กี่ครั้ง...
พระอภัยมณี
เป่าปี่และมีรัก
scoop
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
พระอภัยมณี
เป็นพระเอกที่มีลักษณะต่างจากตัวละครเอกในนิทานจักร ๆ วงศ์ๆ ทั่วไป ไม่ได้เป็นนักรบที่เก่งกาจ แต่เป็นศิลปินที่มีใจรักทางดนตรี ด้วยเชื่อว่า “ดนตรีนี้ดีจริง” ประโลมโลกให้ “ดับโศกสูญหายทั้งชายหญิง” นอกจากเป็นเจ้าชายนักดนตรีฝีมือดี ยังวาจาดี สุภาพ อ่อนหวานต่อคนทุกชนชั้น รักสงบ ไม่ปรารถนาการสู้รบ และไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นรบรากันด้วย แม้แต่กับคู่สงครามอย่างนางละเวงวัณฬาก็ชักชวนมาสมานฉันท์ รวมบ้านเมืองเป็นแผ่นดินเดียวกัน “จะถมชลจนกระทั่งถึงลังกา เป็นสุธาแผ่นเดียวเจียวจริงจริง”
เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ได้เป็นผู้นำทุกสิ่งอย่างและทำอะไรเองทั้งหมด หากเป็นนักปกครองที่รู้จักใช้คนได้อย่างเหมาะสมตรงกับความสามารถ และเป็นตัวเอกที่ไม่ “เหนือมนุษย์” เหาะเหินเดินอากาศ แผลงศรเก่ง แต่เป็นคนที่มีดีมีบกพร่องผิดพลาดเช่นคนทั่วไป มีอารมณ์ความรู้สึก อ่อนไหว เจ้าชู้ บางคราวก็อ่อนแอพ่ายแพ้ต่อกิเลส ยอมทิ้งความเพียรในการบำเพ็ญตนไปหาผู้หญิง ซึ่งทำให้ต้องเผชิญปัญหาหลายอย่างตามมา แต่ขณะเดียวกันก็มีด้านที่เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในความรู้ ไม่ว่าสิ่งใดถ้าเรียนรู้จนทำได้อย่างเป็นเลิศก็ช่วยให้เอาตัวรอดได้ไม่ต่างจากวิชาเวทมนตร์หรือการรบ ดังที่พระอภัยมณีใช้เพลงปี่ที่ใครดูหมิ่นว่าเป็นวิชาดนตรีด้อยค่า เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้ทุกครั้งตลอดทั้งเรื่อง
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น
คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง
ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต
ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง
อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามคํ่ายํ่าฆ้องจะร้องไห้
รํ่าพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย
น้ำค้างย้อยเย็นฉํ่าที่อัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น
ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน
จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง
วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่
พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง
ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง
เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป
ครั้งแรกของการใช้เสียงปี่สะกดทัพระงับศึก ใช้ดนตรีกล่อมใจทหารกล้าไม่ให้ต้องห้ำหั่นเข่นฆ่ากัน
นับเป็นการเป่าปี่ครั้งที่ ๔ ของพระอภัยมณี ในนิทานคำกลอนเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมหากวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เพลงปี่ของพระอภัยมณีบรรเลงเป็นครั้งแรกหลังจากศึกษาอยู่กับพราหมณ์พฤฒา ที่ตำบลบ้านจันตคาม อยู่ปีครึ่ง กลับเข้าเมืองได้ไม่ถึงครึ่งวันก็โดนพระบิดาขับออกมา ด้วยกริ้วว่าเรียนวิชาที่ไม่เป็นประโยชน์กับการบริหารบ้านเมือง
เมื่อออกมาเจอสามพราหมณ์หนุ่ม วิเชียร โมรา สานน ที่ริมฝั่งทะเล (อันดามัน ?) พระอภัยมณีก็บรรเลงเพลงปี่ให้ฟังเพื่อยืนยันว่า “อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์” ก่อนพราหมณ์และน้องชายต่างพากันหลับใหล
ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย
ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย
จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่เลย
ครั้งที่ ๒ เป่าปี่เพื่อกำจัดนางผีเสื้อสมุทรหลังโดนนางยักษ์ติดตามไล่ล่าและทำคนตายไปเป็นจำนวนมากแล้ว และกำลังบันดาลให้ฝนและลูกเห็บตกใส่พระอภัยมณีกับพวกที่เรือแตก เจ็บปวดจนสุดจะทานทน จำต้องใช้วิชาเพลงปี่เป่าให้นางยักษ์สิ้นใจ ร่างกลายเป็นหินมีน้ำไหลจากปาก พระอภัยมณีจะเผาศพนาง แต่เจ้าเขามาห้ามไว้ว่าถ้าทำเช่นนั้นนางจะคืนชีพ ทั้งแนะนำให้ดื่มน้ำทิพย์ที่ออกจากปากนางยักษ์จะทำให้อายุยืนยาว
ครั้งที่ ๓ เป่าปี่จับเจ้าละมาน กษัตริย์องค์หนึ่งที่ได้รับรูปและสารจากราชินีละเวงวัณฬาแล้วหลงเสน่ห์ รีบยกกองทัพข้ามสมุทรจะมาตีเมืองผลึก แต่ต้องพ่ายต่อเสียงปี่พระอภัยฯ ทั้งจอมทัพและทหารถูกจับไปปล่อยเกาะโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่าย
ครั้งที่ ๔ พระอภัยมณีเป่าปี่ห้ามทัพทั้งฝ่ายเมืองผลึก รมจักร และลังกาและหลังจากนั้นพระอภัยมณีเป่าปี่เรียกนางละเวงวัณฬาสามครั้ง กว่านางจะยอมมาหา เพลงปี่ครั้งที่ ๘ เป่าเพื่อปลุกทัพของตนให้ตื่น
ครั้งที่ ๙ พระอภัยมณีถูกนางยุพาผกาล่อลวงให้เป่าปี่สะกดทัพตัวเอง
ครั้งที่ ๑๐ เป่าปี่เรียกหานางละเวงวัณฬาและพลพรรค
ครั้งที่ ๑๑ พระอภัยมณีเป่าปี่สะกดทัพวลายุดา วายุพัฒน์ หัสกัน จากนั้นลูกหลานว่านเครือก็แยกกันไปครองเมืองต่าง ๆ พระอภัยมณีละจากดนตรีกานต์ไปบวชอยู่ที่เขาสิงคุตร์
และอีกครั้งพระอภัยมณีเป่าปี่ไม่ให้ปลาอานนท์มาหนุนเรือ เป็นการเป่าปี่ครั้งสุดท้ายของเรื่อง
(กับมีครั้งหนึ่งที่สินสมุทรเป่าปี่ของพ่อ เมื่อคราวพระเจ้าสิลราชเจ้าเมืองผลึกแล่นเรือมาถึงเกาะแก้วพิสดาร อยากได้ยินเสียงปีที่ร่ำลือกันว่าไพเราะนัก ตอนนั้นพระอภัยมณีบวชอยู่จึงให้สินสมุทรช่วยเป่าให้ฟัง ซึ่งก็ทำให้คนที่ได้ฟัง “...หลับล้มไม่สมประดี” ไปเช่นกัน)
เลิฟซีน
หรือ
ฉากอีโรติก
ในวรรณคดีไทยทำไมถึงถูกเรียกว่าบทอัศจรรย์ หรือฉากเข้าพระเข้านาง อาจเพื่อเบือนเบลอความโป๊เปลือย โดยมักมีการเปรียบเปรยเชื่อมโยงกับฟ้าฝนลมคลื่น ซึ่งสำหรับกวีผู้มากฝีมือแล้วจะสรรสำนวนพรรณนาความหวามหวิวได้ยิ่งกว่าการเปิดเผยแบบโจ่งแจ้งแบบหนังโป๊ตลาดล่างเป็นงานวรรณศิลป์ที่ไม่ต้องจัดเรต อ่านร้อยกรองเป็นก็อ่านได้เลย ไม่ต้องรออายุถึง ๑๘
(ฉาก) รักครั้งแรกกับผีเสื้อสมุทร ไม่เชิงว่าด้วยเสน่หา แต่คล้ายไม่มีทางอื่น
พระฟังคำจำจิตพิศวาส
ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา
เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง
เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด
กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง
ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพร่องกระแพร่ง
ปักเป้าแทงตะละทีไม่มีผิด
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด
ประกบติดตกผางลงกลางดิน
อยู่กับนางผีเสื้อสมุทรในถ้ำกลางทะเลร่วม ๘ ปี ต่อมาพระอภัยมณีมามีรักกับนางเงือกที่ช่วยพาพระองค์หลบหนีมาที่เกาะแก้วพิสดาร
พลางอิงแอบแนบน้องประคองเคล้า
ค่อยต้องเต้าเต่งอุรามารศรี
พระเชยปรางทางฉะอ้อนอ่อนอินทรีย์
ร่วมฤดีเดือนหงายสบายใจ
อัศจรรย์ครั่นครื้นเป็นคลื่นคลั่ง
เพียงจะพังแผ่นผาสุธาไหว
กระฉอกฉาดหาดเหวเป็นเปลวไฟ
พายุใหญ่เขยื้อนโยกกระโชกพัด
เมขลาล่อแก้วแววสว่าง
อสูรขว้างเขวี้ยงขวานประหารหัต
พอฟ้าวาบปลาบแปลบแฉลบลัด
เฉวียนฉวัดวงรอบขอบพระเมรุ
พลาหกเทวบุตรก็ผุดพุ่ง
เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน
สีขรินทร์อิสินธรก็อ่อนเอน
ยอดระเนนแนบน้ำแทบทำลาย
รักครั้ง ๓ กับนางวาลี หญิงสามัญชนในตระกูลพราหมณ์เป็นสาวใหญ่รูปไม่งาม ผิวสี “น้ำรัก” ซึ่งไม่ใช่ขาวนวลอย่างน้ำคัดหลั่งของผู้ชายหลังบทอัศจรรย์ แต่เป็นสีดำสนิทอย่างน้ำยางรักที่ใช้ในงานจิตรกรรมปิดทอง แต่นางวาลีเป็นคนฉลาดรอบรู้ มาเสนอตัวจะช่วยทำการศึกให้กับเมืองผลึกแลกกับตำแหน่งสนมเอก ซึ่งเป็นข้อเสนอที่พระอภัยมณีไม่อาจปฏิเสธ
แล้วนางก็สมหวัง แต่ก็สิ้นชีวิตลงในอีกไม่นานหลังจากนั้น ไม่ทันมีทายาทกับพระอภัยมณี
ถนอมแนบแอบอุ่นค่อยฉุนชื่น
สำราญรื่นร่วมประทมภิรมย์ขวัญ
ถึงขาวดำน้ำตาลย่อมหวานมัน
ด้วยเชิงชั้นแนบชิดสนิทนาง
เหมือนม้าดีขี่ขับสำหรับรบ
ทั้งดีดขบโขกกัดสะบัดย่าง
ทั้งเรียบร้อยน้อยใหญ่ที่ไว้วาง
สันทัดทางถูกต้องคล่องอารมณ์
ถึงรูปชั่วตัวดำดังน้ำรัก
แต่รู้หลักล้ำสุรางค์นางสนม
พระโปรดปรานพานสนิทได้ชิดชม
ร่วมบรรทมแท่นทองที่รองทรง
และนางวาลีนั้นเองที่วางอุบายให้นางสุวรรณมาลีแต่งงานกับพระอภัยมณีด้วยความเป็นคนขี้หึง “...แต่นางกษัตริย์มเหสีนั้นขี้หึง เห็นโปรดใครใหญ่ขึ้นก็มึนตึง จึงทรงครรภ์ไม่ทันถึงในครึ่งปี”
ทรงครรภ์โดยคนอ่านไม่ได้รู้เห็นบทอัศจรรย์
ต่อมาพระอภัยมณีจากเมืองผลึกข้ามห้วงมหาสมุทรไปทำศึกที่ลังกา พอเห็นหน้านางละเวง-วัณฬา จอมทัพฝ่ายลังกาก็นึกรักพานเกี้ยวให้เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามรัก จนเกิด “เมกเลิฟนอตวอร์” แบบเลื่อนลั่นลืมโลกในที่สุด
พลางโอบอุ้มจุมพิตสนิทถนอม
งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน
แผ่นดินไหวจนกระทั่งหลังอานนต์
ในนทีตีคลื่นเสียงครื้นครึก
ลั่นพิลึกโลกาโกลาหล
หีบดนตรีปี่พาทย์ระนาดกล
ไม่มีคนไขดังเสียงวังเวง
อัศจรรย์ลั่นดังระฆังฆ้อง
เสียงกึกก้องเก่งก่างโหง่งหง่างเหง่ง
ปืนประจำกำปั่นก็ลั่นเอง
เสียงครื้นเครงครึกโครมพโยมบน
สุนีบาตฟาดเสียงเปรี้ยงเปรี้ยงเปรื่อง
กระดอนกระเดื่องดินฟ้าเป็นห่าฝน
ทุกธารถ้ำน้ำพุทะลุล้น
ท่วมถนนแนวฝั่งเกาะลังกา
สองสนิทชิดชมอารมณ์ชื่น
ระเริงรื่นเริ่มแรกแปลกภาษา
พระลืมองค์พงศ์พันธุ์สวรรยา
นางลืมวังลังกาไม่อาลัย
พระหลงรื่นชื่นกลิ่นดินถนัน
นางหลงชั้นเชิงชิดพิสมัย
แต่คลึงเคล้าเย้ายวนรัญจวนใจ
จนระงับหลับไปในไสยา
จนตอนท้ายเรื่อง นางสุวรรณมาลีตามมาเจอพระอภัยมณีอยู่กับนางละเวงวัณฬาที่เมืองลังกา จึงเพิ่งมีบทอัศจรรย์เบา ๆ กับมเหสีที่เคยมีธิดาฝาแฝดกับจอมกษัตริย์นักเพลงปี่มาแล้ว
ประคองนางวางแท่นแสนสวาท
สัมผัสพาดเพิ่มจิตพิสมัย
อัศจรรย์ลั่นเลื่อนสะเทือนไป
ที่ถ่านไฟเก่าดับก็กลับโพลง
เหมือนเมื่อปีมีวันจันทร์อังคาธ
โลกธาตุเลื่อนลั่นควันโขมง
เขาเนมินทร์อิสินธรเคลื่อนคลองโคลง
ทะเลโล่งลมคลื่นเสียงครื้นครึก
พวกสำเภาเหล่าที่รอค้างมรสุม
ออกเล่นกลุ้มกลางคืนจนดื่นดึก
สู้กรำฝนทนหนาวออกอ่าวลึก
ต่างสมนึกเลยหลับระงับไป
เป็นเลิฟซีนสุดท้ายกับมเหสีคนแรกของเรื่อง พระอภัยมณี
อ้างอิง
ครูทอม คำไทย. “ทำไมผีเสื้อสมุทรไม่หลับเพราะเสียงปี่”. สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่ พระอภัยมณีไม่ใช่คนระยอง, ๒๕๕๙.
วินัย ภู่ระหงษ์. “พระอภัยมณี พระเอกศิลปิน”. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๘ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๙.
ชลอ ช่วยบำรุง. “สุวรรณ-มาลีมีลูกสอง ไม่ต้องอัศจรรย์”. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๘ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๙.