คนก(ล)างแผนที่
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง, ประเวช ตันตราภิรมย์, บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
โดย “สัญชาติ” เป็นที่รู้และเข้าใจกันว่าเราต่างเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด แต่ก็เหมือนรู้กันอยู่ในทีแบบเหมารวมว่าบนแผ่นดินที่ราบสูงอีสานเป็นถิ่นของชนชาติพันธุ์ลาวหรือที่เรียกว่าคนอีสาน
แต่ความจริงทั่วภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๐ จังหวัด มีกลุ่มชนอยู่หลายหลากชาติพันธุ์ ไม่น้อยกว่า ๓๒ กลุ่ม ในชื่อเรียกขานที่เขาบอกต่อกันในกลุ่มตนและบอกกับคนอื่นและชื่อที่คนอื่นเรียกเขา รวมแล้วไม่ต่ำกว่า ๘๐ ชื่อ
*แผนที่แสดงแหล่งที่อยู่ของชาติพันธุ์ในภาคอีสานโดยสังเขปแบบไม่ละเอียดในความเป็นจริงยังมีชุมชนชาติพันธุ์อีกมากตั้งถิ่นฐานอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่ได้แสดงไว้ในแผนที่นี้
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกการตรวจราชการมณฑลอุดรอีสานเมื่อปี ๒๔๔๙ ว่า แถบหนองคายลงมาถึงนครพนมเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง
ความแตกต่างหลากหลายที่ว่านั้น เราใช้สิ่งใดเป็นตัวแบ่งหรือจำแนกหมู่เหล่าของผู้คน
ในภาพกว้างผู้คนในโลกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่นิกรอยด์ (Negroid) มองโกลอยด์ (Mongoloid) และคอเคซอยด์ (Caucasoid) ตามกลุ่ม “เชื้อชาติ” (racial) โดยใช้เกณฑ์ทางพันธุกรรม ลักษณะทางกายวิภาค สรีระ ซึ่งเห็นได้จากรูปพรรณ สีผิว เส้นผมที่ติดตัวมาแต่เกิดไม่สามารถบอกเลิกเปลี่ยนแปลง แต่ส่งต่อกันและพิสูจน์ได้ด้วยหลักเกณฑ์ทางนิติเวชวิทยา
ในทางรัฐชาติ มีการกำหนด “สัญชาติ” (nationality) เพื่อบอกสถานะการเป็นสมาชิกของประเทศตามกฎหมาย ที่อาจบอกถิ่นกำเนิดและสามารถโอนย้ายเปลี่ยนแปลงได้
ส่วน “ชนเผ่า” (tribe) มักใช้เรียกกลุ่มชนเล็ก ๆ ในดินแดนที่ยังไม่มีความเจริญ
กับอีกคำคือ “ชาติพันธุ์” (ethnicity) กลุ่มคนร่วมวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นบรรพบุรุษทางสายเลือดที่มีลักษณะทางชีวภาพร่วมกันหรือบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมก็ได้ คนในชาติพันธุ์เดียวกันจึงมีความรู้สึกผูกพันกันทั้งทางสายเลือดและทางวัฒนธรรมไปพร้อมกัน
ตามการนิยามดังกล่าว นักมานุษยวิทยาจึงเห็นว่าชาติพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดตามธรรมชาติหรือเพียงสายโลหิตแต่เป็นกระบวนการที่เกิดจากการหล่อหลอมของวิถีการดำเนินชีวิตในสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ๆ
เส้นแบ่งพรมแดนทางชาติพันธุ์จึงไม่ได้กำหนดโดยพันธุกรรม แต่อาศัยการเลือกจากลักษณะทางวัฒนธรรมซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวและแปรผันได้เมื่อกาลเวลาและสถานการณ์เปลี่ยนไป มาใช้ในการแยกแยะความแตกต่างของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์
กลุ่มชาติพันธุ์อีสานส่วนใหญ่อพยพมาจากทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้วยเงื่อนไขด้านสงครามระหว่างอาณาจักรที่ใหญ่กว่า ในภาพนี้เป็นการแสดงจำลองขบวนอพยพของผู้ไท จากเมืองนาน้อยอ้อยหนู อาณาจักรสิบสองจุไท สู่แถวฝั่งโขงตอนล่าง ตามในผญาที่บรรพชนเล่าสู่ลูกหลานต่อกันมาว่า...หาบกระดอนคอนกระเดว ผูกลูกผูกม้าดึงหน้าจูงหลัง พะรุงพะรังทั้งผ้าทั้งหมอน เอามาหมดทั้งวัวควายเกวียนน้ำเต้าเหล้าไห เอามาเหมิด...
