ANSi by Sarakadee
Home
Articles
Issues
Log in
ประโยชน์ของกองดอง
ที่คุณอาจคาดไม่ถึง
วิทย์คิดไม่ถึง
เรื่อง : ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ namchai4sci@gmail.com
ภาพประกอบ : นายดอกมา
สำหรับคนชอบหนังสือ การมีกองหนังสือบนชั้น (หรือแม้แต่บนพื้น) ก็ช่วยให้มีความสุขได้ แต่มักมีคนตั้งข้อสงสัยว่าเราควรจะมีหนังสือเป็นร้อยหรือเป็นพันเล่มในบ้านจริงหรือ ? จำนวนหนังสือขนาดนี้ในชีวิตของเราจะอ่านได้หมดหรือ ? ถ้าอ่านไม่หมดแล้วยังจะซื้อเพิ่มอีกทำไม ?
นี่ยังไม่นับว่าหากจำเป็นต้องย้ายบ้าน ก็ถือเป็นภาระหนักหนาสาหัสสากรรจ์ทีเดียว
นิสัยการซื้อหนังสือมากองแต่ไม่อ่านหรือพูดให้น่าฟังอีกหน่อยคืออ่านไม่ทันซึ่งเรียกกันอย่างลำลองว่า “กองดอง”
นั้น มีชื่อเรียกในภาษาอื่นด้วย เช่น ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าซุนโดกุ (tsundoku, 積ん読) เป็นคำสแลงที่มีกำเนิดย้อนกลับไปถึงยุคเมจิ (ราว ค.ศ. ๑๘๖๘-๑๙๑๒) พจนานุกรมภาษาอังกฤษบางเล่มก็มีเก็บศัพท์คำนี้ไว้ด้วยแล้วในปัจจุบัน เช่น Collins English Dictionary
ในหนังสือ
The Black Swan : The
Impact of the Highly Improbable
(ฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า
สะท้านตลาดด้วยเหตุ
การณ์ที่ยากจะเกิด
) ของ นัสซิม ทาเลบ ที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. ๒๐๐๗ ใช้คำเรียกหนังสือที่คนซื้อมากองไว้แต่ไม่อ่านนี้ว่า antilibrary (anti+library) ซึ่งน่าจะเอาคำศัพท์นี้มาจากนักเขียนชาวอิตาลีคือ อุมแบร์โต เอโก ที่เป็นนักสะสมหนังสือตัวยง
เอโกมีหนังสือในห้องสมุดส่วนตัวมากถึงราว ๓ หมื่นเล่ม !
อุมแบร์โต เอโก เขียนเล่าว่า คนที่มีโอกาสเห็นห้องสมุดส่วนตัวของเขาส่วนใหญ่มักจะอุทานด้วยความประหลาดใจ และถามว่าเขามีหนังสือทั้งหมดเท่าไรกัน เขาอ่านไปได้มากน้อยเท่าใดแล้ว มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่เข้าใจว่าห้องสมุดนี้ไม่ได้เอาไว้อวดว่ามีหนังสืออยู่มากเท่าใดหรืออ่านหนังสือไปมากน้อยเท่าใด
ห้องสมุดแบบนี้เป็นเครื่องมือทำวิจัยแบบหนึ่งและประโยชน์ที่แท้จริงคือมีไว้แสดงให้เห็นว่าหนังสือที่เราอ่านแล้วมีน้อยกว่าหนังสือที่ยังไม่อ่านเพียงใด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความรู้ที่เรามีอยู่ช่างมีปริมาณ (หรือคุณค่า) เพียงน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่เรายังไม่รู้ !!!
หากจะตอบคำถามว่าอันที่จริงแล้วห้องสมุดของ อุมแบร์โต เอโก ใหญ่โตเพียงใด ก็คงต้องหาจุดอ้างอิง สมาคมห้องสมุดอเมริกันให้คำแนะนำว่าห้องสมุด สำหรับเมืองที่มีประชากร ๒.๕ หมื่นคน อาศัยอยู่ควรจะมีหนังสืออย่างน้อย ๑ หมื่น
เล่ม และสำหรับสังคมอเมริกันแล้ว การสำรวจใน ค.ศ. ๒๐๑๘ พบว่าในห้องสมุดสาธารณะมีหนังสือเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๒ หมื่นเล่ม
หากเทียบกันเช่นนี้แล้ว ห้องสมุดของ อุมแบร์โต เอโก ก็ใหญ่กว่าห้องสมุดสาธารณะทั่วไปของคนอเมริกัน และมีหนังสือที่ให้บริการคนจำนวน ๗.๕ คนได้ถือเป็น “ห้องสมุดเมือง” ขนาดย่อม ๆ ทีเดียว !
น่าสงสัยว่าในประเทศไทยมีห้องสมุดที่บรรจุหนังสือมากเท่านี้สักกี่แห่ง ?
มีข้อมูลที่ระบุว่าห้องสมุดทั้งหมดของประเทศไทยมีอยู่ ๔๖,๔๔๘ แห่ง ที่เห็นว่ามีจำนวนเยอะ ๆ นี่ เป็นเพราะนับรวมห้องสมุดในโรงเรียนที่มีอยู่ ๔๕,๓๐๖ แห่งเข้าไปด้วย
เพิ่มเติมข้อมูลสักเล็กน้อยว่า สมาคมบรรณารักษ์โรงเรียนในอเมริการะบุว่า จำนวนหนังสือต่อเด็กนักเรียนหนึ่งคนที่เหมาะสมสำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลายคือ ๑๒, ๑๓ และ ๑๕ เล่ม ตามลำดับ
ในทางปฏิบัติสำหรับประเทศไทยแล้ว ยังน่าจะห่างไกลจากตัวเลขนี้มาก
กลับมาที่ นัสซิม ทาเลบ อีกครั้ง ในหนังสือเล่มดังที่กล่าวถึงข้างต้น เขากล่าวถึงแนวคิดเรื่อง antilibrary ไว้อย่างสอดคล้องกับ อุมแบร์โต เอโก ว่า
“ห้องสมุดส่วนตัวไม่ได้มีไว้เพื่อกระตุ้นอัตตา แต่มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือวิจัยหนังสือที่อ่านมีคุณค่าน้อยกว่าหนังสือที่ยังไม่ได้อ่านเป็นอย่างมาก ห้องสมุดแบบนี้ควรจะต้องมีหนังสือที่คุณยังไม่มีความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่การเงินของคุณอัตราการกู้ยืมของคุณ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มงวดในปัจจุบันจะอนุญาตให้คุณทำได้”
การมีหนังสือมากมายเกินกว่าจะอ่านได้หมดสิ้นในชีวิตนี้จึงไม่ได้เป็นเรื่องกดดันหรือทำให้เราเคร่งเครียดหรือสับสน แต่กลับเป็นเครื่องเตือนใจให้ “ถ่อมตัว” และตระหนักรู้เรื่องความรู้น้อยของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่มั่นใจจนเกินไปเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ จนเกิดอคติที่มาขัดขวางการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จนเลิกตั้งคำถามต่อสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะการคาดหมายหรือคาดเดาของตัวเราเอง
ความรู้ของเรานั้นทั้งพร่อง ทั้งไม่สมบูรณ์ ทั้งมีน้อยเสียเหลือเกิน จนห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ ความตระหนัก รู้เรื่องนี้จึงเป็นตัวแทนของ “ความหารู้ไม่ (unknowledge)” ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งกับความเชื่อมั่นในความรู้ของเรา
“ห้องสมุดที่ดีจึงเต็มไปด้วยหนังสือที่แทบจะไม่เคยได้อ่าน นี่แหละคือประเด็นของเรื่องนี้” ทาเลบบอกไว้เช่นนั้น เพราะเรามักจะประเมินคุณค่าของสิ่งที่เรายังไม่รู้ “ต่ำเกินจริง” สวนทางกับสิ่งที่เรารู้แล้วที่เรามักประเมินคุณค่า “สูงเกินจริง” แทบจะเสมอไป
โดยพื้นฐานแล้วเราจึงมักจะเข้าใจเรื่องความน่าจะเกิดขึ้นได้ของเรื่องชวนประหลาดใจผิดเพี้ยน
วิธีแก้ความมั่นใจเกินจริงที่ว่านี้จึงได้แก่การลดค่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับความรู้ของเราลง หันไปใส่ใจกับหนังสือที่ยังไม่อ่าน และไม่พยายามถือว่าความรู้ของเราเป็นดั่งทรัพย์สมบัติ เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของความรู้นั้น หรือแม้แต่มองว่ามันเป็นเครื่องมือส่งเสริมความภาคภูมิใจในตัวเอง
อาจต้องทำตัวเป็น “นักประสบการณ์นิยมวิพากษ์ (skeptical empiricist)” คือมองทุกอย่างบนหลักฐานจากประสบการณ์แต่ก็วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เห็นจากประสบการณ์นั้นอยู่เสมอ
มีคำแนะนำจากเว็บไซต์ nesslabs ว่าเราอาจใช้กลยุทธ์ห้าข้อในการดำรงความคิดแบบนี้ไว้ ได้แก่ วิธีแรกคือขยายขอบเขตความรู้จากเอกสารอ้างอิง เมื่ออ่านหนังสือเล่มใดแล้วผู้เขียนอ้างอิงหนังสือเล่มอื่น ๆ ก็อาจจะจดชื่อหนังสือเหล่านั้นไว้บ้าง แล้วมองหาเล่มที่น่าสนใจ ตรงกับความต้องการ ความอยากรู้ในขณะนั้น นี่เท่ากับเปิดขอบฟ้าความรู้ให้กว้างขวางขึ้น
วิธีการที่ ๒ คือเมื่ออ่านหนังสือเล่มใดจบ ลองคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น หรือไม่ก็ลองค้นหารีวิวในเว็บไซต์ Goodreads หรือ Amazon
อีกวิธีการหนึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามเลยคือปล่อยให้ความบังเอิญทำงานบ้าง เลือกหนังสือสุ่ม ๆ จากร้านแบบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก่อน ดูแค่หน้าปกหรือชื่อเรื่อง วิธีนี้เหมือนการเปิดหน้าต่างบานใหม่ที่ทำให้เกิดการค้นพบใหม่ ๆ ในชีวิตได้เช่นกัน
วิธีการต่อไปคือเลิกล้มความคิดว่าจะอ่านหนังสือให้ครบหมดทุกเล่ม หรือแม้แต่หวังว่าหนังสือที่ยังไม่อ่านจะลดน้อยลง เพราะการมีหนังสือเยอะแยะที่ไม่ได้อ่านรายล้อมรอบตัวไม่ใช่เรื่องไม่ดี ดังที่เล่ามายืดยาวข้างต้น และอันที่จริงนี่คือการเปลี่ยนสิ่งที่ “เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้” ให้กลายเป็น “สิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้” ต่างหาก !
วิธีการสุดท้ายคือการปรับปรุงความสัมพันธ์กับความรู้ให้ดีขึ้น แรก ๆ เมื่อเริ่มมีกองดองใหญ่ขึ้น เราอาจจะรู้สึกแปลก ๆ
หรือรู้สึกไม่เหมาะสมที่จะซื้อหนังสือมาดองเช่นนั้น จนอาจเกิดความกังวลใจได้ แต่เมื่อใดที่ตระหนักว่า “ความรู้เป็นกระบวนการ ไม่ใช่ความเป็นเจ้าของ” เมื่อนั้นก็จะรู้สึกว่ากองดองก็คือการลงทุนแบบหนึ่งที่เราลงทุนในตัวเอง แม้จะมีรายได้น้อยและมีหนังสือแค่สามถึงสี่เล่มบนชั้นที่ยังไม่เคยอ่าน แค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ขอยกตัวอย่างหนังสือคลาสสิกหรือหนังสือเล่มดัง ๆ ที่ผู้คนซื้อกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าต่างก็คาดหวังว่าจะอ่านจบ แต่เมื่อมีการสำรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ ว่าได้อ่านจริงมากน้อยแค่ไหนก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่อ่านกันไม่จบ โดยเฉพาะเล่มที่หนา ๆ
ตัวอย่างหนังสือยอดนิยมที่คนซื้อแต่ไม่อ่าน เช่น
ลอร์ดออฟเดอะริงส์
,
ยูลิสซีส
,
โมบี้-ดิ๊ก
,
เก้าอี้ว่าง
(
The Casual Vacancy
) ของ เจ. เค. โรว์ลิง คนเขียน
แฮร์รี่ พอตเตอร์
,
ฟิฟตี้เชดส์ออฟเกรย์
,
พยัคฆ์สาวรอยสักมังกร
(
The Girl with the Dragon Tattoo
) ฯลฯ
ส่วนเล่มดังที่อ่านแต่ไม่จบก็มีเยอะแยะทีเดียว (ในวงเล็บคือเปอร์เซ็นต์ที่อ่านไปก่อนเลิกอ่าน) ไม่ว่าจะเป็น
ประวัติย่อ
ของกาลเวลา ของ สตีเฟน ฮอว์คิง
(๖.๖ เปอร์เซ็นต์),
คิด, เร็วและช้า
(
Thinking,
Fast and Slow
) (๖.๘ เปอร์เซ็นต์),
ชีวิต
และทางเลือก
(
Hard Choices
) ของ ฮิลลารี คลินตัน (๑.๙ เปอร์เซ็นต์) แม้แต่หนังสืออีโรติกที่น่าจะอ่านแล้วฟินอย่าง
ฟิฟตี้
เชดส์ออฟเกรย์
ที่บางคนหยิบลงมาจากชั้น ก็อ่านไปได้แค่ ๒๕.๙ เปอร์เซ็นต์ ก่อนเลิกอ่าน !
เราจึงสามารถเรียนรู้และได้ประโยชน์มากมายจากการมีกองดองเป็นของตัวเองโดยไม่ต้องกังวลว่ากองดองจะมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวัน