ANSi by Sarakadee
Home
Articles
Issues
Log in
สรุปรวบรวม : ศรัณย์ ทองปาน
ครึ่งแรกของทศวรรษ ๑๙๙๐ (ปี ๒๕๓๓-๒๕๔๒) เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จนเป็นที่คาดหมายกันว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” เป็น “เสือตัวใหม่”
ทางเศรษฐกิจ หรือ “เสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย” (ต่อจากสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกง) ในไม่ช้า
ความเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยุคนั้นเป็นผลพวงจากความเฟื่องฟูของตลาดเงินตลาดทุนโลก และการขยายตัวของการลงทุนข้ามพรมแดน ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นในทศวรรษ ๑๙๘๐
ขณะนั้นมีความใฝ่ฝันกันว่าการเปิดให้มีกิจการวิเทศธนกิจ
ขึ้นในประเทศ คือขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค
กิจการวิเทศธนกิจหมายถึงธุรกิจการเงินระหว่างประเทศ ได้แก่ การรับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเป็นเงินตราต่างประเทศ การให้กู้ยืมเงินเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศ
ไทยและต่างประเทศ การซื้อขายปริวรรตเงินตราต่างประเทศที่ไม่ใช่เงินบาท การค้ำประกันหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ การจัดหาเงินกู้ที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ หรือการเป็นผู้จัดการในการจัดกู้ ฯลฯ
ในปี ๒๕๓๖ กระทรวงการคลัง สมัยนายธารินทร์ นิมมาน
เหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ มีนโยบายอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศเปิดดำเนินธุรกิจวิเทศธนกิจในประเทศไทยได้ เรียกกันว่า BIBF (Bangkok International
Banking Facilities) โดยธนาคารไทยพาณิชย์เริ่มดำเนินธุรกิจวิเทศธนกิจเป็นแห่งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๖
หลังจากนั้น ช่วงปี ๒๕๓๗-๒๕๓๘ จึงมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศ ผ่านธนาคารพาณิชย์และกิจการ
วิเทศธนกิจเข้าสู่ประเทศไทยปริมาณมหาศาล เงินทุนเหล่านี้
ถูกนำมาปล่อยกู้ เนื่องจากขาดแคลนเงินออมภายในประเทศ และอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำกว่าดอกเบี้ยภายในประเทศมาก
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศถูกกำหนดไว้
ให้คงที่ คือ ๑ ดอลลาร์สหรัฐต่อ ๒๕ บาทมาเนิ่นนาน
พร้อมกันนั้นเงินทุนต่างประเทศอีกไม่น้อยยังทะลักเข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ นำไปสู่การเก็งกำไรที่ดินและโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ ๆ ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แม้นักเศรษฐศาสตร์จะพยายามส่งสัญญาณว่าทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นล้วนเป็นภาพลวงตาของ “ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่”
(economic bubble) เมื่อราคาทรัพย์สิน หลักทรัพย์ และ
อสังหาริมทรัพย์ ถูก “ปั่น” ให้มีมูลค่าเกินความเป็นจริง แต่กลับแทบไม่ได้รับความใส่ใจ ด้วยว่าสังคมไทยกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศชื่นมื่นแห่งความมั่งคั่งและความหวัง
ตั้งแต่ทศวรรษก่อนหน้า ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ เริ่มปรับโฉมเข้าสู่ยุคใหม่ เช่นการเกิดขึ้นของเซ็นทรัล ลาดพร้าว
(ปี ๒๕๒๔), มาบุญครอง (ปี ๒๕๒๘ ปัจจุบันคือ MBK) และ
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (ปี ๒๕๓๒ ปัจจุบันคือเซ็นทรัลเวิลด์)
ยิ่งเมื่อถึงทศวรรษ ๑๙๙๐ สาขาใหม่ ๆ ของห้างเริ่มผุดขึ้นตามพื้นที่ปริมณฑลกรุงเทพฯ รองรับการขยายตัวของชุมชนเมือง
ที่แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง เช่น เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน
จังหวัดนนทบุรี (ปี ๒๕๓๔) ติดตามมาด้วยเดอะมอลล์ บางแคและบางกะปิในปีต่อมา (ปี ๒๕๓๕) ห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
จังหวัดปทุมธานี (ปี ๒๕๓๘) และฟิวเจอร์พาร์ค บางแค
(ปี ๒๕๓๘ ปัจจุบันคือซีคอน บางแค) บิ๊กคิงส์ บางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี (ปี ๒๕๓๙ ปัจจุบันปิดร้าง)
วิถีชีวิตของคนเมืองที่ถูกนำเสนอผ่านหน้าสื่อเต็มไปด้วยการปรุงแต่งรสนิยมอย่างหรูเลิศวิไล มีคอลัมน์แนะนำไวน์
ต่างประเทศราคาขวดละเป็นหมื่นเป็นแสนบาทตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน มีการสะสมงานศิลปะเพื่อเก็งกำไร
ถึงระดับที่แม้ตัวศิลปินยังเป็นเพียงนักศึกษาศิลปะปีต้น ๆ
แต่หากดู “มีแวว” ก็เริ่มมีคนจับจองผลงานกันไว้ล่วงหน้าแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ อย่างไปสิงคโปร์เพื่อชม
การแสดงละครเพลง Les Misérables (เหยื่ออธรรม)
หรือชมนิทรรศการศิลปะระดับโลก กลายเป็นเรื่องปรกติ