แล้วอะไรเล่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกความเป็นชาติพันธุ์อีสานก็ในเมื่อทุกวันนี้ผู้คนทั้งภูมิภาคต่างมีวิถีชีวิตการเป็นอยู่เหมือน ๆ กัน สวมใส่เสื้อผ้าโรงงานจากตลาดเดียวกัน ภาษา อาหาร บ้านเรือน ธรรมเนียมประเพณี วิถีความเชื่อ กลมกลืนใกล้เคียงกันจนแทบแยกไม่ออก
“ว่าเฉพาะอีสานเหนือ ประเพณีของแทบทุกชาติพันธุ์เกือบจะเหมือน ๆ กัน” ข้อมูลจาก ผศ. ดร. สถิตย์ ภาคมฤค ผู้เชี่ยวชาญด้านคติชนวิทยาท้องถิ่นอีสาน ทั้งระบุด้วยว่าเสื้อผ้าของชนเผ่าอีสานจำนวนหนึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่ง “ปรุง” ขึ้นทีหลัง
“เครื่องแต่งกายก็อาจบอกไม่ได้เลย เพราะเป็นของปรุงขึ้นมาใหม่ เช่นผู้ไทในอีสานมีอยู่หลายที่ แต่แต่งกายไม่เหมือนกันสักที่ กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม ชุดไม่เหมือนกัน เพราะเขาเพิ่งปรุงสร้างขึ้นมาใหม่ มองจากเครื่องแต่งกายไม่ได้”
จึงเกิดแนวคิดประชากรพันธุศาสตร์ ใช้วิธีตรวจดีเอ็นเอ
อาจารย์สถิตย์เล่าถึงอีกเกณฑ์วิธีในการจัดแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ โดยยกตัวอย่างกลุ่มผู้ไทในจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่อาจใช้เป็นข้อสรุปได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“นักคติชนมองว่าผู้ไทเขาวงเป็นคนกลุ่มมาใหม่ แต่ดีเอ็นเอกลับคล้ายคนดั้งเดิมที่ใช้ภาษาขอมมากกว่าคนไท หากอธิบายว่าผู้ไทคือขอมดั้งเดิมก็คงไม่ใช่ และดูตลกในทางวัฒนธรรม ความจริงคือคนเข้ามาใหม่มีการแต่งงานข้ามสายพันธุ์ ทำให้ลูกหลานผู้ไทได้ดีเอ็นเอแบบนั้น”
สำหรับนักภาษาศาสตร์จะใช้ภาษาเป็นตัวกำหนดชาติพันธุ์
ชนชาติพันธุ์อีสานเมื่อปี ๒๔๔๙ ตามคำบรรยายบนภาพว่า “คนชั้นสามัญ จังหวัดอุดร” ซึ่งตอนหลังในหนังสือบางเล่มระบุว่าเป็น “กะเลิง” โดยอาจสังเกตจากการม้วนมวยผมเฉียง ส่วนใน รวมเผ่าไทยมุกดาหาร บอกว่าเป็น “ผู้ไทย” ซึ่งอาจสันนิษฐานจาก “กระหยัง” คล้องไหล่ที่เป็นเหมือนกระเป๋าถือของคนผู้ไท
ชุมนุมชาวโส้ในงานโส้รำลึก งานมหกรรมชาติพันธุ์อีสานที่จัดใหญ่และต่อเนื่องมาทุกปี ในวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๓ นับเป็นครั้งที่ ๔๓ ในปี ๒๕๖๗
จาก แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย ของ สุวิไล เปรมศรีรัตน์ ระบุความหลากหลายทางภาษาและชาติพันธุ์ในเมืองไทยว่าอยู่ในห้าตระกูลภาษา ได้แก่ ตระกูลไท-กะได ตระกูลออสโตรเอเชียติก (มอญ-เขมร) ตระกูลจีน-ทิเบต ตระกูลออสโตรนีเซียน หรือมาลาโย-โพลีนีเซียน และตระกูลม้ง-เมี่ยน
เฉพาะในภาคอีสานมีสองตระกูลภาษาคือ ไท-กะได (Tai-Kadai) ที่มีกลุ่มวัฒนธรรมไทลาวเป็นกลุ่มหลัก มีระบบความเชื่อเรื่องธรรมชาติและวิญญาณ ซึ่งแสดงผ่านพิธีกรรมที่เน้นการบูชาดินฟ้าและผีบรรพบุรุษ โดยมักมีผู้หญิงเป็นผู้นำพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน กับกลุ่มออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) สาขามอญ-เขมรที่ประกอบด้วยกลุ่มเขมรถิ่นไทย กูย บรู
เมื่อกล่าวถึงชาติพันธุ์อันหลากหลายในดินแดนอีสาน ซึ่งยากจะหาความแตกต่างในทางกายภาพ ก็อาศัยแยกแยะจากภาษาที่ใช้ แล้วเรียกขานชาติพันธุ์เหล่านั้น โดยมักมีคำว่า ชาว- คน- ไท- นำหน้า เพื่อแสดงความเป็นกลุ่มชน
