Image

Image

เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง

เทียบจากแผนที่ในปัจจุบัน แทบไม่มีจังหวัดใดเลยในอีสานที่ไม่มีผู้มีบุญ แต่เมื่อพูดถึงผีบุญ คนจะนึกถึงกลุ่มองค์มั่นที่อุบล อาจเพราะเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดถูกปราบอย่างรุนแรงที่สุด มีคนล้มตายหลายร้อยจนกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อีสาน

แต่ความจริงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นยังมีกลุ่มผู้มีบุญเกิดขึ้นในที่อื่น ๆ ตามหัวเมืองในอีสานอีกนับร้อย  มีผู้นำที่ประกาศจะนำชาวบ้านที่เชื่อถือศรัทธาไปสู่โลกพระศรีอาริย์ หรือพระศรี
อริยเมตไตรย โดยส่วนใหญ่มุ่งเป้าหมายทางสังคมในการมีชีวิตที่ดี พ้นจากความยากแค้นขัดสน  แต่บางกลุ่มยังเชื่อมโยงถึงเป้าหมายทางการเมืองการปกครองด้วย จึงถูกทางการสยามขานนามคนตั้งตนเป็นผู้วิเศษหรือผู้มีบุญเหล่านั้นไปแบบเหมารวมว่า “กบฏผีบุญ” คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกกับผู้มีบุญกลุ่มอุบลที่นำโดยองค์มั่น  ขณะที่กบฏผู้มีบุญกลุ่มอื่น ๆ ก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้นมักถูกเรียกขานตามชื่อผู้นำ

เฉพาะในช่วงปี ๒๔๔๔-๒๔๔๕ มีผู้มีบุญที่ถูกทางการกวาดจับได้ไม่ต่ำกว่า ๖๐ คน ใน ๑๓ เมือง ได้แก่ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม บุรีรัมย์ อุดรธานี จังหวัดละ ๑ คน ร้อยเอ็ดและสกลนคร จังหวัดละ ๓ คน  กาฬสินธุ์และสุรินทร์ จังหวัดละ ๔ คน  นครราชสีมา ๕ คน  มหาสารคาม ๑๐ คน ศรีสะเกษและอุบลราชธานี จังหวัดละ ๑๓ คน หนองคายไม่มีผู้นำ


แต่หากนับจากปี ๒๒๔๒ ที่เกิดกบฏบุญกว้าง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการผู้มีบุญในอีสาน จนถึงกบฏศิลา วงศ์สินเมื่อปี ๒๕๐๒  ขบวนการผู้มีบุญในอีสานเกิดขึ้น ๙ ครั้งใหญ่ ๆ ในรอบ ๒๖๐ ปี

Image

Image

เป็นความปรารถนาของคนลาวที่จะพ้นอำนาจรัฐสยาม ผู้นำเป็นคนลาวชื่อบุญกว้าง อ้างตัวเป็นผู้มีบุญ ตั้งตัวเป็นใหญ่ซ่องสุมผู้คนอยู่นอกเมืองโคราช  ตาม พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ว่า มีทหาร ๔ พันเศษ ช้าง ๘๔ เชือก ม้า ๑๐๐ กว่าตัว  ยกพลจากนครราชสีมามาทางบัวชุม ไชยบาดาลถึงลพบุรี ห่างกรุงศรีอยุธยาราว ๖๐ กิโลเมตร กองทัพอยุธยายกพล ๕ พันคนออกไปปราบ จับบุญกว้างกับพวกถูกประหารชีวิต ๒๙ คน เหตุการณ์นี้ถูกนับเป็นกบฏผู้มีบุญครั้งแรกของอีสาน

Image

Image

Image

เชียงแก้วเป็นชาวเมืองสาละวัน  “เชียง” ที่เป็นคำนำหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนเคยบวชเรียนมาก่อน ส่วนคำว่า “อ้าย” ในภาษาอีสานคือพี่ แต่รัฐส่วนกลางใช้เรียกนำหน้าชื่อผู้ชายที่เป็นไพร่หรือโจรผู้ร้าย

เชียงแก้วคงเป็นผู้มีความรู้ทางศาสนาและเวทมนตร์คาถาบ้าง ได้แสดงตนเป็นผู้วิเศษ มีคนเลื่อมใสศรัทธาเข้าเป็นพวกจำนวนมาก แต่ไม่มีการระบุตัวเลขที่ชัดเจน

เมื่อมีคนนับถือมากและเป็นช่วงที่เจ้าเมืองจำปาศักดิ์กำลังป่วยหนัก เชียงแก้วก็คิดการใหญ่ ด้วยตั้งแต่ปี ๒๓๒๕ กรุงเทพฯ กำลังสร้างราชธานี ไพร่ลาว ข่า ต้องส่งส่วยทองคำปีละ ๖ ชั่ง มากกว่าสมัยธนบุรีเท่าตัว เป็นภาระที่ราษฎรหัวเมืองต้องแบกรับ

ในเขตนครจำปาศักดิ์เป็นถิ่นที่ชาวข่าอาศัยอยู่ก่อน จนพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ถูกลาวรุกรานจนกลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่เป็นเบี้ยล่างครั้นผู้นำอย่างเชียงแก้วใช้อภินิหารรวบรวมคนได้ ก็ร่วมกันลุกขึ้นประกาศอิสรภาพกอบกู้ฐานะทางสังคมของตนคืนมา ซึ่งสามารถยึดเมืองจำปาศักดิ์ได้ เจ้าเมืองพระชนมายุ ๘๑ พรรษา ที่กำลังประชวรอาการกำเริบถึงแก่พิราลัย และกลุ่มกบฏก็ได้รับการยอมรับจากประชาชนซึ่งเป็นชาวข่าด้วยกันอีกด้วย

ทางกรุงเทพฯ สั่งทางนครราชสีมาให้ยกทัพไปปราบ แต่ไปไม่ทันถึง กองทัพของพระประทุมที่บ้านห้วยแจระแม อยู่ในเขตอุบลราชธานีในปัจจุบัน กับท้าวฝ่ายหน้า บ้านสิงห์ท่าหรือยโสธรในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ใกล้เหตุการณ์มากกว่า ได้ยกทัพไปตีอ้ายเชียงแก้วก่อน ปะทะกันที่แก่งตะนะ เมืองโขงเจียม อ้ายเชียงแก้วถูกจับฆ่าที่นั่น

