ผู้นำกับ AI
จากบรรณาธิการ
ข่าวสารบ้านเมืองในช่วง ๒-๓ เดือนที่ผ่านมาคงทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะความสับสนวุ่นวายทางการเมือง ทั้งการกลับมาแสดงบทบาทของ ทักษิณ ชินวัตร จนมีคำถามว่าใครคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง การเสียชีวิตของ “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม ที่เรียกร้องคำตอบจากระบบยุติธรรม ความซับซ้อนของกติกาการเลือกตั้ง สว.ที่อาจเกิดปัญหาจนไม่ได้ประกาศผล ไปจนถึงแนวโน้มการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลที่กำลังจะมาถึง ฯลฯ หลายคนจึงคาดว่าเดือนมิถุนายนนี้ อาจมีความร้อนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอีก
นับจากปี ๒๔๗๕ ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึง พ.ศ. นี้ระบอบประชาธิปไตยของไทยมีอายุครบ ๙๒ ปีแล้ว เรามีนายกรัฐมนตรีถึง ๓๐ คน บางคนเป็นนายกฯ ของหลายรัฐบาล บางคนเป็นนายกฯ ได้ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน บางคนก็เป็นยาวนานหลายปี โดยเฉพาะนายกฯ ทหารหลังการรัฐประหาร ขณะที่นายกฯ จากการเลือกตั้งที่อยู่ครบเทอม ๔ ปีนั้นมีไม่กี่คน
ผู้นำทางการเมืองหรือองค์กรในอดีตมักเป็นผู้ที่ใช้การตัดสินใจเด็ดขาด เป็นผู้กุมข้อมูลข่าวสารและบริหารงานสั่งการแบบทอปดาวน์ซึ่งอาจประสบความสำเร็จในยุคที่ช่องทางการสื่อสารเป็นแบบทางเดียวการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนมีจำกัดทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก และประชาชนไม่ค่อยมีส่วนร่วมตัดสินใจในทิศทางการพัฒนาประเทศ
แต่โลกทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากศตวรรษที่ ๒๐ มาเป็นศตวรรษที่ ๒๑ จากสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พลิกโฉมเป็นโลกไร้พรมแดน โลกที่สิ่งแวดล้อมกำลังเสื่อมสลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและผันผวนรวดเร็วจากเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI
เมื่อผมถาม AI ChatGPT (version 1.1.0) ว่า ผู้นำทางการเมืองที่ดีในสมัยนี้แตกต่างจากสมัยก่อนอย่างไร
ChatGPT ก็พิมพ์ตอบมาค่อนข้างยาว ย่อความให้ได้ว่า
- ผู้นำต้องมีความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูล พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน สามารถสร้างความเชื่อมั่น สื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
- ต้องทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียหลากหลาย โดยสร้างความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม
- มีความสามารถจัดการกับความขัดแย้งอย่างสันติและสร้างสรรค์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการที่ยั่งยืนและมีความคิดสร้างสรรค์
- สามารถปรับตัวและยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและยังต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพยากรธรรมชาติจะยังคงมีอยู่สำหรับคนรุ่นถัดไป
อ่านความเห็นของ AI แล้วเรามาลองฟังความเห็นของ “เคน” นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ผู้นำและผู้บริหารแห่งสำนักข่าวออนไลน์ The Standard และผู้เขียนหนังสือ The Invisible Leader ผู้นำล่องหน ซึ่งเล่าไว้ในรายการ “The Secret Sauce” EP. 614 ว่า ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงและผันผวนนี้ ผู้นำทางการเมืองหรือองค์กรต้องเปลี่ยนจากนักบริหารเป็นนักบริการ เปลี่ยนจากคนสั่งเป็นคนฟัง รับฟังทุกเสียงที่แตกต่างแล้วหาฉันทามติ ผู้นำต้องเป็นนักสื่อสาร นักประสานและเจรจาความขัดแย้ง ซึ่งจะเป็นบทบาทที่สำคัญขึ้นเรื่อย ๆ
“ผู้นำล่องหน” ไม่ได้หมายความว่าผู้นำไม่สำคัญ แต่เป็นผู้นำที่ใช้อำนาจสั่งการน้อยที่สุด เพราะตอนนี้โลกต้องการความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาและสร้างการเปลี่ยนแปลง จึงต้องมี empathy ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น บริหารคนเป็น และสามารถปลุกพลังของความร่วมมือ ไม่ใช่คิดเองทำเองอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งถ้ายังเป็นผู้นำแบบเก่าก็เตรียมตกยุคได้
คำตอบของ AI ดูซ้อนทับกับ “ผู้นำล่องหน” ของเคนอยู่ไม่น้อย ซึ่งทั้งเคนและ AI ก็อาศัยการประมวลและสังเคราะห์ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งที่พวกเขาเข้าถึง (แต่หลังบ้าน AI อาจเอาข้อมูลของเคนมาประมวลเป็นคำตอบด้วยก็เป็นได้)
“แล้ว AI จะเป็นผู้นำที่ดีได้ไหม” ผมถาม ChatGPT อีกคำถาม
ปัญญาประดิษฐ์ตอบว่า AI ยังขาดคุณสมบัติของมนุษย์ เช่น
การสื่อสารความรู้สึก การสร้างแรงบันดาลใจกระตุ้นให้ทีมงานมุ่งมั่น โดยเฉพาะการตัดสินใจทางจริยธรรม ความยุติธรรม และผลกระทบต่อสังคม อาจมีอคติจากข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไป
คำตอบนี้แม้จะจี้จุดอ่อนของ AI แต่ก็ชูจุดเด่นของ AI ด้วย คือการรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำยุคใหม่ ที่พร้อมจะทำงานร่วมกับผู้อื่น และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
แต่บรรดาผู้นำทั้งหลายที่เราเคยพบเจอไม่ค่อยจะมีคุณสมบัตินี้กันสักเท่าไร
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
ฉบับหน้า :
รำลึก ๒๐ ปี เหตุการณ์ตากใบ