ตามประวัติศาสตร์นี้ “เรือดำ” ที่บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศทำการค้า และ “ระเบิดปรมาณู” ของสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ ๒ คงเป็นตัวแทนของ hard power ตามคำนิยามในหนังสือ Soft Power : The Means to Success in World Politics ของ โจเซฟ ไนย์ (ชื่อเต็ม โจเซฟ เอส. ไนย์ จูเนียร์-Joseph S. Nye, Jr.) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ให้กำเนิดคำว่า soft power
ไนย์นิยาม power ว่าคือความสามารถในการทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เราต้องการจากคนอื่น ทางหนึ่งคือใช้กำลังบังคับหรืออำนาจทางการทหาร อีกทางคือใช้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยน หรืออำนาจทางการค้า และทางสุดท้ายคือทำให้คนอื่นชื่นชอบ เห็นดีเห็นงามด้วย สองทางแรกเป็นมาตรการไม้แข็ง hard power และทางที่ ๓ เป็นมาตรการไม้อ่อน soft power
เขาเสนอว่านอกจากอำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจแล้ว ยังมีอำนาจอีกอย่างที่สหรัฐอเมริกาต้องให้ความสำคัญเพื่อก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงของรัฐศาสตร์โลก นั่นคือ soft power
เคยมีคนถาม โดนัลด์ รัมส์เฟลด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ว่ามีความเห็นอย่างไรต่อ soft power ผู้รับผิดชอบต่อสงครามอิรักและอัฟกานิสถานตอบว่า “ผมไม่รู้คำนี้มีความหมายอย่างไร”
ไนย์ไม่ได้ปฏิเสธ hard power เขาชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองอำนาจที่อาจส่งเสริมหรือบั่นทอนกัน ในยุคสงครามเย็น อำนาจทางทหารของสหรัฐอเมริกากับแนวคิดค่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ ความชื่นชมต่อผู้นำโลก ทำให้ภาพยนตร์ฮอลลีวูด รายการทีวี ดนตรี อาหารฟาสต์ฟู้ด น้ำอัดลม แฟชั่น วรรณกรรม วัฒนธรรมของโลกเสรี ความฝันแบบอเมริกันชน ดินแดนแห่งโอกาส ความก้าวหน้าทางวิทยาการ กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจคนทั่วโลกมาถึงปัจจุบัน แม้ตอนนั้นจะยังไม่มีคำว่า soft power
เขายกคำพูดของ อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ที่ก่อเหตุ 9/11 ซึ่งเคยกล่าวว่า “เวลาเห็นม้าแข็งแรงกับม้าป่วย ใคร ๆ ก็ต้องชื่นชอบม้าที่แข็งแรง” เพื่อชี้ว่า hard power ก็มีส่วนดึงดูดใจคนในแบบหนึ่ง ไนย์เสนอว่าต้องรู้จักใช้ทั้ง hard power และ soft power เป็น smart power
ถ้าทรัพยากรของ hard power คือกำลังทางทหาร อาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่สร้างความเสียหาย บังคับให้คนยอมแพ้ยอมจำนน ทรัพยากรสำหรับ soft power ก็คือสิ่งที่สร้าง “แรงดึงดูด” ให้คนยินดีร่วมมือทำตาม
คุณค่าที่เป็นทรัพยากรสำคัญของ soft power คือ ประชาธิปไตย สังคมที่มีเสรีภาพ เพราะประเทศที่เน้นอำนาจนิยมจะคุ้นชินกับการใช้คำสั่งและการบังคับแบบ hard power
ประเด็นนี้ยังเชื่อมโยงกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือเป็นที่ยอมรับของประเทศต่าง ๆ หรือไม่ ตัวอย่างสหรัฐอเมริกาที่เน้น hard power จนสูญเสีย soft power หรือความน่าเชื่อถือในสายตาคนทั่วโลก จากข้อครหาปั้นข่าวลวงเพื่อหาเหตุทำสงครามบุกอิรักและอัฟกานิสถาน ส่งผลมาถึงกรณีการบุกยูเครนของรัสเซีย แม้เสียงเรียกร้องสันติภาพให้ยุติสงครามดังขึ้นทั่วโลก แต่ก็มีคนแคลงใจสหรัฐอเมริกาตั้งแต่นโยบาย America First สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำทุกอย่างโดยยึดผลประโยชน์ตนเองมากกว่าของโลก ขณะจีนก็เสียความน่าเชื่อถือในเวทีสากล จากการไม่ยอมคัดค้านหรือประณามรัสเซีย
ไนย์ยังมองว่าการปฏิวัติสู่สังคมข่าวสารที่เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะสร้างชุมชนออนไลน์ที่เชื่อมโยงคน ทั่วโลกแบบไร้พรมแดน ประเทศที่เปิดช่องทางเชื่อมต่อสื่อสาร พร้อมส่งเสริมเสรีภาพและเคารพความหลากหลายจึงมีโอกาสสร้าง soft power ได้มากกว่า
soft power ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของประเทศ แม้เป็นประเทศใหญ่ก็อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบหรือยอมรับของประเทศอื่น ขณะประเทศเล็ก ๆ สามารถใช้ soft power ชกข้ามรุ่นบนเวทีสากลได้ในยุคโลกาภิวัตน์ ไนย์ยกตัวอย่างประเทศไทยกับ “อาหารไทย” ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ถ้ารัฐมีเป้าหมายและนโยบายชัดเจนที่จะส่งเสริมให้อาหารไทยเป็นสื่อสัมพันธ์กับนานาประเทศ