Image

Image

Image

ใน ประชุมพงศาวดารภาค ๔ พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ว่า ผู้นำเป็นภิกษุชื่อสา อยู่เมืองสารบุรี ธุดงค์มาอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่งในแขวงเมืองจำปาศักดิ์  เกียดโง้งเป็นคำสร้อยมาจากลักษณะของขาที่ยาวเหมือนขาเขียด  พระรูปนี้แสดงตนว่ามีอภินิหารเหนือคนธรรมดา มีคนข่าเข้าเป็นพวกจำนวนมากถึง ๘,๐๐๐ คน 

ส่วนในเอกสาร “พื้นเวียง” หรือประวัติศาสตร์เวียงจันทน์
บอกว่านามนี้เป็นสมณศักดิ์สงฆ์ชั้นสูง มีจริยวัตรน่าเลื่อมใสเป็นที่ศรัทธา มีฤทธานุภาพเหนือมนุษย์ ขุดสระบนแผ่นหินแล้วมีน้ำขังตลอดปี ปลูกมะพร้าวบนหินให้ออกลูกได้

ในเอกสารของลาวระบุด้วยว่าสาเหตุการกบฏครั้งนี้มาจากยกกระบัตรเมืองนครราชสีมาต้องการสร้างความวุ่นวายเพื่อจะได้ปราบปรามและกวาดต้อนพวกข่ามาถวาย ซึ่งในช่วงนั้น ข่าได้รับความเดือดร้อนจากการถูกกวาดต้อนมาเป็นไพร่อยู่แล้ว แม้ในพงศาวดารของไทยก็บอกว่าข่าล้มตายและแตกหนีไปอยู่ตามป่าดงเป็นอันมาก  เมื่ออ้ายสาเกียดโง้งอ้างว่าตนเป็นท้าวฮุ่ง (ขุนเจียง) กลับชาติมาเกิดและชวนกอบกู้เอกราช ชาวข่าที่กำลังทุกข์ยากจึงพร้อมใจเข้าร่วมยึดเมืองจำปาศักดิ์ซึ่งทำได้สำเร็จ

แต่สุดท้ายผู้นำก็ถูกจับและส่งตัวมายังกรุงเทพฯ รัชกาลที่ ๒ รับสั่งให้จำคุกตลอดชีวิตแทนการประหารเนื่องจากเป็นภิกษุ ส่วนครอบครัวชาวข่าที่ถูกกวาดต้อนมาด้วย ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางบอน ฝั่งธนบุรี ทำหน้าที่เป็นตะพุ่นเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้าง

Image

การเสียส่วยด้วยเงินเป็นภาระหนักของชาวบ้านสะอาด ในอำเภอน้ำพองปัจจุบัน เพราะก่อนนั้นเคยเสียเป็นสิ่งของอย่าง แห ผ้าขาว

นายหนู นายจวน และอีกคนไม่ทราบชื่อ จึงชักชวนชาวบ้านไม่ให้เสียส่วย หรือถ้าเสียก็ให้เวียงจันทน์ดีกว่า  บ้านสะอาดเป็นอิสระไม่เสียส่วยอยู่ ๓ ปี เมื่อทางการยกกำลังมา ผู้นำทั้งสามต้มว่านให้ชาวบ้านกินกับข้าวว่าให้อยู่ยงคงกระพัน

และให้ชาวบ้านทำข้าวสุกตากแห้งใส่กระบอกไว้เป็นเสบียงระหว่างสู้รบ

ชื่อเหตุการณ์สามโบก มาจากสามครั้ง เนื่องจากกลุ่มผู้นำถือปืนคาบศิลาออกไปตั้งรับสู้เจ้าหน้าที่ แต่ถูกยิงตายทั้งสามคน คนในหมู่บ้านจึงแตกหนีไป

Image

Image
Image

Image

ท้าวบุญจัน น้องชายของเจ้าเมืองขุขันธ์เวลานั้น ทั้งคู่เป็นลูกชายเจ้าเมืองขุขันธ์คนก่อน  น้องชายต้องการเป็นใหญ่ซ่องสุมกำลังอยู่ในป่าเขาทางตอนใต้เตรียมเข้ายึดเมืองขุขันธ์ ซึ่งตามรายงานของข้าหลวงใหญ่มณฑลอุบลว่ามีสมาชิก ๖ พันคน โดยไม่ได้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษ ไม่มีการใช้เวทมนตร์คาถารักษาคน แต่ในช่วงนั้นเมื่อมีการรวมกลุ่มชุมนุมคน รัฐบาลก็ถือเป็นเรื่องกบฏผู้มีบุญทั้งสิ้น กลุ่มท้าวบุญจันถูกปราบลงในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนโดยกองกำลังท้องถิ่นไม่ถึง ๑๐๐ คน ท้าวบุญจันกับพวก ๑๗ คน ถูกยิงตาย ท้าวบุญจันถูกนายร้อยโทหวั่นตัดหัวนำเข้ามาในเมืองเพื่อให้ราษฎรได้เห็นว่าบุญจันไม่ได้วิเศษจริง และเป็นการปรามให้หวาดกลัวที่จะต่อต้านรัฐบาล

Image

กรมการเมืองมโนไพร เริ่มจากไม่ฟังบังคับบัญชาของเมืองขุขันธ์ โดยอ้างว่าตนเป็น “คนในบังคับของฝรั่งเศส” รวมทั้งชักชวนราษฎรว่าไม่ต้องเสียส่วยให้สยาม รัชกาลที่ ๕ มีพระราชหัตถเลขาถึงเหตุการณ์นี้ว่า “อ้ายบุญจันนั้นมีบุญด้วยตัวเอง ส่วนท้าวติด ท้าวฮู นั้นได้รับอำนาจจากฝรั่งเศส”

Image

ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษอยู่ที่บ้านแก่นท้าว อำเภอจันทึก หรืออำเภอสีคิ้วในปัจจุบัน อ้างว่าเป็นองค์ทอง บุตรเจ้าอนุวงศ์ ล่องหนกำบังตนได้ ชาวบ้านศรัทธาเอาข้าวของมาให้ สมภารวัดเอาแว่นมาส่องดูตัวนายบุญมี แล้วบอกคนทั้งหลายว่าร่างนายบุญมีเป็นทองทั้งตัว

Image

เหตุเกิดที่บ้านบาหาด บะหาด หรือนาหาด ในอำเภอนาดูนปัจจุบัน

ใน “ใบบอกหลวง” ของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๔๔ บอกว่าเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ที่บาหาด แขวงเมืองมหาสารคาม ผู้มีบุญ ๗ คน ใส่เสื้อแดง กับพวกราษฎร ๑๗๐ คน เข้าแย่งปืนและทุบตีนายสิบ จึงใช้ปืนยิงไป ๒ นัด ตาย ๒ คน พรรคพวกนอกนั้นยังจับไม่ได้

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อท้าวบุญรอด หัวหน้าผู้มีบุญบ้านนาหาด ถูกตำรวจ ๑๐ กว่าคนจับตัวไป ท้าวเล้านำพลพรรค ๑๖๐ คนไปแย่งตัวคืน ถูกยิงตาย ๓ คน ที่เหลือแตกหนีกระจายกันไป

อีก ๓-๔ วันต่อมา ตำรวจตามจับตัวได้ ๒ คน นายพั่ว ที่เป็นท้าวกาละนาค กับนายดก ผู้เป็นท้าวดาวบศ สองพี่น้องจากบ้านผือ ขอนแก่น

นายพั่ว อายุ ๓๕ ปี บ้านเกิดอยู่หนองยาง ศรีสะเกษ มาตั้งบ้านเรือนอยู่หนองผือ เป็น “เลข” เสียเงินส่วย ขึ้นกับเมืองขอนแก่น คำให้การของเขา เล่าเหตุการณ์จากมุมของฝ่ายถูกปราบได้อย่างชัดเจน

“วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๔๔ มารดาเป็นคนทรงหรือนางเทียมผีฟ้า บอกให้ข้าพเจ้ากับนายดก พี่ชายข้าพเจ้า ไปเล่นผีฟ้าที่บ้านบะหาด แขวงเมืองมหาสารคาม ไปถึงหนองนาบ้านโนน เมืองโกสุม คืนนั้นข้าพเจ้าฝันว่าได้ขี้ผึ้ง ๑ ปึก ครั้นตื่นขึ้นเวลาเช้าข้าพเจ้าก็พูดหลงใหลให้ลืมสติไป พวกก็พาไปจนถึงบ้านบะหาด เห็นพระแสงตั้งตัวเป็นท้าวโพธิสัตทัดพระอิน นายเหล็ก หนองซำ เป็นพระยาธรรมเมคราช รวม ๕ คน คนนับถือ ๒๐๐ คนเศษ  ผู้วิเศษที่กล่าวมาแล้วตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นท้าวกาละนาค ตั้งให้พี่ชายข้าพเจ้าเป็นท้าวดาวบศ ให้เป็นผู้วิเศษด้วยกัน ๗ คน เช้าพี่พาเอามารดากลับบ้าน ข้าพเจ้าอยู่ต่อกับพวกผู้วิเศษด้วยกันต่อ ๆ มา

Image

Image

“บ่าย ๓ โมง วันที่ ๒๑ มีนาคม  ท้าวเล้าวิ่งมาบอกพระแสงว่า ท้าวบุญรอดถูกจับไปอยู่ที่ห้วยบง ห่างบ้านประมาณ ๕ เส้น  พระแสงสั่งให้พวกผู้วิเศษ ๕ คน ใส่ชุดแดง ถือดาบสองมือ จัดราษฎรที่นับถือ ๑๖๐ คน ถืออาวุธให้ครบมือไปแย่งเอาท้าวบุญรอด

“ฝ่ายตำรวจยิงปืน ๒ นัด หาถูกผู้ใดไม่  ผู้วิเศษก็เข้าไปชิงเอาท้าวบุญรอดมาได้ แล้วไล่ฟันตำรวจภูธรไป  ข้าพเจ้าวิ่งตามไปข้างหลังเห็นตำรวจคนหนึ่งยิงปืนมา ๓ นัด คนหนึ่งถูกกระสุนที่แขนขวา อีกสองคนถูกสะดือ พวกข้าพเจ้าต่างวิ่งหนีเข้าป่าแยกกันไป

“ข้าพเจ้าไปนอนอยู่ริมบ้านบะหาด ๑ คืน รุ่งขึ้นไปหาพระให้รดน้ำมนต์ให้ แล้วกลับบ้านผืออยู่ได้ ๓ วันกรมการเมืองขอนแก่นจึงออกไปจับข้าพเจ้ามาขังไว้ที่เมืองขอนแก่น ๔ คืน จึงเอาข้าพเจ้ากับนายดกส่งเข้ามายังมณฑลอุดร

“แต่การที่ข้าพเจ้าไปตั้งตัวเป็นท้าวกาละนาคอยู่กับพวกผู้วิเศษ ๕ คน นั้นปรารถนาจะให้ราษฎรเชื่อถือให้เงินข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เงิน ๘ บาท  แต่พวกผู้วิเศษ ๕ คน กับราษฎรที่เชื่อถือผู้วิเศษประมาณ ๒๐๐ คนเศษนั้น เขาจะคิดการกันอย่างไรข้าพเจ้าหาทราบไม่ เป็นความสัตย์จริง สิ้นคำให้การของข้าพเจ้าแต่เท่านี้”

Image

ตั้งตัวเป็นพระชมพู รดน้ำมนต์และเสกด้ายผูกข้อมือให้ชาวบ้าน อ้างว่ากันผีได้

Image

“ลาวกาว ลาวเวียง ลาวพวนนั้น อย่าได้ร้อนเคืองประการใดเลย ให้พากันทำบุญให้ทานไปตามเดิม จะรบกันแต่พวกฝรั่ง เดี๋ยวนี้ได้เข้าแทนฝรั่งบ้างแล้ว”

ใบปลิวของผู้มีบุญฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ที่มี “องค์แก้ว” ชาวข่ามีตำแหน่งเป็นราชบุตรเมืองสาละวันเป็นผู้นำ และมี “องค์มั่น” เป็นศิษย์คนสำคัญ

องค์แก้วเป็นชาวข่า เดิมมีตำแหน่งเป็นราชบุตรเมืองสารวันแต่ไม่พอใจการปกครองของฝรั่งเศสจึงหนีออกไปอยู่นอกเมืองสารวัน อ้างตนเป็นผู้วิเศษ  เมื่อฝรั่งเศสปราบปรามพลพรรคบางคนหลบหนีมาทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แต่ตัวองค์แก้วไม่ได้ข้ามมา  องค์มั่นเป็นผู้มีบุญคนสำคัญที่สุดที่มาเคลื่อนไหวในมณฑลอีสาน ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ๒๔๔๔ เป้าหมายยึดเมืองอุบล  หากสำเร็จตามแผนจะให้ “สำเร็จลุน” หรือที่คนไทยเรียกสมเด็จลุน พระวัดบ้านเวินไชย ทางฝั่งซ้าย ขึ้นเป็นเจ้าเมืองอุบล

แต่แผนการไม่สำเร็จ ผู้มีบุญกลุ่มองค์มั่นถูกปราบอย่างรุนแรงที่ทุ่งโนนโพธิ์ บ้านสะพือ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๔๔๕ พลพรรคล้มตายร่วม ๓๐๐ คน ถูกจับ ๒๐๐ กว่าคน องค์มั่นกับพลพรรคที่เหลือหนีกลับไปทางฝั่งโขง แล้วร่วมกับองค์แก้วบุกโจมตีเมืองสุวรรณเขต ตรงข้ามจังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๔๕ แต่ถูกฝรั่งเศสปราบอย่างรุนแรง องค์มั่นจึงกลับมาตั้งหลักอยู่ที่บ้านกระจีน เมืองเขมราฐอีกครั้ง ข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานสันนิษฐานว่ามาเพื่อช่วยเพื่อนเชลยจากสมรภูมิบ้านสะพือ และถูกกวาดล้างในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม องค์เมตไตรยถูกยิงตาย และผู้มีบุญอีกคนถูกจับ นอกนั้นแตกหนีกระจัดกระจายไปเป็นสามกลุ่ม  ฝ่ายไทยมีหนังสือถึงฝรั่งเศส “...ขอให้ท่านสงเคราะห์ตรวจจับอ้ายเหล่าร้าย ๓ หมู่นี้กว่าจะได้  ถ้าอ้ายเหล่าร้ายแตกข้ามไปฝั่งขวา พวกข้าพเจ้าก็จะตรวจจับอ้ายเหล่าร้ายนี้กว่าจะได้ จึงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขทั้งสองฝ่ายพระนคร”

หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวของผู้มีบุญกลุ่ม องค์มั่นในเขตสยามอีก แต่ไม่มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่าองค์มั่นถูกฝ่ายไหนจับตัวได้หรือไม่

Image

ภาพ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

Image

ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษที่วัดหนองอีตุ้ม ตำบลสำราญ เมืองยโสธรกับพระครูวิมล วัดอัมพวัน และพระครูอนันตนิคมเขต วัดสิงห์ท่าทำน้ำมนต์เป่าเสกคาถารักษาคน และทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ชักจูงให้ราษฎรทิ้งทำลายข้าวเจ้าที่จะเป็นอาหารของคนไทย อย่าเลี้ยงสัตว์ไก่ หมู วัว ควาย อาจเกรงจะเป็นเสบียงให้ฝ่ายไทย  สะท้อนความไม่เป็นมิตรกับส่วนกลาง ต่อมาท่านถูกสอบสวนตัดสินว่ามีความผิดทางธรรมวินัยและทางแผ่นดินถูกนิมนต์ไปยังเมืองอุบล ให้อยู่ในสมณเพศตลอดชีวิต ถ้าสึกเมื่อใดจะถูกจำคุก

Image

Image

Image
Image

Image

Image

เด็ก ๑๐ ขวบ บ้านหนองเรือ อำเภอชุมพลบุรี แขวงเมืองสุรินทร์ ถูกจับด้วยข้อกล่าวหาเกลี้ยกล่อมราษฎรได้แล้วสี่คน

Image

อ้างว่าตนเป็นองค์พระศรีอาริย์มาโปรดสัตว์ ซึ่งจะเกิดปาฏิหาริย์ให้เห็นกลางเดือน ๕ ชาวบ้านสร้างศาลาให้อยู่ ที่อำเภอสันเทียะหรือโนนไทยในปัจจุบัน แต่ไม่ทันได้อยู่และยังไม่ถึงวันที่ทำนาย นายแหยมก็ถูกทางการจับเสียก่อน

Image

อ้ายเล็กหรือเหล็ก ตั้งตัวเป็นพระยาธรรมิกราชอยู่ที่บ้านหนองซำ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย แขวงเมืองสุวรรณภูมิ  เป็นที่ศรัทธาของประชาชนไปถึงเมืองกาฬสินธุ์และเสลภูมิ แล้วไปสมทบกับองค์มั่นที่อำเภอโขงเจียม เมืองยโสธร

Image

นายเข้ม อำเภอพนมไพร ตั้งตัวเป็นองค์เหล็ก เที่ยวบอกแก่ผู้คนว่าหินกรวดจะเป็นเงินเป็นทอง  หมู ควายทุย ควายเผือกจะกลายเป็นยักษ์กินคน

Image

Image

Image

Image

ตามเอกสารของทางการเรียกอ้ายหัวปุ้ม อายุ ๒๕-๒๖ ปี เจอเจ้าหน้าที่ที่บ้านนาร้านหญ้า แขวงเมืองหนองสูง ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษนุ่งห่มขาว มีประคต ถือเทียนและดอกพุดซ้อน วิ่งไล่ฟันตำรวจ เลยถูกยิงตาย

ตามรายงานของพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิทศทิศวิไชย ข้าหลวงเทศาภิบาล และข้าหลวงพิเศษผู้ช่วยปราบปรามพวกผีบุญทางมณฑลอีสานและมณฑลอุดร เล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด ตอนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๒๑ อยู่ที่แขวงเมืองหนองสูง ระหว่างซื้อหาอาหารเป็นเสบียงในหมู่บ้านนาร้านหญ้า “มีคนแปลกประหลาด ๑ คน นุ่งห่มผ้าขาวถือดาบร้องว่า นี่หรือทหาร แล้วไล่ฟันนายเซียงกับนายมาพลตำรวจภูธร...ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูตัวอ้ายคนร้าย เห็นอ้ายคนร้ายนุ่งห่มผ้าขาวจีบมีรัดประคดอกคาด แต่งกายอย่างพระห่มดอง ใส่หมวกเย็บด้วยผ้าขาวอย่างหมวกแขก มือขวาถือดาบ มือซ้ายถือเทียนขี้ผึ้งหนัก ๑ บาท ๒ เล่ม กับดอกพุดนา ๑ ช่อ ยกมือทั้ง ๒ ขึ้นจบเหนือศีรษะ ท้าให้ตำรวจภูธรยิง แล้วรำดาบไล่ฟันตำรวจภูธรกระชั้นเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าอ้ายคนร้ายคนนี้หาใช่เป็นคนเสียจริตไม่...ตำรวจภูธรได้ยิงปืนออกไป ๑๒ นัด อ้ายคนร้ายกำลังวิ่งเข้ามาไล่ฟันตำรวจภูธร จึงถูกกระสุนปืนที่ขาขวา ๑ แห่ง ที่คอ ๑ แห่ง กระสุนปืนทะลุตลอดไป...อ้ายคนร้ายล้มลง ยกศีรษะขึ้นร้องได้คำเดียวว่า ‘นี่จึงแม่นเจ้าแผ่นดินแท้หนอ’ แล้วอ้ายคนร้ายก็ขาดใจตายอยู่กลางหมู่บ้าน”

