัส เคิร์สช์ (Anthony Thomas Kirsch) เขาได้ถ่ายภาพผู้คนและภูมิทัศน์ของหนองสูงเมื่อ ๖๐ ปีก่อนไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นภาพบันทึกวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวผู้ไทไว้อย่างมีคุณูปการ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นหลังได้บอกเล่ารับรู้สู่กัน
ภาพอดีตเหล่านั้นจัดแสดงที่โดมศาลาในสวนสาธารณะริมบึงหนองสูง บริเวณที่เป็นนิทรรศการกลางแจ้งถาวร ซึ่งมีบ้านจำลองของชาวผู้ไทและนิทรรศการบอกเล่าความเป็นมาของชาวผู้ไท ทั้งด้วยตัวหนังสือและภาพถ่ายโบราณของศาสตราจารย์เคิร์สช์ซึ่งเปิดให้ชมอยู่ตลอด
แต่หากมาเยือนชุมชนผู้ไทในช่วงที่มีงานประเพณีเทศกาล สวนสาธารณะริมบึงหนองสูงจะเนืองแน่นไปด้วยชาวผู้ไทในชุดการแต่งกายครบเครื่อง เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการเฉพาะกิจที่มีชีวิตชีวา และได้สัมผัสอัธยาศัยไมตรีของความเป็นผู้ไท ที่กล่าวกันว่าเป็นอัตลักษณ์ที่แท้จริงของชาติพันธุ์ ซึ่งไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่ต้องมาสัมผัสกันด้วยใจ