ตอนที่หนังสือ Soft Power ตีพิมพ์ใน ค.ศ. ๒๐๐๔ เกาหลีใต้ยังไม่เป็นตัวอย่าง soft power ที่เด่นชัดนักในสายตาของไนย์ แต่เขามองเห็นศักยภาพของทั้งเกาหลีใต้และไทยในฐานะประเทศที่มีพัฒนาการทางประชาธิปไตยและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไนย์คงนึกไม่ถึงว่าอีกไม่กี่ปีต่อมา ประเทศไทยจะเตะตัดขาตัวเองจากการรัฐประหาร ทำให้สูญเสียความเชื่อถือจากประเทศประชาธิปไตยในโลกตะวันตก และต้องเดินนโยบายเอนเอียงมาทางจีนซึ่งกำลังขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแข่งกับสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ขณะเกาหลีใต้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ soft power ด้านเอนเตอร์เทนเมนต์คอนเทนต์ที่มี “ติ่ง” ทั่วโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลเข้าประเทศ
ในเวทีสัมมนาออนไลน์เรื่อง Soft Power ของเกาหลีใต้ เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. ๒๐๒๑ (ปี ๒๕๖๔) จัดโดยศูนย์ศึกษากลยุทธ์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โจเซฟ ไนย์ กล่าวชื่นชมความสำเร็จอันโดดเด่นของเกาหลีใต้ว่า
“soft power ของเกาหลีใต้ คือตัวอย่างความสำเร็จจากการหลอมรวมการพัฒนาเศรษฐกิจกับวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย เกาหลีใต้อาจสร้าง soft power ได้อีกด้วยการเพิ่มบทบาทในนโยบายต่างประเทศ เช่นให้ความช่วยเหลือประเทศอื่น แสดงให้โลกเห็นว่าการประสบความสำเร็จมีความหมายอย่างไร”
Just say Lalisa love me Lalisa love me, Call me Lalisa love me Lalisa love me… Just say Thailand love me Thailand love me, Call me Thailand love me Thailand love me…
Soft Power & Nation Branding
“การสร้าง ‘แบรนด์ชาติ’ ช่วยดึงดูดการลงทุนในประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยว และคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน รวมทั้งเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่ง soft power เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์ชาติ”
ขณะประเทศต่าง ๆ มอง soft power เป็นเครื่องมือในนโยบายการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ลืมความสำคัญของการสร้าง “แบรนด์ชาติ” ที่จะสร้างความยั่งยืนระยะยาว
เกาหลีใต้ตั้งหน่วยงาน The South Korean Presidential Council on Nation Branding (PCNB) ตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๙ มีสมาชิกจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทำหน้าที่บริหารการสร้างแบรนด์เกาหลีใต้ตามวิสัยทัศน์ “A Reliable and Dignified Korea” รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนา soft power ของประเทศ ทำให้เกาหลีใต้ติดอันดับ ๑๐ ของการจัดอันดับ Nation Brands ประจำ ค.ศ. ๒๐๒๑
ออสเตรเลียมีหน่วยงาน National Brand Advisory Council มีสมาชิกจากภาคธุรกิจกว่า ๑๒ อุตสาหกรรมทำงานร่วมกับกระทรวงการค้า ท่องเที่ยว และการลงทุน ส่วนสวิตเซอร์แลนด์มีหน่วยงาน Presence Switzerland ทำงานส่งเสริมภาพลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์โดยใช้ soft power ประเทศเล็ก ๆ นี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “แบรนด์ชาติ” ที่แข็งแกร่งที่สุดใน ค.ศ. ๒๐๒๑
ข้อมูลประกอบการเขียน หนังสือ Soft Power : The Means to Success in World Politics เขียนโดย Joseph S. Nye, Jr. พีดีเอฟ Global Soft Power Index 2022 และ Global Soft Power Index 2020 จัดทำโดย Brand Finance Plc https://www.bloombergquint.com/pursuits/k-pop-to-squid-game-lift-korean-soft-power-and-the-economy https://www.csis.org/events/beyond-security-south-koreas-soft-power-and-future-us-rok-alliance-post-pandemic-world https://worldhappiness.report/ed/2022/happiness-benevolence-and-trust-during-covid-19-and-beyond/#ranking-of-happiness-2019-2021 https://www.statista.com/statistics/789337/south-korea-suicide-death-rate/