Image

Image

Image

หญิงชราสองพี่น้อง ไม่มีสามี อาชีพทำไร่ อยู่สมถะถือศีลภาวนา อ้างตนเป็นพระศรีอริยเมตไตรย มีราษฎรจากเมืองกาฬสินธุ์ ภูแล่นช้าง กุฉินารายณ์ นำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา เมื่อกรมการเมืองรู้ข่าวการตั้งตนเป็นผู้มีบุญในเขตเมืองกาฬสินธุ์ก็ไปจับกุมไปตัดสินคดี ซึ่งถูกสั่งประหารที่ทุ่งหนองแก้ว ริมฝั่งลำน้ำปาว ทั้งที่ยายหย่ายายหยองไม่ต่อต้านรัฐและไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแต่อย่างใด  เช่นเดียวกับพระเกษแก้ว-จุลลา ผู้มีบุญอีกคนที่ถูกประหารที่ทุ่งหนองสิม ทางใต้ของวัดโพธิ์ค้ำ

Image

Image

ให้ปากคำเมื่อถูกจับว่า เดิมชื่อหมู เคยเจ็บป่วยหนักแล้วมีคนแก่มาบอกคาถาให้ทำน้ำมนต์จนหายป่วย แม่จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่าบุญรอด และช่วยรักษาคนป่วยด้วยเวทมนตร์คาถา ราษฎรศรัทธา ให้เงิน และใช้ขมิ้นทาฝ่าเท้าผู้นำแล้วประทับบนผ้าขาวนำกลับไปบูชา

Image

อ้างว่าเป็นท้าวน้อยมหาพรหม อยู่ที่อำเภอนอกเมืองหรือบัวใหญ่ในปัจจุบัน ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ ทำนายว่าเดือนสิงหาคม ๒๔๔๕ จะเกิดยักษ์กินคน ที่เทวดาจะมาชุบศรและพระขรรค์ให้รักษาคนให้อยู่เย็นเป็นสุข  เขาทำน้ำมนต์ เสกสายสิญจน์ให้ประชาชนกำบังตนจากยักษ์  ใครเข้าเป็นพวก กินน้ำมนต์แล้ว ห้ามเลี้ยงเป็ด ไก่ สุกร แล้วเงินทองจะเกิดกับผู้นั้น แต่เขาถูกจับกุมเสียก่อนถึงวันในคำทำนาย

Image

บอกว่าพระอินทร์เสกให้เป็นผู้มีฤทธิ์ อยู่ที่อำเภอนอกเมืองหรือบัวใหญ่ในปัจจุบัน เหาะเหินเดินอากาศ เสกต้นกล้วยเป็นงูใหญ่ได้ และอ้างว่ามองเห็นทรัพย์ที่อยู่ในดิน แนะนำให้ราษฎรไปขุดหาตามที่ต่าง ๆ เมื่อไม่พบก็บอกให้นำหินกรวดมาบูชาจะกลายเป็นเงินเป็นทอง

Image

ชวนกันไปหาอ้ายบุที่เมืองมโนไพร แล้วพากันมาตั้งตัวเป็นผู้มีบุญ ตั้งบ้านนาหว้านเมือง เรียกผู้ใหญ่บ้านให้เอาเทียนมาคารวะ  เมื่อถูกจับของที่ยึดได้มีปืน เทียน แผ่นขี้ผึ้งรูปเคารพ ลานคาถา พระปรก มัดดอก น้ำเต้าน้ำขัน กระบอง ๙ อัน สบงผ้าขาว ยารอฝน และขมิ้น

Image

Image
Image

Image

สำเนาโทรเลขวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๔๕ จากพระองค์เจ้าวัฒนา ข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลอุดร ถึงกระทรวงมหาดไทย

รายงานจุดเริ่มต้นของเหตุกบฏบ้านมายว่า

“วันนี้ได้รับโทรศัพท์หนองละหานว่าข้าหลวงสกลนครบอกมาว่า ผู้มีบุญอยู่บ้านมาย แขวงสกลนคร ๔ คน จับนายหลั่นบ้านมาย ฆ่าเสีย ๑ คน ว่าเป็นยักษ์ คนแขวงสกลนคร หนองละหาน โพนพิไสย ไชยบุรี มีอาวุธครบมือประมาณ ๕๐๐ เศษเข้าอยู่กับผู้มีบุญ ข้าหลวงสกลนครกำลังจัดกำลังปราบปรามอยู่ จัดให้ขุนวิจิตรคุณสารกับนายร้อยโทเพิ่ม พลทหาร ๑๘ รีบออกไปปราบปรามจับแต่วันนี้แล้ว”

หลังจากนั้นตามมาด้วยความรุนแรงที่มีผู้เสียชีวิต ๒๒ คน หรือตามข้อมูลบางแห่งว่า ๔๘ คน ถูกจับอีกจำนวนหนึ่ง

นายปุ้ย อายุ ๒๓ ปี พื้นเพเดิมบ้านหนองหลัก แขวงเมืองเขมราฐ เป็นคนหนึ่งในนั้น ซึ่งทางการได้สอบสวนเขา และบันทึกคำให้การไว้เป็นเอกสาร ปัจจุบันเก็บอยู่ในปึกเอกสารกระทรวงมหาดไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ในสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ คำให้การของนายปุ้ยบางตอนบอกว่า...

“เมื่อจะเกิดผู้วิเศษขึ้นที่วัดบ้านมาย ข้าพเจ้าได้บวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดบ้านมาย นายทิดเค่มก็บวชอยู่ด้วยกัน ครั้นวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๔๔๕ ทิดเค่มได้หนังสือมาจากบ้านหนองซำ เที่ยวบอกกับเพื่อนที่บวชอยู่ด้วยกันว่าถ้าผู้ใดไม่สึกยักษ์จะมาจับกิน ผู้หญิงที่อายุได้ ๑๔-๑๕ ปี ก็เหมือนกันถ้าไม่รีบมีผัว

“ทิดเค่มสึกมาตั้งตัวเป็นวิศณุกรรมเทวบุตร อยู่ที่วัดบ้านมาย ให้นายบุญจันน้องชายเป็นท้าวสุริวงศ์ ทิดใบ เป็นท้าวศรีทนตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นล่ามแปลหนังสือผู้มีบุญที่ได้มานั้น

“ท้าวเพี้ยและราษฎรชายหญิงในแขวงเมืองสกลนคร แขวงเมืองหนองหาร แขวงเมืองโพนพิสัย มานับถือหลายร้อยคน

Image

“๒๔ เมษายน ๒๔๔๕ นายทิดเค่มกับพวกไปจับตัวทิดลันที่ตั้งตัวเป็นฤๅษีตาไฟ คุมตัวไปที่วัดบ้านมาย ว่าทิดลันจะเป็นยักษ์ขึ้นกินคนเสียหมด และนำไปฆ่าที่ทุ่งนาริมวัดในวันรุ่งขึ้น

“ครั้นวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๔๕ นายทิดเค่มได้ทราบความว่าพวกทหารแลกรมการเมืองสกลนครจะออกไปจับตัวพวกตั้งตัวเป็นผู้วิเศษที่วัดบ้านมาย  ทิดเค่มจึงจัดให้หลวงเทพกำนันบ้านเอือด กับนายขานออกรบแทน  ทิดเค่มเอาอาวุธแลเทียนแจกให้

“แล้วสั่งว่าถ้าพวกเหล่าทหารและกรมการเอาปืนแลอาวุธต่าง ๆ มารบแล้ว ก็ให้เอาอาวุธและเทียนออกแกว่งไว้ ปืนแลอาวุธนั้นจะกลับไปถูกพวกทหารแลกรมการเมืองตายไปเอง

“เที่ยงวันนั้นทหารและกรมการเมืองก็ยกมาถึงวัดบ้านมาย

“ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปืน ๑ นัด แต่หาทราบว่าดังมาจากทางใดไม่ แล้วพวกทหารแลกรมการกับพวกข้าพเจ้าก็รบกันขึ้นผู้วิเศษ ๕ คนกับข้าพเจ้าก็ช่วยแกว่งอาวุธแลเทียน ช่วยพวกที่รบอยู่ข้างล่าง ข้าพเจ้ากับพวกผู้วิเศษอยู่บนกุฏิพระวัดบ้านมาย รบกันอยู่ประมาณครู่หนึ่งจึงเห็นลูกกระสุนปืนมาถูกนายทิดเค่มตาย ๑  ถูกนายเซียงบุญจันตาย ๑  ถูกนายทิดใบตาย ๑  ถูกนายละที่เป็นล่ามใหญ่ตาย ๑ กับถูกพวกที่รบอยู่ข้างล่างตายอีก ๑๘ คน รวม ๒๒ คน”

ตามคำเล่าขานต่อกันมาว่า ศพคนตายถูกฝังไว้ในบ่อน้ำที่วัดบ้านมายนั่นเอง

สมาชิกที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๔๕ ราว ๑๐๐ คน จากพลพรรคทั้งหมดราว ๗๐๐ คน ที่เหลือรอดหนีกระเซอะกระเซิงกันไป

“แล้วพวกที่อยู่ข้างล่าง กับข้าพเจ้าก็พากันแตกหนี พวกทหารและกรมการก็ตามจับตัวข้าพเจ้าได้ คุมส่งเข้าไปเมืองจำปาศักดิ์ ข้าพเจ้าได้ให้การไว้ที่เมืองจำปาศักดิ์ครั้งหนึ่ง ครั้นวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๕ ข้าหลวงจึงจัดให้กรมการคุมตัวพวกข้า ส่งเข้ามายังมณฑลอุดร”

จากคำให้การที่บันทึกโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เขาเป็นฝ่ายถูกล้อมปราบที่แทบไม่ได้ต่อสู้ ดูไม่น่าจะมีโทษหนักหนา 

แต่ตามสำเนาโทรเลขวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๔๕ จากข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลอุดร ระบุว่านายปุ้ยเป็นหนึ่งในสี่คนในกลุ่มหัวหน้าที่ “ต่อสู้เจ้าพนักงาน” เป็นนักโทษร้ายแรงที่ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับสองพี่น้องชาวบ้านผือ ขอนแก่น ที่เป็นผู้มีบุญบ้านนาหาด มหาสารคาม

Image

ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ เป็นน้องของพญาธรรมิกราชเล็ก ที่อำเภอราษีไศล

Image

Image

ตั้งตัวเป็นพระยาธรรมิกราช อยู่ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร

Image
Image

Image

อยู่ที่บ้านขมิ้น อำนาจเจริญ

Image

นายบุญมีเป็นคนยโสธร เคยบวชเรียนอยู่ก่อน เมื่อลาสิกขาแล้วได้เทียน ๑๐๐ เล่มจากภิกษุรูปหนึ่ง จึงตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ ทำน้ำมนต์ตัดเวรตัดกรรม ราษฎรในขอนแก่น เลย หนองคาย เชื่อถือเป็นจำนวนมาก

เมื่อเกิดการกวดขันกวาดจับกบฏผีบุญ กรมการเมืองขอนแก่นก็จับตัวบุญมีส่งมณฑลอุดร ซึ่งเขาให้การว่า

“...ที่ข้าพเจ้าจะได้ตั้งตัวเป็นพระยาธรรมเมคราช เหมือนดังคนเล่าลือนั้นหาจริงไม่ เป็นแต่ข้าพเจ้าได้ทำน้ำมนต์รดตัดผีฟ้าให้ราษฎรตามความรู้วิชาของข้าพเจ้า ที่ได้เรียนมาจากพวกเขมรที่บ้านแวง แขวงเมืองพิมายนั้น เป็นความสัจจริง สิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ข้าพเจ้าได้เขียนชื่อลงลายมือไว้เป็นสำคัญ”

ท้ายหนังสือบันทึกคำให้การ ทางการได้ลงบัญชีข้าวของที่ยึดได้จากอ้ายบุญมี ผู้ต้องคดีกบฏ ประกอบด้วย ดาบ ร่มกระดาษ ขันทอง สะบง ดินสอดำ (อย่างละ ๑) มีดปลายแหลม ๒ เล่ม ด้ายดิบหนัก ๓ ชั่ง เงิน ๑๔ บาท เทียนเล็ก ๓๙๖ เล่ม

Image

นำหินลูกรังมาบูชาว่าจะกลายเป็นเงินทอง ถูกจับมาขังที่มณฑลอุดร พอเข็ดหลาบก็ส่งตัวกลับ

Image

อ้างว่าเคยป่วยแล้วพระยาธรรมิกราชมาเข้าสิง เมื่อหายจึงนุ่งห่มขาว ทำน้ำมนต์รักษาโรคให้ราษฎร ต่อมาพาชาวบ้านไปไหว้ต้นโพที่เมืองกุมภวาปี และสุดท้ายก็ถูกจับกุมที่นั่น

Image
Image

Image

Image

เหตุการณ์เริ่มจากพระสามรูป นำโดยพระบุญมา จตุรัส เดินทางมาถึงหมู่บ้านหนองหมากแก้ว ในพรรษาปี ๒๔๖๖ สอนธรรม รักษาคนเจ็บป่วย สอนให้ถือศีลสวดมนต์ ไม่กินเนื้อสัตว์ และแสดงอภินิหาร ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่าเจ้าผู้มีบุญ  เมื่อมีคนนับถือมากขึ้น พระทั้งสามรูปก็สึกและมีเมียในหมู่บ้าน

เดือนเมษายน ๒๔๖๗ ผู้มีบุญได้จัดชุมนุมประกาศว่าพระศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดที่หนองหมากแก้ว ซึ่งจะตั้งชื่อใหม่ว่าเวียงแก้ว จะเป็นยุคที่ “ไม่มีเจ้านาย ใบไม้จะกลายเป็นเงิน เป็นทอง”

มีชาวบ้านมาร่วมไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ คน ผู้มีบุญประกาศด้วยว่า คนที่มาเข้ากับเขาจะไม่ต้องเสียส่วยให้รัฐปีละ ๔ บาท ให้จ่ายเป็นผ้าขาว ๑ วาแทน เหมือนครั้งเสียส่วยให้เวียงจันทน์

เรื่องทราบถึงปลัดจึงเกณฑ์คน ๔๐ คนออกไปจับกุม แต่ผู้มีบุญไม่ยอมให้จับ แต่ต่อมาก็ถูกจับ และถูกทำทารุณ ตีจนสะบักสะบอม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ต่อสู้ มีชาวบ้านถูกจับด้วยนับร้อยคน กลุ่มหัวหน้าผู้มีบุญเจ็ดคน ถูกจำคุกคนละ ๓ ปี  คนหนึ่งเสียชีวิตในคุกด้วยโรคท้องร่วง  ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อพ้นโทษก็ออกมาใช้ชีวิตตามปรกติ

เอกสารกระทรวงมหาดไทยกล่าวถึงชาวบ้านที่มาเข้าร่วมกับผู้มีบุญว่าโง่เขลา ถูกหลอกลวง แต่ในความเป็นจริงชาวบ้านเพียงต้องการดิ้นรนให้พ้นจากอำนาจรัฐที่ขูดรีดและความทุกข์ยากในชีวิตที่เผชิญอยู่

Image

หมอลำชาดา หรือ คำสา สุมังกะเศษ เป็นคนรูปร่างเล็ก คนจึงเรียกหมอลำน้อย  กลอนลำของเขามีเนื้อเชิงเร้าใจว่าราษฎรไม่ควรเสียภาษีให้ทางการ ไม่ควรส่งเด็กเข้าโรงเรียนไทย ไม่กราบไหว้พระสงฆ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ  รวมทั้งคำทำนายว่าจะเกิดการรบพุ่งระหว่างอีสานกับกรุงเทพฯ หากชนะคนท้องถิ่นจะได้ลดค่ารัชชูปการเหลือ ๒ บาท ทำให้เขาถูกจับเข้าคุกเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ โทษ ๔ ปี

Image

Image

ผู้นำชื่อ โสภา พลตรี ชาวตำบลสาวะถี อำเภอเมืองขอนแก่นเกิดปี ๒๔๒๕

เป็นลูกชาวนา มีที่นานับร้อยไร่ เรียนหนังสือจากวัดซึ่งสอนโดยพระ สามารถอ่านตัวธรรมตัวขอมได้ และเป็นผู้มีความจำเป็นเลิศ จดจำคัมภีร์ได้มาก รู้พิธีกรรมบวงสรวงต่าง ๆ และเรียนวิชาหมอลำจนมีชื่อเสียงในแถบตำบลสาวะถีและพื้นที่ใกล้เคียง  และด้วยเป็นคนบุคลิกหน้าตาดี ผิวคล้ำ “ฟันสีเขียวดังปีกแมลงทับ” กล้าพูดกล้าทำ ไม่กลัวคน พูดจาดีมีเหตุมีผล ทำให้เป็นที่ชื่นชมของชาวบ้าน มีลูกศิษย์ลูกหามากมายและมีภรรยาหลายคน

หมอลำโสภาไม่ได้เป็นกบฏที่ต้องการล้มล้างรัฐ แต่ที่ต้องโทษฐานกบฏเพราะต่อต้านการขูดรีดภาษีของเจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมายการห้ามตัดไม้ที่แม้แต่จะมาทำเรือนเล้าข้าวก็ไม่ได้ รวมถึงการยกเลิกการเรียนการสอนอักษรธรรมในวัด ให้เรียนภาษาไทยแทน

เมื่อปี ๒๔๘๑ หรือปี ๒๔๘๒ หมอลำโสภาเคยเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อถวายฎีการ้องเรียนต่อรัชกาลที่ ๘ เรื่องระบบการศึกษา กฎหมายป่าไม้ และภาษีที่ดิน แต่ไม่ได้เข้าเฝ้าฯ เพราะพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ต่างประเทศ

หมอลำโสภามักจะพูดเรื่องนี้ผ่านการร้องหมอลำ ซึ่งชาวบ้านก็ให้การสนับสนุนไม่น้อย และเป็นเหตุให้ถูกจับกุมและเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาในวัย ๖๐ ปี หลังติดคุกอยู่ราว ๒ ปี

คืนวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๓ ขณะโสภากำลังแสดงหมอลำต่อหน้าผู้ชม ๒๐๐-๓๐๐ คน ทางการได้กวาดจับไป ๑๑๖ คน ศาลตัดสินจำคุกกลุ่มผู้นำ ๔ คน ตลอดชีวิต ในข้อหากบฏภายในราชอาณาจักร 

แต่เล่ากันว่าระหว่างนั้นมีการนำผู้ต้องขังไปเสี่ยงทายถ่วงน้ำที่คลองบางซื่อแล้วไม่ตาย ทางการจึงนำมาที่เรือนจำขอนแก่นเตรียมจะปล่อยตัว แต่หมอลำโสภาเสียชีวิตในคุกก่อนได้รับการปล่อยตัว หลังเจ้าหน้าที่ฉีดยาแก้ปวดฟันให้ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นยาพิษ

เจ้าหน้าที่ฝังศพเอาไว้ ๓ วัน ระหว่างรอญาติมารับ  วันที่ ๔ เมื่อญาติมาขุดศพ ก็พบแต่ผ้าขาวม้าที่ผู้ตายนุ่งตอนเสียชีวิตกับเสื่อที่ห่อศพ  ชาวบ้านก็ยิ่งเชื่อว่าหมอลำโสภาเป็นผู้วิเศษ สำเร็จวิชาขั้นสูง หายตัวไปเกิดใหม่แล้ว

คำผญาพยากรณ์ยุคสมัยที่หมอลำโสภาเคยกล่าวไว้ยังเป็นที่จดจำ และนับวันจะปรากฏให้เห็นจริง

Image
Image

Image

Image

Image

ศิลา วงศ์สิน หรือ “ลาด ละคร” พื้นเพเดิมอยู่ที่บ้านนาคำ อุดรธานี มีอาชีพหมอลำ ศึกษาไสยศาสตร์และเรียนวิชาไล่ผีเป็นหมอธรรมรักษาคน แล้วออกเดินทางหากินจนไปอยู่ที่อุบลราชธานี รับรักษาคนไข้ด้วยเวทมนตร์และการเข้าทรง จนมีคนเลื่อมใสจำนวนมาก  รวมทั้งนางประกายแก้วซึ่งเขารักษาหายจากโรคจิตเพ้อคลั่งและได้นางมาเป็นเมีย

ต่อมาชักชวนกลุ่มผู้ศรัทธาอพยพจากอำเภอพิบูลมังสาหารไปตั้งชุมชนใหม่ที่บ้านใหม่ไทยเจริญ อำเภอหนองบุญมาก นครราชสีมาในปัจจุบัน โดยไม่ได้แจ้งต่อฝ่ายปกครองในพื้นที่

เมื่อนายอำเภอโชคชัย (ในขณะนั้น) กับคณะเข้าไปตรวจค้นชุมชนตั้งใหม่ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๐๒ ก็เกิดความขัดแย้งถึงขั้นใช้กำลังเข้าตะลุมบอนกัน นายอำเภอและเจ้าหน้าที่เสียชีวิตรวม ๕ คน ต่อมาตำรวจนำกำลังเข้าจับกุมเกิดการปะทะชาวบ้านที่อยู่กับศิลาซึ่งไม่มีปืนนอกจากมีดดาบมีผู้เสียชีวิต ๑๒ คนซึ่งมีเด็กและผู้หญิงอยู่ด้วย  ถูกจับกุม ๘๘ คน  ตัวศิลาและครอบครัว ๘ คนหนีรอดไปได้

แต่จากนั้นจากที่ว่าเป็นผีบุญเที่ยวหลอกลวงคนให้หลงเชื่อข้อกล่าวหาต่อ ศิลา วงศ์สิน ถูกยกระดับให้กลายเป็นกบฏ ที่มีเจตนาแบ่งแยกการปกครอง และกลุ่มคนที่ก่อจลาจลครั้งนี้เป็นกลุ่มชาวส่วย

ทางการลาวจับเขาส่งตัวให้ทางการไทยนำเข้ากรุงเทพฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สอบสวนด้วยตนเอง และเล่าต่อสื่ออย่างเหยียดหยามว่า “ตนได้ถามผีบุญว่า มีดีอะไร มีของวิเศษอะไรคนจึงนับถือมาก และถ้าหากผีบุญมีดีจริงก็ขอให้อมวิทยุและกระโถนให้ดู ถ้าอมได้จริงจะนับถือและมอบตัวเป็นลูกน้องอีกคนหนึ่ง”

หลังถูกจับกุมสอบสวน ข้อกล่าวหาต่อกบฏผีบุญคนสุดท้ายได้ขยายใหญ่ยิ่งขึ้นอีกว่า “บุคคลผู้ก่อการร้ายคณะนี้...ได้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ และเปนกษัตริย์ ทำการซ่องสุมผู้คนเป็นจำนวนมากเข้าเป็นพรรคพวกเพื่อก่อการร้ายและดำเนินการอันเปนการผิดกฎหมายของบ้านเมือง ซึ่งนับได้ว่าเปนการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรและราชบัลลังก์...”

แต่มีการวิเคราะห์ว่าบางที ศิลา วงศ์สิน อาจแค่ “หมอธรรม” อีสานที่นำกลุ่มผู้ศรัทธาหนีความอดอยากยากแค้นไปหาถิ่นอาศัยใหม่ที่จะมีชีวิตดีขึ้น โดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่เสียก่อน จนเกิดการกระทบกระทั่งถึงขั้นสูญเสียชีวิต ในยุคที่รัฐกำลังอ่อนไหวเรื่องคอมมิวนิสต์

ทำให้ในที่สุดเขาถูกตัดสินประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชน ที่ป่าช้าจีนจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้อำนาจตามมาตรา ๑๗ เป็นรายแรก เมื่อเวลา ๑๘.๐๐ น. วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๐๒

“จะทำอย่างไรก็เอาเถิด ข้าปลงตกแล้ว เปนห่วงอยู่แต่เมีย และคิดถึงเมียเหลือ” 

เป็นคำพูดสุดท้ายของกบฏผีบุญคนสุดท้าย  

Image