ชั้น ๒ ของตึกคูหาสามชั้นยกพื้นที่ให้ “นิทรรศการถาวร” ซึ่งศิลปินหนุ่ม-เจ้าของแกลเลอรีเป็นผู้คัดสรรงานศิลปินไทย-ต่างชาติมาจัดแสดง โดยคำนึงถึงรสชาติบางอย่างให้ถูกคอคนไทย  ความพิเศษอยู่ชั้นล่างที่ทำให้ “นิทรรศการหมุนเวียน” ที่นี่มีรูป รส กลิ่นไม่เหมือนใคร  ไม่เพียงผลัดชิ้นงานทุก ๔๕ วัน ยังโดดเด่นด้วยการ “ตั้งตู้โชว์ขนมหวานไว้กลางห้อง” และมีเพียง “ช็อกโกแลตสไตล์เบลเยียม” คุณภาพดีเท่านั้นได้ครอบครองพื้นที่

เมื่อเข้าใกล้จะเห็นบรรจุภัณฑ์หุ้มช็อกโกแลตแปลกตา ไม่มีขายที่อื่น

ขึ้นอยู่กับว่าเวลานั้นแกลเลอรีจัดนิทรรศการเรื่องใด ตู้ขายขนมจึงมีช็อกโกแลตที่ออกแบบพิเศษให้สอดรับกับธีมของนิทรรศการ เช่นก่อนหน้านี้ ดุสิต พิมพ์ช่างทอง และ อรรถสิทธิ์ ปกป้อง แสดงนิทรรศการชุด “La Vie en Rose” เอริกและแกลโลไทยก็ดึงจุดเด่นของงานจิตรกรรมที่โดดเด่นด้วยเรื่องราวของหญิงสาวมาออกแบบช็อกโกแลตให้มีรูปทรงแว่นตาโฉบเฉี่ยวตามฉบับสาวเปรี้ยว หรือนำรูปวาดหญิงสาวที่มีริมฝีปากอวบอิ่มทาลิปสติกสีสดสะดุดตามาพิมพ์เป็นฉลากหุ้มช็อกโกแลตชวนสะสม

วันที่เรามาตู้โชว์กำลังอวด “ช็อกโก-แลตหน้าใหม่” หุ้มห่อรูปวาด At Ease หนึ่งในชุดที่ Christian Fielitz ศิลปินชาว เยอรมันนำเสนอบันดาลใจจากการได้สัมผัสบรรยากาศต่าง ๆ ในเมืองไทยผ่านนิทรรศการ “The 6th Day, At Dawn” หากเป็นรูปวาดสีอะคริลิกบนเฟรมผ้าใบแคนวาสขนาด ๑๒๐ x ๑๒๐ เซนติเมตร หนึ่งเดียวในโลกนี้ตั้งมูลค่าไว้ที่ ๘๙,๐๐๐ บาท ครั้นอยู่ในรูปบรรจุภัณฑ์ช็อกโกแลต หลายคนจึงสมมุติตนเป็นนักสะสมสมัครเล่นได้ในราคาหลักร้อย ตู้ช็อกโกแลตของที่นี่จึงมีฐานะเป็นดั่งแกลเลอรีเล็กซ้อนในแกลเลอรีขนาดใหญ่กว่า เป็นทางเลือกใหม่ของการสะสมคอลเลกชันศิลปะแบบได้อร่อยไปในตัว

เมื่อสิ้นสุดระยะจัดแสดง รูปที่เจ้าของแกลเลอรีสนใจอาจได้รับติดตั้งต่อชั้นบน ส่วนช็อกโกแลตยังจำหน่ายจนกว่าจะหมดและไม่มีการผลิตซ้ำ เพื่อสร้างคุณค่าให้ศิลปะย่อส่วนได้เป็น limited edition เช่นกัน