ANSi by Sarakadee
Home
Articles
Issues
Log in
วาฬเบลูกา
ภาพ : 123rf.com
พระอภัยมณี
แฟนตาซี วิทยาศาสตร์
scoop
เรื่อง : นำชัย ชีววิวรรธน์
ยักษ์มีจริงไหม ? นางเงือกล่ะ ? เรามีลูกกับยักษ์หรือนางเงือกได้ไหม ? สัตว์ประหลาดอย่างมังกรหรือ “ม้านิลมังกร” ล่ะมีจริงไหม ? ถ้าไม่มีจริง คิดขึ้นมาได้อย่างไร ? คาถาเรียกลม เรียกฝน ผูกหญ้าเป็นสำเภายนต์ เป็นจริงได้แค่ไหน ? เรือที่มีขนาดใหญ่เหมือนเอาทั้งหมู่บ้านหรือทั้งตำบลไปลอยน้ำล่ะ สร้างได้ไหม ?
บางคนที่อ่านวรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ อาจสงสัยว่าตัวละคร สัตว์แปลกประหลาด และสิ่งประดิษฐ์ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ในวรรณคดีนี้ หากมองผ่านแว่นตาของ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” มีความเป็นไปได้ให้ชวนคิดและใคร่ครวญมากน้อยเพียงใด ?
เ ร า ม า ดู กั น
ม้านิลมังกร ผีเสื้อสมุทร
และนางเงือก
หากพูดถึงสัตว์ประหลาดในวรรณคดีไทยและวรรณคดีโลก อาจแบ่งได้สามกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกคือพวกสัตว์ประหลาดที่คล้ายสัตว์จริง ๆ ซึ่งพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น หมึกยักษ์ หรือคราเคน (Kraken) หรืออาจเป็นสัตว์ที่ไม่มีจริง แต่สร้างจากส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ที่มีอยู่จริง อย่างมังกรและยูนิคอร์น
กลุ่มที่ ๒ ได้แก่มนุษย์ประหลาด เช่น คนแคระ ยักษ์ โทรลล์ หรืออาจรวมถึงบรรดาเทวดา นางฟ้า เอลฟ์ และภูตพรายต่าง ๆ ด้วยก็ได้ และกลุ่มสุดท้ายได้แก่คนครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์หมาป่า มิโนทอร์ (ตัวเป็นคน หัวเป็นวัว) เมดูซา (มนุษย์ครึ่งสัตว์ที่มีเส้นผมเป็นงู บ้างว่าตัวก็เป็นงูด้วย) นางเงือก ฯลฯ
ในเรื่อง
พระอภัยมณี
มีครบทั้งสามประเภท คือ ม้านิลมังกร ผีเสื้อสมุทร และนางเงือก แถมยังมีทั้งลูกยักษ์และลูกนางเงือกที่เกิดจากฝีมือพระอภัยมณี คือ สินสมุทรและสุดสาครตามลำดับ
ม้านิลมังกรนี่เป็นสัตว์ในจินตนาการที่สุดยอดมาก ๆ นะครับ เท่ขนาดสโมสรระยอง เอฟซี สโมสรฟุตบอลในระดับไทยลีกดิวิชัน
๑
นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์และฉายา
สุนทรภู่ระบุว่า ม้านิลมังกรมี “เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิลลิ้นเป็นปาน ถึงเอาขวานฟันฟาดไม่ขาดรอน” เรียกว่ารูปร่างเท่ไม่เบา แถมอึด หนังเหนียว ขนาดขวานฟาดก็ไม่ตาย !
รูปปั้นกิเลนตามคติของชาวจีน
ภาพ : 123rf.com
สุนทรภู่อธิบายที่มาของม้านิลมังกรว่า เป็นสัตว์ลูกผสมที่เกิดจากพ่อมังกรกับแม่ม้า ลูกที่ออกมาจึงมีส่วนหัวเป็นมังกร แต่ส่วนลำตัวจนถึงขาลักษณะเป็นม้าเหมือนแม่ ลำตัวนั้นเป็นเกล็ดสีดำแวววาวคล้ายปลา มีหางคล้ายหางนาคหรือหางมังกร และเป็นกะเทยคือไม่สามารถมีลูกได้
มีผู้สันนิษฐานเรื่องความเป็น “สัตว์ลูกผสม” ของม้านิลมังกรไว้อย่างน่าเป็นไปได้ว่า สุนทรภู่อาจดัดแปลงมาจากความรู้เรื่องการผสมพันธุ์ระหว่างม้ากับลาที่ได้ลูกเป็นล่อซึ่งมีลูกต่อไปไม่ได้อีก ส่วนลักษณะของม้านิลมังกรก็หยิบยืมมาจากตัว “กิเลน” ของจีน๑ ซึ่งสนุกขึ้นไปอีกขั้น เพราะมีผู้สันนิษฐานว่ากิเลนอาจมีต้นแบบมาจากยีราฟแอฟริกา !
๒
ข้อสังเกตอีกเรื่องหนึ่งคือ ปรกติมังกรของพวกตะวันตกจะเป็นสัตว์ร้ายที่ต้องกำจัด แต่สำหรับพวกตะวันออกอย่างจีน มังกรเป็นสัญลักษณ์ของผู้ยิ่งใหญ่อย่างจักรพรรดิ จึงมีความหมายตรงกันข้ามคือ เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่และดีงาม แต่ทั้งสองฟากอารยธรรมมีสิ่งที่เหมือนกันคือ มังกรมักจะมีรูปร่างใหญ่โต
ดังนั้นหากมังกรจะไปสมสู่กับม้าก็ออกจะพิสดารอยู่ไม่น้อย อาจต้องย่อขนาดตัวได้ แบบเดียวกับผีเสื้อสมุทรจำแลงกายให้เท่าคนเพื่อสมสู่กับพระอภัยมณี
กลับมาที่เรื่องกิเลนอาจมาจากยีราฟ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ?
รัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อซึ่งเป็นยุคทองของการสำรวจโลกของจีน แม่ทัพเจิ้งเหอได้นำกองเรือมหาสมบัติที่ยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น และอันที่จริงแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ต้องถือว่ายิ่งใหญ่มากอยู่ดี เพราะประกอบด้วยเรือถึง ๖๓ ลำ กำลังพลราว ๒.๘ หมื่นคน ปรากฏว่าเจิ้งเหออาจได้พบทูตจากเบงกอลในมาลินดี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเคนยา และได้รับมอบ “ยีราฟ” มาจำนวนหนึ่ง จึงนำกลับมายังประเทศจีนเพื่อถวายพระจักรพรรดิด้วยใน ค.ศ. ๑๔๑๔ รวมทั้งสัตว์อื่นอย่างสิงโต เสือดาว ม้าลาย และกวางแอฟริกา
จุดนี้เองที่ทำให้มีนักวิชาการตะวันตกตั้งสมมุติฐานว่า “กิเลน” สัตว์ในตำนานอีกชนิดหนึ่งของจีน อาจมีต้นแบบมาจากยีราฟ มีอีกสมมุติฐานระบุว่าเขามังกรในภาพวาดจีน ก่อนหน้านั้นไม่ได้มีลักษณะเช่นนี้ และมาเปลี่ยนเป็นลักษณะดังที่เห็นคือเหมือนเขายีราฟนับตั้งแต่นั้นมา !
นอกจากนั้นอาการที่ม้านิลมังกร “เดินบนน้ำ” ได้ ก็คล้าย ๆ จะมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ จึงมีผู้สันนิษฐานว่า สุนทรภู่อาจนำลักษณะม้ามีปีกของเจ้าชายอายิบในเรื่อง อาหรับราตรี มาผสมโรงด้วย
๓
ซึ่งถ้าจริงก็แสดงว่าสุนทรภู่มีความรู้เรื่องนิทานจากต่างแดนดีทีเดียว
มาดูเรื่อง “ยักษ์” กันครับ
ยักษ์ (ปลอม) แห่งคาร์ดิฟฟ์
ภาพ : https://www.messengernews.net/life/local-lifestyle/2019/10/cardiff-giant-turns-150/
ยักษ์ที่เด็ก ๆ คุ้นดีในวรรณกรรมโลก น่าจะได้แก่ยักษ์ในเรื่อง แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ตำนานของพวกเวลส์และพวกบรีตัน (Breton) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนอังกฤษ ยักษ์อีกตนหนึ่ง ที่แพร่หลายมากเช่นกัน ได้แก่ยักษ์โกไลแอท (Goliath) ที่โดนเดวิดปราบตามเรื่องราวในพระคัมภีร์
ยักษ์พวกสุดท้ายที่โด่งดังในโลกสมัยใหม่ แต่ไม่แน่ว่าจะใช่คนหรือไม่ ได้แก่ บิ๊กฟุต (Big Foot) และเยติ มนุษย์หิมะ (Yeti Snowman) ซึ่งรายหลังมักพบแถบภูเขาสูงที่หนาวเย็นในเนปาลและทิเบต แต่...มีคนอ้างว่ามีนายพรานไทยเคยพบที่เขตอุทยานแห่งชาติแม่จริม จังหวัดน่านด้วย
๔
สำหรับสัตว์ขนาดใหญ่ในเรื่อง
พระอภัยมณี
เช่นผีเสื้อยักษ์นั้น คนที่ดูสารคดีวิทยาศาสตร์บ่อย ๆ อาจเคยเห็นบรรพบุรุษแมลงปอที่ยาวเป็นเมตร หรือบรรพบุรุษของเต่าที่ใหญ่เท่า ๆ กับรถยนต์มาบ้างแล้ว ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในปัจจุบันคือ มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากความเข้มข้นของออกซิเจนในบรรยากาศยุคหลายสิบหลายร้อยล้านปีก่อนที่มากกว่าปัจจุบัน
สำหรับยักษ์อย่าง “ผีเสื้อสมุทร” นั้น สุนทรภู่อธิบายขนาดของร่างกายว่า “สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา” พูดง่าย ๆ คือ ผีเสื้อสมุทรตัวเท่าช้างนั่นเอง !
มีความพยายามหาหลักฐานเรื่องมนุษย์ที่ร่างกายใหญ่เป็นยักษ์ เท่ากับช้าง หรือใหญ่เท่าภูเขา แต่ก็ได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่ารูปภาพหรือคลิปตามเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตนั้น ไม่มีอันไหนเลยเป็นของจริง นอกจากหลักฐานหักล้างต่าง ๆ แล้ว สาเหตุสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งคือ เพราะมันขัดต่อหลักการทางฟิสิกส์อย่างร้ายแรง
หากยักษ์มีโครงสร้างร่างกายทุกอย่างแบบเดียวกับมนุษย์ทุกวันนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมียักษ์จริง ๆ เพราะเมื่อขนาดของวัตถุใหญ่ขึ้น พื้นที่ผิวจะเพิ่มแบบยกกำลังสอง ขณะปริมาตรของวัตถุนั้นจะเพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วนมากขึ้นไปอีกคือเพิ่มแบบยกกำลังสาม
ยกตัวอย่าง ถ้าขยายขนาดคนจนสูงถึง ๑๘ เมตรหรือราว ๑๐ เท่าของความสูงเฉลี่ยคนทั่วไป (มาตรฐานฝรั่ง) ปริมาตรจะเพิ่มขึ้นเป็น ๑๐๐ เท่า ดังนั้นกระดูก ๑ ลูกบาศก์นิ้วจะต้องรับน้ำหนักถึง ๘,๖๐๐ กิโลกรัมหรือ ๘.๖ ตัน แต่หากเพิ่มความสูงขึ้นไปอีกจนเป็น ๑๘๐ เมตร กระดูกขนาดเดียวกันนี้ต้องรับน้ำหนักถึง ๒๕๐,๐๔๗ กิโลกรัม ซึ่งกระดูกรับน้ำหนักขนาดนั้นไม่ไหวแน่ ๆ
๕
พวกสัตว์ยักษ์ในหนังอย่าง ก็อดซิลล่า ฉบับฮอลลีวูดจึงเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง
โรเบิร์ต แวดโลว์ กับครอบครัวที่สูงปรกติ
ภาพ :
https://www.businessinsider.com/tall-man-robert-wadlow-2016
แม้กระนั้นในประวัติศาสตร์ก็มีคนทำ “ยักษ์ปลอม” ออกมาหลอกคนเก็บเงินค่าเข้าชมหลายครั้งหลายหน ครั้งที่ดังสุดคือยักษ์ปลอมฝีมือของ วิลเลียม นิวเวลล์ (William Newell) ที่ได้ฉายาว่า “ยักษ์คาร์ดิฟฟ์” (Cardiff Giant) ซึ่งถือเป็นเรื่องหลอกลวงทางโบราณคดีที่โด่งดังที่สุดของสหรัฐฯ
๖
ขนาดของยักษ์ตนนี้ที่ระบุไว้คือ สูง ๑๐ ฟุต (๓ เมตรกว่า) และหนัก ๓,๐๐๐ ปอนด์ (๑,๓๖๑ กิโลกรัม)
คนที่สูงที่สุดเท่าที่มีบันทึกหลักฐานไว้ชัดเจน ได้แก่ โรเบิร์ต แวดโลว์ (Robert Wadlow) สูงถึง ๒๗๒ เซนติเมตร
๗
ปรกติแล้วคนที่สูงกันทั้งครอบครัวมักเป็นผลจากพันธุกรรม และมีอีกจำนวนมากที่สูงอย่างเหลือเชื่อ โดยเกิดจากความผิดปรกติของฮอร์โมนควบคุมการเติบโต (growth hormone) ซึ่งสร้างจากต่อมใต้สมองที่หลั่งออกมามากเกินไป
กรณีนี้จะสูงผิดจากคนอื่นในครอบครัว ดังเช่นกรณีของนายโรเบิร์ต แวดโลว์
คนที่สูงมาก ๆ มักอายุสั้น เพราะความดันโลหิตที่จะส่งเลือดไปทั่วร่างกายนั้นต้องสูงมาก จึงสร้างภาระต่อหัวใจอย่างหนัก กรณีของแวดโลว์ก็เช่นกัน เขาเสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง ๒๒ ปี
คราวนี้มาดูเรื่องนางเงือก สัตว์ปริศนาแห่งท้องทะเลกันมีตำนานเกี่ยวกับนางเงือกอยู่มากในวรรณคดีทั่วโลก ทั้งของยุโรป แอฟริกา และเอเชีย โดยมักจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วม มีพายุ เรือล่ม และลูกเรือที่จมน้ำ
นางเงือกที่เก่าแก่และรู้จักกันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลกตะวันตกน่าจะได้แก่ไซเรน (Siren หรือ Syren) ในเทวตำนานกรีก ซึ่งเดิมมีลักษณะคนครึ่งนกก่อนจะมาเป็นคนครึ่งปลาในภายหลัง ชื่อของนางกลายเป็นชื่อเรียก “เสียงหวอ” ของรถพยาบาลหรือรถดับเพลิงในทุกวันนี้
แต่เรื่องนางเงือกที่รู้จักกันกว้างขวางที่สุดในโลกสมัยใหม่ คือเรื่อง
เงือกน้อยผจญภัย (The Little Mermaid)
หนึ่งในเทพนิยายของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ที่แม้แต่บริษัทดิสนีย์ก็ต้องดัดแปลงมาทำเวอร์ชันใหม่ของตัวเองด้วย
อันที่จริง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ก็เคยรายงานถึงนางเงือกขณะแล่นเรือผ่านแถบแคริบเบียน
๘
แม้ปัจจุบันก็ยังมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นนางเงือกอยู่เรื่อย ๆ แต่เป็นไปได้มากว่านางเงือกที่เห็นนั้นอาจเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใดชนิดหนึ่ง อย่างวาฬเบลูกา (วาฬขาว) หรือพะยูน เป็นต้น
ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าคน การผสมข้ามสปีชีส์แล้วได้ลูกหลานนั้นเป็นเรื่องยากมาก อย่างในสัตว์เราอาจเจอกรณีของสัตว์ที่มีเชื้อสายใกล้ชิดกันมาก เช่น ล่อที่เกิดจากม้าผสมกับลา ไลเกอร์ (liger) ที่เกิดจากพ่อสิงโตกับแม่เสือ หรือไทกอน (tigon) ที่เกิดจากพ่อเสือกับแม่สิงโต
แต่สัตว์พวกนี้ล้วนเป็นหมัน ไม่อาจมีลูกได้
ภาพวาด นางเงือก (A Mermaid) โดย จอห์น วิลเลียม วอเทอร์เฮาส์ ใน ค.ศ. ๑๙๐๐
ภาพ : th.m.wikipedia.org
ภาพวาด ชาวประมงกับไซเรน (The Fisherman and the Syren) โดย เฟรเดริก เลทัน ราว ค.ศ. ๑๘๕๖-๑๘๕๘
ภาพ : th.m.wikipedia.org
สำหรับกรณีของคนนั้น ในยุคโบราณมีมนุษย์อยู่หลายจำพวก แต่ไม่มีมนุษย์สปีชีส์อื่นเหลืออยู่อีกเลยในทุกวันนี้ คนทั้งโลกล้วนเป็นสปีชีส์ โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) ดังนั้น ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาสีผิวภายนอกจะแตกต่างกันมากเพียงใด ชายหญิงทุกคนบนโลกก็อาจจับคู่ให้ลูกหลานได้