นอกกรุงเทพฯ ออกไป ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจไทย
ในภูมิภาคปรากฏชัดเจนจากสถิติยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศต่อปี จากหลัก ๒ แสนคันเมื่อปี ๒๕๓๔ ขึ้นเป็น
๓ แสนคันในปี ๒๕๓๕ ไต่ขึ้นสู่ ๔ แสนคันช่วงปี ๒๕๓๖-
๒๕๓๗ แล้วทะลุ ๕ แสนคันได้เป็นครั้งแรกในปี ๒๕๓๘
ก่อนเข้าใกล้ ๖ แสนคันในปี ๒๕๓๙
ยุคเศรษฐกิจฟองสบู่จบสิ้นลงอย่างกะทันหันในปี ๒๕๔๐
ทิ้งไว้เพียงซากโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหลายแห่งต้องใช้เวลานับสิบปี
กว่าจะได้ก่อสร้างต่อ ขณะที่บางแห่งยังคงถูกทิ้งร้างมาจนบัดนี้
แต่แล้วเมื่อถึงครึ่งแรกของปี ๒๕๔๐ ไทยต้องเผชิญกับการโจมตีค่าเงินบาทจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ทุนสำรองของประเทศเพื่อการนี้ไปจนเกือบหมดสิ้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการไว้ได้
๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท คือเปลี่ยนจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวภายใต้การจัดการ (managed float) เงินบาทอ่อนค่าลงทันที จาก ๒๕ บาทต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๓๒ บาทในชั่วข้ามคืน
นับแต่วันนั้นประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หรือที่เรียกกันในเวลาต่อมาว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง”
มาตรการสารพัดอย่างที่หลายฝ่ายพยายามผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาไม่บรรลุผล สุดท้ายเดือนต่อมา สิงหาคม ๒๕๔๐
ประเทศไทยจึงต้องขอเข้ารับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF)
ซึ่งมาพร้อมเงื่อนไขการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจมากมาย
ธนาคารและสถาบันการเงินหลายสิบแห่งของคนไทยถูกขายทอดตลาด เปลี่ยนมือ เปลี่ยนชื่อ แล้วสุดท้ายควบรวม
เข้ากับธนาคารอื่น ๆ จนสาบสูญชื่อเสียงเรียงนามไปตลอดกาล
เช่น ธนาคารนครธน ธนาคารกรุงเทพพณิชยการ ธนาคารศรีนคร ธนาคารไทยทนุ ธนาคารสหธนาคาร ฯลฯ
พนักงานบริษัทจำนวนมากต้องตกงาน หรือถูกลดเวลาทำงาน ลดเงินเดือน โบนัสปีละ ๘ เดือน ๑๐ เดือน กลายเป็นเรื่องของอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน เจ้าของกิจการระดับร้อยล้านพันล้านต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เกิดมหกรรม “เปิดท้ายขายของ” หรือ “ตลาดคนเคยรวย” ขึ้นทุกมุมเมือง ความทุกข์ยาก สิ้นหวัง หดหู่ แผ่ขยายปกคลุมสังคมไทย
สภาพเช่นนี้เองคือบริบทแห่งพระราชดำรัสของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาส
วันเฉลิมพระชนมพรรษา ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ ที่ว่า
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชู
ตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง...”
ขณะเดียวกันหลังจาก “ลอยตัว” ค่าเงินบาทในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ เงิน ๑ ดอลลาร์สหรัฐที่เคยใช้เงินไทยแลก ๒๕ บาท ถีบตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ จนทำสถิติใหม่ อ่อนตัวต่ำสุด
ที่ระดับ ๕๖ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อถึงเดือนมกราคม ๒๕๔๑
เท่ากับว่าหนี้สินต่างประเทศของบริษัทและกิจการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเท่าตัว ตัวอย่างเช่นหนี้สินจำนวน ๑ พันล้านบาท ทวีคูณเป็นกว่า ๒ พันล้านบาท ภายในเวลาเพียง ๖ เดือน
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากที่เคยร้อนแรง ทำสถิติสูงขึ้นไปเกิน ๑,๔๐๐ จุดในเดือนมกราคม ๒๕๓๙ แต่เมื่อถึงเดือนกันยายน ๒๕๔๑ กลับตกลงเหลือเพียง ๒๐๗ จุด
เช่นเดียวกับยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศ จากเกือบ
๖ แสนคันเมื่อปี ๒๕๓๙ เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ปี ๒๕๔๐ อำนาจการซื้อของประชาชนหายวับไปทันที ยอดขายรถยนต์
ปีนั้นเหลือเพียง ๓ แสนคัน
ยิ่งเมื่อถึงปี ๒๕๔๑ ก็ลดลงไปอีกกว่าครึ่ง คือไม่ถึง
๑.๕ แสนคันด้วยซ้ำ
หากแต่สภาวะที่เงินบาทอ่อนตัวเช่นนี้กลับส่งผลดีสำหรับการส่งออก เพราะเท่ากับว่าสินค้าจากประเทศไทยราคาถูกลงในตลาดโลก ขณะที่เงินตราต่างประเทศที่ได้รับคืนมากลับมีมูลค่าสูงเมื่อคิดเป็นเงินไทย ดังนั้นแม้ลูกค้าในประเทศจะหายไป แต่ยอดส่งออกรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย จากจำนวนเพียง ๑.๔ หมื่นคันในปี ๒๕๓๙ จึงเพิ่มขึ้นสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจ กลายเป็นกว่า ๔ หมื่นคันในปี ๒๕๔๐
เมื่อถึงปี ๒๕๔๒ ยอดส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยสามารถถีบตัวทะลุหลักแสนคันได้เป็นครั้งแรก
นั่นคือแม้ในท่ามกลาง “วิกฤต” ยังมี “โอกาส” ใหม่ ๆ สำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน