ชาติชาย เกษนัส
มุมมองคนทำหนัง
ในวันที่ประเทศไทยประกาศ
พา (วงการ ?) ภาพยนตร์ไทย
ไปสู่การเป็นซอฟต์พาวเวอร์
Interview
สัมภาษณ์และเรียบเรียง : วรรณิดา มหากาฬ
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
๑ มกราคม ๒๕๖๕ ละครโทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์ จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี ออกอากาศตอนแรกเรื่องราวอีกแง่มุมในประวัติศาสตร์ไทย-พม่า ได้รับการถ่ายทอดอย่างละเมียดละไมนำไปสู่กระแสเชิงบวก
ย้อนกลับไปปี ๒๕๖๒ หนังผีสัญชาติเมียนมาโดยผู้กำกับการแสดงไทยออกฉายครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ The Only Mom มาร-ดา พาเราเข้าสู่ความกลัวพร้อม ๆ กับตั้งคำถามกับความกลัว อำนาจความเชื่อ และชนชั้นในสังคมพม่าที่คล้ายคลึงสังคมไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ไกลกว่านั้น พฤศจิกายน ๒๕๕๙ From Bangkok to Mandalay ถึงคน..ไม่คิดถึง ภาพยนตร์ร่วมทุนไทย-พม่า เรื่องแรกของเขา ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวจากจดหมายของชายคนหนึ่งถึงหญิงสาวที่รัก ความคิดถึงที่ซุกซ่อนและไม่เคยถูกเปิดอ่านได้ออกฉายในประเทศไทย
ชีวิตด้านหนึ่งทำงานในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ อีกด้านอยู่เบื้องหลังบริษัทโพสต์โปรดักชันระดับอินเตอร์ ไวท์ไลท์ สตูดิโอ จากวันแรกที่รู้ตัวว่าตกหลุมรัก มีความฝันอยากทำหนังสักเรื่อง สู่ละคร-ภาพยนตร์ที่ตั้งใจจะปลุกคนไทยให้ตื่น ตั้งคำถาม มองอดีต และก้าวสู่อนาคต
ฉัน ฝัน หนัง
“เราชอบดูหนัง…”
เป็นประโยคแรกของผู้กำกับภาพยนตร์ไทย-พม่าที่เล่าถึงจุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจ และความฝันในการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์
“มันสั่นสะเทือนเรา ไม่รู้ว่าจุดประกายเราแบบไหน แต่พอดูหนังเสร็จก็เริ่มถามตัวเองว่าฝันของเราคืออะไร อยากทำอะไร”
ช่วงเวลาที่สื่อภาพยนตร์และโรงหนังมีอิทธิพลมากที่สุด Dead Poets Society ครูครับเราจะสู้เพื่อฝัน กลายเป็นภาพยนตร์ที่จุดประกายความฝันของเขา
“ทุกวันเราก็คิดแต่เรื่องหนัง สงสัยว่าต้องทำหนังแล้ว และเราก็คงไม่เป็นพระเอกแน่ ๆ เลยอยากกำกับหนังสักเรื่องหนึ่ง ตอนเรียนเราสอบเข้าคณะที่มีสอนภาพยนตร์ แต่เข้าไม่ได้ ก็เข้าคณะข้างเคียงและไปเรียนกับเพื่อน ๆ ที่เรียนภาพยนตร์คณะวารสารศาสตร์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่เราเรียนศิลปกรรมการละคร เรียนละครกรีก เรียนแอ็กติง เรียนกำกับฯ จุดสำคัญที่สุดคือได้เจอพี่ ๆ คณะละครพระจันทร์เสี้ยว รวมถึงอาจารย์คำรณ คุณะดิลก ข้ามฝั่งไปที่วัดระฆังฯ ก็เจอครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน คณะละครพระจันทร์เสี้ยวจะเคี่ยวกรำเรื่องความคิด เรื่องการมอง ฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดให้ลึกซึ้ง แล้วให้คุณค่าต่อศิลปะการแสดงมาก ส่วนครูเล็ก- ภัทราวดี เราเจอในช่วงที่ครูเริ่มหันมาสนใจเรื่องรำไทย เจอพี่นาย-มานพ มีจำรัส พี่ตั๊ก-นภัสกร มิตรเอม เลยเหมือนว่าโลกศิลปะทั้งแบบดั้งเดิม แบบท้องถิ่น หรือแม้แต่อินเตอร์วิ่งผ่านเราอย่างสนุกสนาน”
ชีวิตโลดแล่นตามฝัน พบเจอครูผู้เปิดมุมมองและเปิดโลกทัศน์สู่ศิลปะหลากหลายแขนง หลอมรวมเป็นฐานความคิดในการทำงานของ ชาติชาย เกษนัส
“ซอฟต์พาวเวอร์ก็คือเต้นกินรำกิน ถ้าเราก้าวข้ามตรงนี้ไม่ได้ไม่ต้องคุยกัน”
ไทย พม่า-ความแตกต่างของ
อุตสาหกรรมภาพยนตร์
“ช่วงเวลาที่เราเข้าไปแค่ ๗ ปี (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๔) เป็นช่วงที่มีความหวังที่สุดของพม่า ประเทศเปิดหลังถูกปิดมา ๕๐ กว่าปี นับเป็นความหวังครั้งแรกที่จะสื่อสารกับโลกภายนอก”
From Bangkok to Mandalay ถึงคน..ไม่คิดถึง ของ ชาติชาย เกษนัส ที่ครั้งนั้นหันขบวนภาพยนตร์เข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านเป็นช่วงที่พม่าเปิดประเทศกับโลกตะวันตก เปิดรับสื่อเพิ่มมากขึ้น
“คำว่าปิดประเทศหมายถึงกับโลกตะวันตก แต่ในความสัมพันธ์ไทย-พม่าเราไม่เคยปิดพรมแดน ยังไปมาหาสู่กัน”
แต่การปิดกั้นตัวเองจากโลกตะวันตกของพม่าได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในวงการภาพยนตร์
“ไทยเราสื่อสารกับโลกภายนอกตลอด มีกองถ่ายหนังต่างประเทศเข้ามา และคนไทยก็เก่งในการดูดความรู้และพัฒนาเป็นของตัวเอง เราสามารถสื่อสารในระดับฮอลลีวูดได้”
และขณะที่วัฒนธรรมในกองถ่ายเกือบทั่วโลกมีโครงสร้างแบบเดียวกัน
“การขานในกองถ่าย ซาวนด์ โรล คาเมรา สปีด เซต แอนด์ แอ็กชัน มันเป็นแบบเดียวกัน แต่พม่าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย”
การแบ่งงานและภาระหน้าที่ของแต่ละแผนกที่กองถ่ายภาพยนตร์ทั่วไปพึงมี ในพม่าทุกหน้าที่รวมอยู่ที่คนคนเดียว
แม้ความต่างจะทำให้ผู้ทำงานทั้งสองประเทศต้องปรับตัว แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี ได้เห็นโลกใหม่ ๆ ได้ต่อยอด และพัฒนาวงการภาพยนตร์
มุมมองถึงคน...ดูหนัง
“เรามองว่าประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างและนิทานก่อนนอนส่งผลต่อความคิดของพวกเรา”
สิ่งหนึ่งที่ ชาติชาย เกษนัส ค้นพบในมุมมองของนักการละคร คือมนุษย์ทุกคนมีเรื่องเล่าที่สามารถสร้างความเป็นจริงขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง
“ปัญหาของพม่าเหมือนกับไทย คือยึดโยงว่าวีรบุรุษต้องเป็นวีรบุรุษสงครามเท่านั้น และผู้ปกครองต้องเป็นนักรบเท่านั้น ทั้งสองประเทศไม่มีสงครามในรูปแบบมาเป็นร้อยปีจากโลกภายนอก กองทัพรบกับประชาชนของตัวเองมาตลอด ตรงนี้มันมาจากนิทานก่อนนอน ถ้ามองประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่เกิดอาณาจักร จุดเริ่มต้นอาจมาจากสงครามและการป้องกันอาณาเขต แต่จังหวะที่สร้างบ้านแปงเมือง สร้างสิ่งสวยงาม ศิลปะ อารยธรรม และวัฒนธรรม จะเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่ง เรามองว่าความมั่นคงของชาติไม่ใช่เรื่องของอำนาจการยิงเพียงอย่างเดียว”
“ต้องเลิกผลักดันโปรเจกต์เป็นเรื่อง ๆ เพราะไม่มีทางสำเร็จ”
เขาเล่าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ชมไทยที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องแรก From Bangkok to Mandalay ถึงคน..ไม่คิดถึง
“ภาพพม่าในหนังของเราเป็นสิ่งใหม่มากกับคนไทยในตอนนั้น การเปิดมุมใหม่ ภาพเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร หรือเมืองที่มีตึกโคโลเนียล มีกลิ่นอายโคโลเนียล ไม่เคยมีในหัวคนไทย
“พอมาถึงเรื่อง จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี มีลูกต่อเนื่องจากรายการสารคดี ‘โยเดียที่คิด (ไม่) ถึง’ ที่เราทำงานมาตลอด ๕ ปี ซึ่งค่อนข้างสร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิดหลาย ๆ อย่างของคนไทย โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ว่าง”
คือพื้นที่ว่างที่ทำให้ผู้คนตั้งคำถามว่าระหว่างสองประเทศไทย-พม่า จะมีพื้นที่ที่สามารถสร้างความเข้าใจและรักกันได้หรือไม่ รวมถึงคนรุ่นใหม่จะอยู่กับความจริงในประวัติศาสตร์นั้นอย่างไร
“เรื่องความขัดแย้งไทย-พม่า มีอยู่ในความคิดคนไทยทุกคน เราจับมาเติมมุมมองใหม่ ชี้ให้เขามอง ซึ่งจะเข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่ายกว่าสร้างเรื่องใหม่ หนังละครบางเรื่องที่ไม่มีฐานไม่มีอารมณ์ร่วมของคนในสังคมจึงไม่ได้รับเสียงตอบรับนัก”
ตัวอย่างจากละครโทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์ จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี ถูกเขาหยิบยกขึ้นมาบอกเล่าถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรม
“คนอโยธยาไปอยู่พม่าในฐานะผู้แพ้ การอยู่ต่างถิ่นฐานคุณต้องมีความสามารถ ไม่ว่ายุคสมัยใด ตอนนั้นการปกครองศูนย์กลางอยู่ที่วัง เขาก็ต้องเข้าหาวัง คิดว่าคนอโยธยาคงอยากระเบิดความสามารถว่าเขามีตัวตนและแตกต่าง ศิลปะพม่าคลั่งไคล้ละครหุ่นสายมายาวนาน ท่ารำต่าง ๆ ก็เหมือนหุ่นเชิด พอเจอความอ่อนช้อยของศิลปะไทยจึงได้รับความนิยม แต่การแสดงที่เห็นในละครทั้งหมดเป็นนาฏศิลป์ใหม่ เทคนิคต่าง ๆ ก็เป็นของใหม่ ถ้าเอาของเก่ามา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คนดูจะสัมผัสได้ยาก
“สิ่งที่คิดว่าเป็นปรากฏการณ์สำหรับเราคือ คนที่ชอบงานเรา
มีทั้งสองฝั่ง ทั้งอนุรักษนิยมและเด็กรุ่นใหม่ พวกเขาจึงสนุกกับงานของเราได้ในพื้นที่ตรงกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญ”
ซอฟต์พาวเวอร์ ?
“ซอฟต์พาวเวอร์ก็คือเต้นกินรำกิน ถ้าเราก้าวข้ามตรงนี้ไม่ได้ไม่ต้องคุยกัน ที่ผ่านมาเราจะด้อยค่าคนทำงานศิลปะ ทำให้สถานะของพวกเขาไม่มีที่ยืน ไม่สามารถมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี”
เมื่อย้อนไปถึงการเรียนวิชาภาพยนตร์วิชาแรก เขาต้องเรียนเกี่ยวกับคนทำหนังให้ฮิตเลอร์ ละครสร้างชาติ ทฤษฎีทางการเมืองที่นำมาพัฒนาเป็นทฤษฎีภาพยนตร์
“ศิลปะกับการเมืองอยู่ด้วยกันมาตลอด ก็เลยเป็นของสำคัญมีพลัง และขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในมือใครด้วย”
อย่างเช่นงานของผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่เขาชื่นชม
“งานพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) ปลุกให้เราตั้งคำถามในระดับจิตใต้สำนึก ถ้าตีความเลยจากนั้นก็ไปสู่เรื่องปรัชญา เราคิดว่ามันปลุกคนให้ตื่นอย่างแท้จริง เราก็ตั้งใจอยากจะทำให้ได้แบบนั้นบ้าง แต่งานเรายังไปไม่ถึง
“ความตั้งใจของเราคือเราเหนื่อยกับความเกลียดชัง คิดว่าเป็นสิ่งล้าหลังและไม่มีประโยชน์ หนัก อึดอัด ถ้ามีงานสักชิ้นที่ไขล็อกตรงนี้ แล้วเปลี่ยนคนให้เคารพกัน ให้คนไทยมีสำนึกเรื่องการเป็นพลเมือง หรือเลยกว่านั้นคือการเป็นพลเมืองของโลก
“สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจและเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดในการทำละคร จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี คือแรงสนับสนุนจากเด็กรุ่นใหม่ ทำให้เห็นความแตกต่างว่าคนรุ่นก่อนโตมากับนิทานอีสปแบบเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ต้องการข้อสรุป แต่เด็กรุ่นใหม่สามารถตีความงาน และน่าจะหลุดจากกรอบทัศน์เรื่องเชื้อชาตินิยม
อนาคตหนังไทย
ในฐานะซอฟต์พาวเวอร์
“ถ้าถามถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ ยังไม่เกิดและยังไม่มีทางเกิด เราพูดมาหลายเวทีแล้ว และวันนี้ขอพูดดัง ๆ อีกครั้งว่า ต้องเลิกผลักดันโปรเจกต์เป็นเรื่อง ๆ เพราะไม่มีทางสำเร็จต้องทำเชิงโครงสร้าง เช่น กำแพงภาษี หรือมีเงินอุดหนุนจากภาครัฐที่จะทำให้เราแข่งขันในระดับโลกได้ กระทรวงวัฒนธรรมก็ทำงานส่วนอนุรักษ์ไป แต่ในส่วนศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยต้องเปิดโอกาสให้คนได้ทำงานอย่างอิสระ ขอให้สนับสนุน แล้วรับฟังพวกเขา
“เวลาต่างชาติมาขอละเว้นภาษี เขาจะมาในนามสมาคมผู้ค้าภาพยนตร์ต่างประเทศ พร้อมจดหมายถึงรัฐสภา แต่ในไทยไม่มีองค์กรที่จะปกป้องเราแบบนี้ ถ้าให้ภาพยนตร์เป็นอุตสาหกรรมก็ควรอยู่ในความดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงพาณิชย์ จะตรงจุดกว่ากระทรวงวัฒนธรรม เราเชื่อว่าภาครัฐมีเงินพอจะสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างอยู่แล้ว”