ANSi by Sarakadee
Home
Articles
Issues
Log in
ฮาวทูทิ้งช่วงน้ำท่วม
Holistic
เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
ภาพประกอบ : zembe
การซื้อเป็นเรื่องง่าย แต่การจำหน่าย
จ่ายแจกหรือกำจัดสิ่งของเป็นเรื่องยาก
เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของก็ยากที่จะ “ปล่อยมือ” ยิ่งหากเป็นของที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อ
ผู้ซื้อและคนรอบตัว แม้แต่สิ่งของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เราก็มักมีเหตุผลให้ตัวเองเสมอ เช่น เดี๋ยวก็ได้ใช้ เก็บไว้ให้ลูกหลาน
ใช้ เป็นต้น เราจึงมักมีสิ่งของทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจสะสมเต็มตู้ เต็มห้องเก็บของ และเต็มบ้าน
สมัยนี้จึงมีอาชีพใหม่คือธุรกิจจัดเก็บบ้าน ซึ่งนับวันจะได้รับความนิยมในยุคที่เราสั่งซื้อสินค้าได้เพียงแค่สัมผัสหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เมื่อใดรู้สึกเหงาหรือเศร้า หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือ เราจะเห็นภาพสินค้าที่กลไกเทคโนโลยีในโซเชียลมีเดียนำเสนอแบบ “รู้ใจ” ราวกับมานั่งอยู่ในใจ เราซื้อของจากภาพโฆษณา ไม่เห็นของจริง ไม่ได้จับต้อง เมื่อของมาถึง ลองใช้ลองใส่แล้วไม่ถูกใจก็วางทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าหรือห้องเก็บของตลอดกาล
ผู้เขียนมีเพื่อนทำธุรกิจขายเสื้อผ้า
มือสอง เธอมักได้รับการติดต่อให้ไปเหมาซื้อเสื้อผ้าตามบ้านเรือน เธอบอกว่า
ส่วนใหญ่เป็นของใหม่ ใช้ไม่กี่ครั้ง และมี
ไม่น้อยบรรจุอยู่ในกล่องพัสดุที่เจ้าของ
ยังไม่ได้เปิดดู เมื่อซื้อเสื้อผ้ามากเกินจึงต้องเรียกใช้บริการร้านขายเสื้อผ้ามือสองมาเคลียร์ตู้เสื้อผ้าให้ว่างเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าใหม่มาใส่ตู้ให้เต็มอีกครั้ง
ในภาพยนตร์
ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไร
ไม่ให้เหลือเธอ
ตัวเอกที่ตั้งใจทำบ้านตึกแถวของครอบครัวให้เป็นสำนักงานแบบมินิมอล คือ โปร่งโล่งสะอาดตา มีสิ่งของน้อยชิ้นที่สุด ตัดใจกำจัดสิ่งของ
ในบ้าน รวมถึงสิ่งของในความทรงจำของตัวเองและครอบครัว เรียกได้ว่า “หักดิบ” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสมาชิกในครอบครัว
ต่างมีของรักของหวงด้วยกันทั้งนั้น
ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่ช่วย “หักดิบ” หรือ
“ตัดใจ” ทิ้งสิ่งของได้ดีที่สุดคือการเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินและบีบคั้น เช่นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เพิ่งผ่านมา
เมื่อมีข่าวว่าน้ำจะท่วมใหญ่ เพื่อนของผู้เขียนจึงเริ่มเก็บของที่สำคัญและจำเป็นเพื่อเคลื่อนย้ายขึ้นสู่ที่สูง เธอรื้อของในตู้โชว์ขนาดใหญ่ที่เป็นของสะสมของคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งของตัวเองในวัยเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคย
ถูกหยิบมาใช้สอยหรือดูชม แล้วนำไปบริจาคให้แก่องค์กรเพื่อการกุศลเหลือสิ่งของที่สำคัญและจำเป็นเพียงไม่กี่อย่าง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์บีบคั้น
ไม่ว่าน้ำท่วมหรือภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้
ซื้อได้น้อยลง ล้วนเป็นการจัดการสิ่งของที่ปลายเหตุ เพราะเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ผู้คนก็มักหาซื้อสิ่งของที่เคยมีมาทดแทน กลับสู่วงจรเดิมคือสะสมจนล้นบ้านอีกครั้ง
แนวทางที่ดีที่สุดคือสร้างนิสัยการบริโภคที่เป็นมิตรต่อตัวเองและโลก โดยเริ่มจากตระหนักรู้ว่าการซื้อสิ่งของ
ไม่เพียงแค่เสียเงิน แต่ยังเสียเวลาและพลังงานในชีวิตด้วย การซื้อสินค้าออนไลน์ เรามักใช้เวลาเปรียบเทียบสินค้าจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ บางคนซื้อของไม่ถึง ๑๐๐ บาท แต่ท่องอินเทอร์
เน็ตเปรียบเทียบราคาทั้งวันเพื่อประหยัดเงินหลัก ๑๐ บาท เหลือเวลาไปทำสิ่งสำคัญลดลง เช่น ทำงานประจำ งานบ้าน
งานอดิเรก หรืออยู่ร่วมกับคนในครอบครัว
ตรงกันข้าม การลด ละ เลิกซื้อสินค้า
ที่ไม่จำเป็นจะทำให้จิตใจเราปลอดโปร่ง หลุดพ้นจากวงจรการบริโภค ที่นักการตลาดมักทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เรามีอยู่ยังไม่ดีพอ มีไม่มากพอ ต้องซื้อเพิ่มเรื่อย ๆ การจำกัดและควบคุมสิ่งของในชีวิตจึงนับเป็นอิสรภาพอย่างหนึ่ง และการพอใจกับสิ่งของที่เรามีอยู่คือความสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายหาเงินมาซื้อของไม่จำเป็น มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำและมีคุณค่าอื่น ๆ ได้มากขึ้น
• ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
ของชีวิตลดลง คนส่วนใหญ่คิดว่า
การชอปปิงนั้นเสียแค่เงิน แต่จริง ๆ แล้ว
ยังทำให้เสียเวลา เสียสุขภาพ และ
เสียโอกาสในการลงทุนชีวิตด้านอื่นด้วย
เช่น นำเงินและเวลาดังกล่าวไปทำกิจกรรม
ที่มีความหมายต่อชีวิตและคนรอบข้าง
• ระวังแม่เหล็กแห่งการซื้อ
ของบางอย่าง
เมื่อซื้อแล้วต้องซื้ออุปกรณ์เสริมด้วย เช่น
ซื้อโทรศัพท์มือถือ ก็ต้องซื้อเคส สายชาร์จ
อะแดปเตอร์ ฟิล์มกันรอย หูฟัง
พื้นที่จัดเก็บข้อมูล เป็นต้น
• สำรวจวงจรหรือพีระมิดความต้องการ
เริ่มจากฐานพีระมิดคือ ใช้ของที่มี ยืม
แลกเปลี่ยน ขายเป็นของมือสอง ทำใช้เอง
จนถึงยอดสูงสุดของพีระมิดคือการซื้อ
หากสำรวจขั้นตอนทั้งหมดแล้วยัง
ไม่ตอบโจทย์ความต้องการจึงค่อยซื้อ
• ใหม่มา เก่า (ต้อง) ไป
ทุกครั้งที่จะ
ซื้อของใหม่ ให้หาวิธีจำหน่ายจ่ายแจก
ของเก่า เช่น หากจะซื้อโทรศัพท์ใหม่
ต้องคิดว่าจะเอาโทรศัพท์เครื่องเดิม
ที่ยังใช้ได้ให้ใคร ถ้าเราไม่สามารถ
กำจัดของเก่าได้ ทำไมจึงต้องการ
ของใหม่ล่ะ
• บอกลาของฟรี
เราอยู่ในกองของฟรี
ไม่ว่าปากกา สบู่ ยาสีฟัน พวงกุญแจ
ของฟรีมักทำให้เราเสียเวลาและพลังงาน
ในการกรอกเอกสารออนไลน์หรือทำ
แบบประเมินผล ให้ถามตัวเองว่าในอนาคต
จะเกิดอะไรกับของฟรีเหล่านี้ เราจะได้ใช้
วันละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง
หรือเป็นแค่ของสะสมเปื้อนฝุ่นที่เราจะ
ไม่แตะต้องมัน ดังนั้นการปฏิเสธตั้งแต่
เริ่มต้น จะทำให้เราไม่เหน็ดเหนื่อยกับ
การกำจัดสิ่งของที่จะกลายเป็นขยะในบ้าน
ภายหลัง