แต่ละชาติพันธุ์อาจสร้างรูปแบบการกินอยู่ การแต่งกาย ประเพณี วิถีความเชื่อที่แตกต่างหลากหลาย คล้ายคลึง หรือค่อยกลืนกลายเข้าหากัน แต่จะมีลักษณะเฉพาะในด้านภาษาที่เป็นหลักบอกอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์
แม้ปัจจุบันอาจมีสิ่งเร้าและปัจจัยเงื่อนไขตามยุคสมัยรุกเร้าให้เอกลักษณ์ของแต่ละชาติพันธุ์สลายเลือน กลืนกลบเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ก็ยังมีปัจจัยบางด้านปลุกเร้าให้แต่ละชนเผ่ายังคงรักษาขนบวิถีและประกาศความมีอยู่ของชาติพันธุ์ตนบนพื้นภูมิอีสาน
“ชาติพันธุ์” เป็นกลุ่มคนร่วมวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นบรรพบุรุษทางสายเลือดที่มีลักษณะ
ทางชีวภาพร่วมกัน หรือบรรพบุรุษในทางวัฒนธรรมก็ได้ ชาติพันธุ์จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดตามธรรมชาติหรือเพียงแค่ร่วมสายเลือดแต่เป็นกระบวนการที่เกิดจากการหล่อหลอมของวิถีการดำเนินชีวิต
ในสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ๆ
ชาติพันธุ์ = คนร่วมวัฒนธรรม
กล่าวกันว่านับศตวรรษที่ผ่านมา ชาตินิยมและยุคสมัยได้หลอมรวมกลืนกินกลุ่มชนชาติพันธุ์อันหลากหลายบนผืนแผ่นดินที่ราบสูงจนแทบสิ้นสูญอัตลักษณ์ไปหมดแล้ว
บางห้วงเวลาบางชาติพันธุ์อาจยอมสลายความเป็นตัวเองออก อย่างกลุ่มคนลาวจากอุบลราชธานีเมื่อครั้งอพยพมาอยู่ริมหนองหาร สกลนคร ซึ่งเป็นถิ่นของคนย้อ
“คนลาวกลุ่มนี้ก็บอกว่า ฉันคือย้อ เพื่อไม่ให้ตัวเองดูแปลกแยก” ตามที่ ผศ. ดร. สถิตย์ ภาคมฤค ติดตามศึกษา “เพิ่งมาฟื้นฟูเมื่อมีการยกย่องชาติพันธุ์เพื่อสร้างมูลค่าให้ชุมชน แต่ละชาติพันธุ์จึงเริ่มเปิดเผยตัวว่าฉันคือลาว ย้อ โย้ย ผู้ไท เมื่อสมเด็จฯ พระพันปีหลวงสนับสนุนให้ทำผ้าพื้นเมือง”
หากพบหน้ากันนอกถิ่นในเวลาปรกติ คนอื่นคงมองพวกเขาเป็นเพียงคนภาคอีสานทั่วไป แต่การได้รู้ว่าตัวเองเป็นใครที่มีส่วนเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษที่มีความเป็นมา ย่อมยังความภาคภูมิใจอยู่ในส่วนลึกว่าเป็นชาติพันธุ์หนึ่ง ซึ่งมีรากเหง้า มิใช่เพียงชนเผ่าเร่ร่อนเลื่อนลอย
รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ทะวืง ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่สุดของสกลนคร “ทะวืงมาอยู่ที่อำเภอส่องดาว ซึ่งแวดล้อมด้วย ย้อ โย้ย เจ้าของถิ่นมองว่าพูดไม่เหมือนตน ก็บอกว่าเป็นโส้ ตอนแรกทะวืงก็ยอมรับไป จนวันหนึ่งเมื่อมีการพูดเรื่องชาติพันธุ์ ทะวืงจึงสลายความเป็นโส้ บอกว่าฉันคือทะวืง รวมทั้งการจัดมหกรรมชาติพันธุ์อย่าง ผู้ไทโลก โส้รำลึก ก็มีส่วนทำให้ชาติพันธุ์เริ่มเปิดเผยตัว แสวงหาพันธมิตร”
จากเดิมที่หวั่นกันว่านับวันรัฐ-ชาตินิยม และสังคมสมัยใหม่จะกลืนกลบกลุ่มชาติพันธุ์ แต่มาในยุคนี้กล่าวกันว่าบางพื้นที่กลับถูกกลืนกลบโดยกลุ่มชาติพันธุ์
เช่นเมื่อส่วนราชการประกาศตัวว่าอำเภอไหนเป็นถิ่นของชนเผ่าหนึ่ง ก็กำหนดให้ผู้คนแต่งกายแบบชนเผ่านั้น ไม่ว่านักเรียน ข้าราชการ หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นชาติพันธุ์นั้น เพื่อเชิดชูจุดเด่นของท้องถิ่น หรือส่งเสริมการท่องเที่ยวก็ตาม
เป็นปรากฏการณ์ย้อนกลับที่อาจกล่าวได้ว่ารัฐถูกกลุ่มชาติพันธุ์กลืนกิน
ตามคำนิยามความเป็น “ชาติพันธุ์” ที่ว่าเป็น--กลุ่มคนร่วมวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตามสายโลหิต หากยอมรับบรรพบุรุษทางวัฒนธรรม
และเป็นสิ่งเคลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเงื่อนไขสถานการณ์และกาลเวลาเปลี่ยนผ่านไป