แต่ที่น่าสนใจคือมีงานวิจัย๙ พบว่า มีพันธุกรรมบางส่วนของนีแอนเดอร์ทัลที่พบได้ในพันธุกรรมของมนุษย์ปัจจุบันด้วย พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ครั้งหนึ่งนีแอนเดอร์ทัลและมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ อย่างบรรพบุรุษของพวกเรา เคยจับคู่มีลูกหลานด้วย !*
อย่างไรก็ตามดีเอ็นเอของนีแอนเดอร์ทัลที่ตกทอดมาถึงมนุษย์ปัจจุบันมีแค่ไม่เกิน ๔ เปอร์เซ็นต์ของพันธุกรรมทั้งหมดของมนุษย์ปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าการแบ่งสปีชีส์ที่เราใช้อยู่ในความหมายว่าไม่อาจผสมกันและให้ลูกหลานได้นั้นอาจไม่รัดกุมพอ หรือมองอีกแง่หนึ่ง นีแอนเดอร์ทัลกับโฮโมเซเปียนส์ อาจมีสายเลือดใกล้ชิดกันเกินกว่าจะแยกเป็นคนละสปีชีส์ !
จากความรู้ด้านพันธุศาสตร์ปัจจุบัน ยังมองไม่เห็นว่าจะเกิดมนุษย์ครึ่งยักษ์หรือมนุษย์ครึ่งเงือก (หากมีเงือกจริง) ได้อย่างไร เพราะกลไกการสืบพันธุ์ ไม่ว่าอวัยวะเพศ รูปร่างของเซลล์สืบพันธุ์ กลไกการเจาะเข้าเซลล์ไข่ของอสุจิ การจับคู่และแบ่งตัวของโครโมโซม จำนวนโครโมโซมในเซลล์ลูก ฯลฯ
หากแตกต่างกันแม้แต่นิดเดียวก็จะให้กำเนิดลูกไม่ได้
ขอปิดท้ายส่วนของสิ่งมีชีวิตด้วยเรื่องข้าวเจ้าที่ออกรวงเป็น “ข้าวสาร” ที่สุนทรภู่เล่าไว้ว่า มีขึ้นอยู่ที่เกาะแก้วพิสดาร เรื่องนี้เท่าที่ทราบยังไม่มีนะครับ ได้ข้าวเปลือกมา อย่างไรก็ต้องผ่านกระบวนการขัดสีจึงจะได้ข้าวสาร
แต่ที่น่าสนใจคือ มนุษย์เราคัดเลือกพันธุ์เก่งมาก จนข้าวโพดป่าที่เดิมแม้แต่สัตว์ฟันแข็งแรงกว่าเรายังยากจะกินได้ ปัจจุบันเรามีข้าวโพดสายพันธุ์ใหม่ ๆ บางสายพันธุ์ที่เมล็ดอ่อนนุ่มขนาดกินสด ๆ โดยไม่ต้องนำไปต้มก่อน
* เดิมมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลจัดเป็นอีกสปีชีส์หนึ่ง คือ
Homo neanderthalensis
แต่จากข้อมูลพันธุกรรมบอกว่าอาจเคยมีลูกหลานกับมนุษย์ปัจจุบัน บางคนจึงจัดให้เป็น “ซับสปีชีส์” หนึ่งในสปีชีส์เดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน เรียกว่า
Homo sapiens neanderthalensis
เพื่อให้ สอดคล้องกับนิยามของ “สปีชีส์” ว่าต้องให้ลูกหลานได้
รูปปั้นจากตำนาน Pied Piper เมืองฮาเมลิน เยอรมนี เขาเป่าเครื่องดนตรีเรียกหนูให้ออกจากเมือง
ภาพ : 123rf.com
ปี่พิฆาต เรือยักษ์
พูดถึงสิ่งมีชีวิตพิสดารไปแล้ว คราวนี้มาดูพวกอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ และเทคโนโลยีในเรื่อง
พระอภัยมณี
กันครับ พระเอกของเรื่องคือ พระอภัยมณีเป่าปี่ที่ส่งผลออกฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ สั่งให้หลับไร้สติ เคลิบเคลิ้ม หรือแม้แต่ตายก็ยังได้ ปัจจุบันเรารู้กันดีว่าดนตรีมีผลต่อจิตใจคนมาก ในการประชุมวิชาการของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
๑๐
มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ดนตรีช่วยเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมอง และใช้รักษาความผิดปรกติทางระบบประสาทได้หลายแบบ แถมยังรักษาอาการขาดสมาธิและซึมเศร้า
อันที่จริงพวกนักดนตรีรู้มานานแล้วว่า จังหวะของกลองหรือเครื่องดนตรีอื่น ๆ รวมถึงการสร้างจังหวะอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอที่ใช้ท่องบ่นมนตราหรือสวดมนต์ในพิธีกรรมทางลัทธิศาสนา ช่วยให้เราผ่อนคลาย มีสมาธิ หรือเข้าสู่ “ภวังค์” ได้ และมักอ้างว่าช่วยให้เข้าถึงเทพเจ้าต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ขณะจังหวะที่เร็วขึ้นมาอีกหน่อยทำให้ตื่นตัวและมีสมาธิจดจ่อดีขึ้น ในคนสูงอายุยังพบว่าการรักษาด้วยจังหวะดนตรีที่เหมาะสมช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ส่งเสริมความจำและปรับความรู้สึกนึกคิด นอกจากนี้เริ่มมีหลักฐานว่า อาจใช้ดนตรีเป็นตัวกระตุ้นการรักษาสมองที่เสียหายจากเส้นเลือดในสมองแตกได้
แค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งที่ยกมาก็พอสนับสนุนที่สุนทรภู่รจนาว่า “อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์” นั้นเป็นเรื่องจริง !
สำหรับการใช้ดนตรีเป็นอาวุธสังหารฝ่ายตรงข้ามนี่ ผมยังหาหลักฐานไม่เจอนะครับ แต่รับรองว่าถ้ามีลำโพงพลังแรงมาก เสียงดนตรีที่ออกมาดังมาก ๆ และเล่นนานพอ จะทำให้หูหนวกชั่วคราวหรือถาวรได้ !
คราวนี้มาดูสิ่งประดิษฐ์อย่างเรือโจรสุหรั่งที่อธิบายว่า “มีกำปั่นนั้นยาวยี่สิบเส้น กระทำเป็นตึกกว้านสถานถิ่น หมากมะพร้าวส้มสูกปลูกไว้กิน ไม่รู้สิ้นเอมโอชโภชนา เลี้ยงทั้งแพะแกะไก่สุกรห่าน คชสารม้ามิ่งมหิงสา มีกำปั่นห้าร้อยลอยล้อมมา เครื่องศัสตราสำหรับรบครบทุกลำ”
เรือสำราญ
Wonder of the Seas
และมุมมองจากด้านบน
ภาพ :
https://toptravellink.com/interesting-facts-you-might-not-know-about-wonder-of-the-seas/
โอ้โฮ ๑ เส้นเท่ากับ ๔๐ เมตร เรือโจรสุหรั่งจึงยาวถึง ๘๐๐ เมตร ใหญ่เป็นหมู่ตึก มีอาคารบ้านเรือน สวนผลไม้ และสัตว์เลี้ยงบนเรือครบ ใครเกิดสมัยสุนทรภู่ได้ยินได้ฟังก็ต้องร้อง โอ้โฮ ! อะไรจะใหญ่โตขนาดนั้น
สุนทรภู่เสียชีวิตในปี ๒๓๙๘ กว่าเรือยักษ์ที่โด่งดังที่สุดในโลกจะได้สร้างก็เกือบ ๖๐ ปีต่อมา เพราะเรือ ไททานิก ออกเดินทางในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๕๕ กระนั้นความยาวของเรือไททานิก ก็ยังแค่ ๒๖๙.๑ เมตร
หากไปดู “เรือสำราญ” สมัยนี้จะเห็นว่ามีขนาดใหญ่โตขึ้นทุกที โดยลำที่ครองตำแหน่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
๑๑
ชื่อ
วอนเดอร์
ออฟเดอะซีส์
(
Wonder of the Seas
) ยาว ๓๖๒ เมตร...ยาวกว่า ไททานิก อีก ส่วนความกว้างเท่ากับ ๖๔ เมตร ระวางขับน้ำ ๒๓๖,๘๕๗ ตัน จุผู้โดยสารได้ถึง ๖,๙๘๘ คน !
เรียกว่ายกหมู่ตึกยักษ์ลงไปลอยน้ำได้อย่างเต็มปาก แม้จะยาวไม่ถึง ๘๐๐ เมตรอย่างเรือโจรสุหรั่งก็ตาม แต่ในเรือสำราญพวกนี้ก็มีห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีโรงหนัง โรงอาหาร บ่อนการพนัน โรงยิม ห้องลีลาศ สระว่ายน้ำ สนามสำหรับกีฬาต่าง ๆ และใช้วิ่ง ฯลฯ
แม้อาจไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงช้างม้าวัวควายเป็น ๆ ลงเรือไปด้วย แต่น่าจะมีสัตว์ที่ใช้เป็นอาหารเตรียมไว้ในห้องเย็นและห้องแช่แข็งมากมายสารพัน ราวกับมีฟาร์มใหญ่ ๆ ในเรือเช่นกัน
ส่วนวิชาสู้รบที่พวกพราหมณ์ใช้ อย่างวิเชียรที่ยิงธนูทีละเจ็ดลูกนี่จิ๊บ ๆ ครับ เครื่องยิงจรวดสมัยนี้ยิงทีละเป็นแผงจำนวนมากกว่านั้นอีก ขณะที่พราหมณ์โมราสามารถผูกหญ้าเป็นสำเภายนต์ พวกยานรบที่แปลงร่างได้ ยังมีแค่ต้นแบบโชว์ เรียกความฮือฮาอย่าง “กันดั้ม” ยักษ์ ตัวใหญ่ขนาดเท่ากับที่บรรยายไว้ในมังงะของญี่ปุ่น
แต่ไอ้การแปลงหญ้ามาเป็นเรือยนต์นี่ นึกไม่ออกว่าจะทำได้ยังไงนะครับ
สุดท้าย สานนที่เรียกลมฝนได้นั้น ก็ยังไม่มีเทคโนโลยีเรียกลมเรียกฝนที่ได้ผลแน่นอน แม้จะมีสูตรทางเคมีที่ใช้ระดมยิงใส่ก้อนเมฆเพื่อให้มารวมกันจนเกิดเป็น “ฝนเทียม” ซึ่งมีทำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
แต่ก็ต้องพึ่งพาปริมาณเมฆในธรรมชาติว่ามีมากพอให้ทำหรือไม่ และไม่การันตีว่าจะเกิดฝนตกเสมอไป
อ่านถึงตรงนี้ คงต้องยอมรับจริง ๆ ว่า สุนทรภู่นี่นอกจากฝีมือแต่งกลอนที่ยอดเยี่ยมหาคนทาบได้ยากระดับร้อยปี
สองร้อยปีจะมีมาสักคนแล้ว ความรู้ก็ยังเยอะ จินตนาการก็แยะ จนสามารถแต่งวรรณคดีที่วิจิตรพิสดารแฟนตาซีได้ถึงขนาดนี้ !
เชิงอรรถ
๑ https://th.wikipedia.org/wiki/ม้านิลมังกร (เข้าถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๒ https://www.silpa-mag.com/history/article_44986 (เข้าถึง
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๓ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. (ค.ศ. ๒๐๐๕).
The Journal of the
Royal Institute of Thailand
, vol. 30, No. 3, July-Sep 2005.
pp. 764-785.
๔ นำชัย ชีววิวรรธน์. (๒๕๖๐).
อยากชวนเธอไปอำผี
. สำนักพิมพ์มติชน.
๕ https://www.iflscience.com/health-and-medicine/heres-why-science-says-giant-humans-have-never-and-will-never-exist/ (เข้าถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๖ https://en.wikipedia.org/wiki/Cardiff_Giant (เข้าถึงวันที่
๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๗ https://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Wadlow (เข้าถึง
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๘ https://en.wikipedia.org/wiki/Mermaid (เข้าถึงวันที่
๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๙ https://www.sapiens.org/column/field-trips/human-
genome-project-neanderthals/ (เข้าถึงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๑๐ https://news.stanford.edu/news/2006/may31/brain
wave-053106.html (เข้าถึงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
๑๑ https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_largest_cruise_
ships (เข้าถึงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕)