บทบาทและที่ทาง
ของพุทธศาสนาในสังคมไทย
ในทัศนะ “ส. ศิวรักษ์”
Interview
สัมภาษณ์ : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
ไม่ว่าในชื่อ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ “ส. ศิวรักษ์” หรือ “สศษ.” ล้วนเป็นนามที่คนร่วมสมัยรู้จักกันดี แต่หากต้องบอกกล่าวแก่คนรุ่นหลังก็อาจแนะนำอย่างกระชับรวบรัดได้ว่า เป็นนักวิพากษ์วิจารณ์สังคม เป็นคนในภาคประชาชนที่มักมีส่วนร่วมแสดงจุดยืน ให้ข้อเสนอแนะในแทบทุกกรณีทุกข์ร้อนของชาวบ้านคนเล็กคนน้อยที่เกิดความขัดแย้งกับอำนาจรัฐและทุน โดยไม่เคยใฝ่ในการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองหรือตำแหน่งทางการใด ๆ สิ่งที่ทำมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนคือการแสดงทัศนะ เตือนสติ ให้ความเห็นในทางสังคม การเมือง การศึกษา ศาสนา ฯลฯ แบบชัดเจน ชนตรง ไม่กังวลกับการถูกตอบโต้หรือซ้อนวิจารณ์ มีหลายครั้งที่ถูกด่ากลับด้วยคำรุนแรง “ส. ศิวรักษ์” ในวัยใกล้ ๙๐ บอกว่าวิจารณ์ได้ ไม่ต้องกลัวถูกจับ ถูกคุกคาม และอย่าลืมช่วยวิจารณ์ความอยุติธรรมและความฉ้อฉลของผู้กุมอำนาจในบ้านเมืองด้วย
บทสัมภาษณ์นี้เป็นการให้ทัศนะต่อประเด็นสงฆ์และวงการพุทธศาสนาในองคาพยพต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมาตามสไตล์นักคิดอาวุโสที่ได้รับสมญาว่า “ปัญญาชนสยาม”
รูปแบบองค์กรปกครองสงฆ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
ส่งผลอย่างไรต่อพุทธศาสนาไทย
คุณต้องเข้าใจว่าศาสนาพุทธที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นปกครองนั้น เชื่อกันว่าเราได้อิทธิพลมาตั้งแต่พระเจ้าอโศกมหาราชเดิมท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดุร้ายมาก พอเกิดสังเวชพระหฤทัย หันมาถือศาสนาพุทธแล้วเปลี่ยนแปลงพระองค์มาก ท่านทำสังคายนาครั้งที่ ๓ หลังพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๒๑๘ ปี จากนั้นท่านส่งธรรมทูตไปมากมาย มีพระเถระพระอรหันต์สองรูป พระโสณเถระและพระอุตตรเถระมาที่สุวรรณภูมิ
ศาสนาพุทธมาถึงเมืองไทยเราได้อิทธิพลจากพระเจ้าอโศกฯ ท่านให้รัฐประศาสโนบายว่าการปกครองบ้านเมืองนั้นให้ดูรถเป็นตัวอย่าง รถถ้าไม่มีสองล้อเป็นรถไม่ได้ ฉันใดก็ดี รัฐก็ดุจเดียวกับรถที่มีสองล้อ อาณาจักรเป็นล้อแห่งอำนาจ ซึ่งมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นใหญ่ ธรรมจักรหรือศาสนจักรเป็นล้อของคณะสงฆ์ที่คอยช่วยพระเจ้าแผ่นดิน คอยเตือนสติ
พระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจก็ทำอะไรรวดเร็วเลวร้ายได้มาก แต่คณะสงฆ์นี้คอยช่วยท่าน
ในเมืองไทยโบราณมีประเพณีพระเจ้าแผ่นดินจะต้องใส่บาตรทุกเช้า การใส่บาตรฝึกการให้ทาน ให้เห็นว่าการให้ดีกว่าการรับ เพราะพระเจ้าแผ่นดินมักจะรับอยู่เรื่อย พระเจ้าแผ่นดินต้องฟังเทศน์ พระจะเตือนสติของพระเจ้าแผ่นดิน เหตุที่ตั้งพระเป็นราชาคณะ เพราะพระเหล่านั้นจะได้เตือนสติพระเจ้าแผ่นดิน
ประเพณีเหล่านี้เพิ่งเลิกเมื่อรัชกาลที่ ๕ ท่านออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ก่อนสวรรคตราว ๙ ปี ในกฎหมายนี่แหละที่ตั้งมหาเถรสมาคมขึ้น ประชุมกันตามระเบียบวาระตกลงกันอย่างไรให้ถวายเพื่อทรงใช้พระบรมราชวินิจฉัย หมายความว่ารัชกาลที่ ๕ ท่านใช้อำนาจเอง เป็นครั้งแรกที่ศาสนจักรอยู่ใต้อาณาจักร ซึ่งสำหรับผมเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย เพราะอะไรก็ตามถ้ามีอิสระมากเท่าไรจะมีคุณค่ามากเท่านั้น
เมื่ออาณาจักรเข้ามาควบคุมศาสนาแล้ว เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ตำแหน่งราชาคณะต่าง ๆ พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องตั้ง ที่ร้ายแรงกว่านั้นคืออุปัชฌาย์
ในพระวินัยบอกว่าพระเมื่อบวชได้ ๑๐ ปีแล้วมีคุณสมบัติจะเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ แต่พระราชบัญญัติฉบับนี้บอกว่าพระอุปัชฌาย์จะต้องได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินหรือจากพระสังฆราช ทำให้มีปัญหามาก เช่นครูบาศรีวิชัยในสมัยรัชกาลที่ ๖ ท่านไม่ยอมรับกฎหมายนี้ ท่านถูกจับสองสามครั้ง ความเลวร้ายของมหาเถรสมาคมเริ่มมาตั้งแต่ ร.ศ. ๑๒๑
แต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเริ่มมีการท้าทายอำนาจโดยเฉพาะพระสงฆ์รุ่นใหม่ ยุวสงฆ์ตั้งตัวกันเรียกว่าคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนา เรียกร้องให้แก้ไขพระราชบัญญัติฉบับนี้ การเรียกร้องของคณะยุวสงฆ์คงได้ผล เพราะอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นการกระจายอำนาจของคณะสงฆ์ครั้งแรก เอาแบบประชาธิปไตยเลย ให้มีอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ อันนี้พระพอใจมากขึ้น เพราะพระราชบัญญัติฯ ร.ศ. ๑๒๑ นั้นชัดเจนเลย คณะธรรมยุตมีอำนาจเหนือมหานิกาย
จนถึงสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจเสร็จ ทำลายประชาธิปไตยของบ้านเมือง แล้วทำลายประชาธิปไตยของสงฆ์ด้วย ออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เพื่อตั้งมหาเถรสมาคมที่เป็นอยู่ในตอนนี้
"เมืองไทยเขียนกฎหมายว่าพระไม่มีบทบาททางการเมือง มนุษย์เราไม่มีบทบาททางการเมืองได้อย่างไร ทุกคนก็มีบทบาททางการเมืองทั้งนั้น"
ที่เกิดกรณีจับสึกพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ)
ก็ในช่วงนั้นใช่ไหม
กรณีนี้ชัดเจนเลย เพราะกรณีพระพิมลธรรมเป็นเหตุให้สฤษดิ์ยกเลิกกฎหมาย ๒๔๘๔ เพราะกฎหมายนั้นให้อำนาจพระ แต่ขณะเดียวกันชาวบ้านไม่ศรัทธา พระผู้น้อยกล้าท้าพระผู้ใหญ่ที่ทำผิด แบบในสภาผู้แทนราษฎรเลย จอมพลสฤษดิ์เห็นไม่ถูกต้อง พระผู้น้อยมาท้าพระผู้ใหญ่ไม่ได้
กรณีพระพิมลธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ตำแหน่งพิมลธรรมเลิกไปเลย ทั้งที่ตำแหน่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านไม่ยอมรับ จับท่านขัง ๕ ปี เสร็จแล้วก็ขึ้นศาลทหาร ไม่มีทนายท่านก็สู้ศาลทหารชนะครับ คณะสงฆ์ยอมรับความบริสุทธิ์ของท่าน ออกมาเป็นพระตามเดิม แม้ขณะนั้นคณะสงฆ์ไม่ยอมอนุมัติให้ท่านเป็นเจ้าอาวาส ไม่ยอมให้มีสมณศักดิ์ คณะสงฆ์ก็สู้กันจนท่านได้สมณศักดิ์คืน ได้เป็นเจ้าอาวาส ได้เป็นนายกสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จนในที่สุดได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ และเคยรักษาการแทนสังฆราชด้วย
จริง ๆ ท่านไม่ได้มีด่างพร้อย ?
อันนี้ผมไม่สามารถประกันได้ ความดีความชั่วของพระเราจะตัดสินใจง่าย ๆ ไม่ได้ แต่ในทางบริหารการปกครองคณะสงฆ์นี้ ท่านมีความสามารถมาก ท่านเก่งกล้ากว่าใครทั้งหมดในเวลานั้น มีแนวคิดที่ก้าวไกลมาก
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการศึกษา ทำให้พระเก่งปริยัติ แต่ว่าขาดเรื่องปฏิบัติ พระรู้ทฤษฎีอย่างเดียว แต่ไม่ปฏิบัติ ก็เป็นโทษ พระปฏิบัติก็มีแต่สายพระป่า เจ้าคุณพิมลธรรมจัดส่งพระไปเรียนวิปัสสนาที่พม่า เราก็ดูถูกท่านว่าเราจะต้องดีกว่าด้วยความชาตินิยมของเรา ท่านมีชื่อเสียงมาก คนพม่านับถือท่านมาก ก็ไปลงโทษหาว่าท่านมีเมียที่พม่า ท่านเดินทางไปเยอรมนี ไปดูเหมืองถ่านหิน เขาก็ให้สวมหมวก สวมเสื้อผ้ากันไม่ให้เป็นอันตราย ก็หาว่าถอดจีวร เป็นเรื่องเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หาเหตุลงโทษท่าน
แล้วที่ว่าท่านเอียงซ้ายเป็นคอมมิวนิสต์นั้นจริงไหม
ซ้ายอะไรคุณ ท่านร่วมกับโครงการ MRA (Moral Re-Armament : MRA) ที่คนอเมริกันตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์เลย ศูนย์กลางตั้งอยู่สวิตเซอร์แลนด์ และเมื่อมาถึงเมืองไทยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็โปรดปราน MRA มาก เพราะเห็นว่าเป็นขบวนการต่อต้านคอมมิวนิสต์
MRA นำศาสนาต่าง ๆ มาร่วมมือกัน ท่านพิมลธรรมก็ไปร่วมมือด้วย ท่านจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร
แต่การกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นี่แปลกประหลาด คุณต้องเข้าใจเมื่อปี ๒๔๗๖ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เวลานั้นกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนเวลานี้ที่กล่าวหามาตรา ๑๑๒ นั่นแหละครับ เวลานี้ใคร ๆ ก็โดน ๑๑๒ กันทั้งนั้น
ทำไมเถรวาทในเมืองไทยถึงต้องแบ่งออกเป็น
ธรรมยุตกับมหานิกาย
ศาสนาพุทธดั้งเดิมที่อินเดียย้ายไปทางเหนือก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระวินัยและปรัชญาบ้าง เรียกว่ามหายาน มุ่งโพธิสัตว์พระบารมี ไม่ยอมเข้าพระนิพพาน กลับมาเกิดใหม่เพื่อจะช่วยคนทั้งหมดให้เข้าถึงพระนิพพาน แต่ของเราอยู่ฝ่ายใต้ที่ลงไปทางลังกา พระสงฆ์สยามเรารับมาจากลังกาทวีป จริง ๆ เรียกเถรวาทไม่ถูกต้อง ต้องเป็นลัทธินิกายลังกาวงศ์ เชื่อว่าบวชดีกว่าเป็นฆราวาส บวชแล้วได้ไปพระนิพพานในชาตินี้ดีที่สุด
เราก็รับลัทธิลังกาวงศ์มาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนหน้านั้นเรารับมหายาน ดูสถูปที่ไชยาเห็นชัดเลย พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเป็นสัญลักษณ์ของมหายาน ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า ครั้นเรามาเป็นนิกายฝ่ายลังกาวงศ์แล้ว เราก็เน้นที่ภาษาบาลี เดิมใช้สันสกฤตด้วย
ทีนี้เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ พระหลายต่อหลายท่านเริ่มสงสัยว่าพระไทยของเราอาจจะไม่บริสุทธิ์ เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชตอนยังไม่ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ท่านศึกษาโน่นนี่นั่น เผอิญพบพระมอญแม่นยำพระวินัยมากกว่าพระไทย ท่านเลยไปศึกษา บวชใหม่เป็นแบบพระมอญศึกษาไปมาท่านก็บอกว่าพระมอญก็ไม่เก่งจริง ท่านก็เลยตั้งคณะของท่านเรียกว่าธรรมยุต ถือเอาธรรมะเป็นยุติ
ตอนนั้นท่านผนวชอยู่วัดราชาธิวาสวิหาร แต่เดิมชื่อวัดสมอราย เป็นวัดป่านอกเมือง รัชกาลที่ ๓ เห็นว่าอยู่ไกลพระเนตรไป ก็เลยสร้างวัดใหม่ให้มาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านก็เริ่มขยายธรรมยุตจากวัดบวรนิเวศวิหาร ขยายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ รัชกาลที่ ๓ เกรงใจพระ ท่านก็ปล่อย แต่ท่านอึดอัดมากที่พระใหม่ห่มผ้าแบบมอญ ก่อนสวรรคตมีพระราชปรารภว่าเสียพระทัยมากเลยว่าภิกษุกรุงศรีอยุธยานั้นได้ห่มคลุมมาตลอด เดี๋ยวนี้กลายเป็นเมืองมอญเมืองพม่า รัชกาลที่ ๔ บอกจะแก้ไขไม่ให้พระห่มแหวก แต่เมื่อท่านเสวยราชย์แล้วก็ปล่อยให้พระห่มแหวก
ธรรมยุตเมื่อเจ้าอุดหนุนขยายตัวสิครับ แต่พวกที่เขาถือว่าเขาไม่ต้องการเอาดิบเอาดีก็ถือตามแบบเก่า มหานิกายเกิดจากเหตุนี้ และธรรมยุตตั้งแต่ตั้งมามีอำนาจในการปกครองตลอด โดยเฉพาะสมัยราชาธิปไตย
สังฆราชมหานิกายองค์สุดท้ายคือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่านมีชื่อเสียงมาก เป็นองค์สุดท้ายเลยที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระที่ดีมาก จากนั้นพระเจ้านายที่เป็นสังฆราชต่อมาเป็นธรรมยุตทั้งนั้นเลย จนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงมีสังฆราชใหม่จากมหานิกาย
เวลานี้ธรรมยุตมีเพียง ๖ เปอร์เซ็นต์ มหานิกายมีตั้ง ๙๔ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าสมณศักดิ์ได้เท่ากัน สัดส่วนสมณศักดิ์ส่วนใหญ่ก็ตกอยู่กับธรรมยุต คณะธรรมยุตก็ได้เป็นพระสังฆราชอยู่เรื่อย ๆ
ในฝ่ายฆราวาสมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ องค์กรนี้เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์อย่างไร
อันนี้ตั้งขึ้นใหม่ แยกจากกรมการศาสนาเมื่อปี ๒๕๔๕ เดิมทีมีกรมการศาสนาดูแลทุกศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฯลฯ ในเมืองไทยนอกจากพระไทย ก็มีพระญวน พระจีน ฯลฯ ซึ่งได้รับความอุดหนุนจากกรมการศาสนา แต่ต่อมามีชาวพุทธบอกไม่พอใจ ก็จัดตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รับใช้ศาสนาพุทธอย่างเดียว เวลากรรมการมหาเถรสมาคมประชุมกัน อธิบดีหรือเลขาธิการสำนักฯ พุทธฯ ก็ต้องไปเป็นเลขานุการฝ่ายฆราวาสรับใช้มหาเถรสมาคมเท่านั้นเอง
พระสงฆ์กับการเมืองเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ตลอด อาจารย์สุลักษณ์มองเรื่องนี้อย่างไร
อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เมืองไทยเขียนกฎหมายว่าพระไม่มีบทบาททางการเมือง มนุษย์เราไม่มีบทบาททางการเมืองได้อย่างไร ทุกคนก็มีบทบาททางการเมืองทั้งนั้น ทีนี้เมื่อกฎหมายบอกพระไม่มีบทบาททางการเมือง ท่านก็มีบทบาทหลังฉากไงครับ
ผมจะเล่าให้คุณฟัง พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่หาเสียงเก่งมาก เคยนึกว่าอาจารย์ประเวศ วะสี จะเล่นการเมือง เพราะอาจารย์ประเวศร่วมมือกับผมรับใช้พระ อบรมพระให้มีบทบาททางสังคม ท่านก็ให้โต้ง-ลูกชายมาบอกอาจารย์ประเวศว่าพระเป็นหัวคะแนนที่แพงที่สุด จริงครับพระท่านไม่ออกมาข้างนอก แต่ข้างหลังฉากท่านสามารถบันดาลได้เลยว่าใครจะได้รับเลือกตั้ง-ไม่ได้รับเลือกตั้ง
คนที่มีวิชาความรู้หลายต่อหลายคนเขาเห็นโทษทางโลก เพราะทุนนิยม บริโภคนิยมมันให้โทษ เขาเลยหันมาหาพระศาสนา คนไปเรียนเมืองนอกกลับมาบวชกับท่านเงียบ ๆ คนไม่รู้จัก แต่คนที่ดังขึ้นมาหน่อย มหาเถรสมาคมก็หมั่นไส้แล้ว
ประชาชนเชื่อพระมาก ทีนี้ใครมาให้เงินมากท่านก็ช่วยคนนั้น อันตรายอยู่ตรงนี้ เพราะพระไม่รู้เท่าทันทางการเมือง ผิดกับพระพม่า พระลังกา ที่พม่าปัจจุบันพระออกมาต่อต้านรัฐประหารอย่างแรง ท่านไม่กลัวเลย ที่ลังกาพระรวมตัวกันถอดประธานาธิบดีได้เลย อย่างของเราเป็นเผด็จการที่เลวร้าย พระไม่เห็นลงโทษเลย และพระมหาเถระก็ทำตัวเป็นเผด็จการเหมือนกับพวกรัฐประหาร ท่านหลับหูหลับตาเดินตามรัฐประหารหมดเลย
ทีนี้พระผู้น้อยออกมาแสดงความคิดความอ่านก็หาว่าต่อต้านคณะสงฆ์ ทั้งที่การต่อต้านเผด็จการเป็นของดีนะครับ หลายต่อหลายประเทศก็เห็นว่าเป็นของดี แต่ไทยเราหลับตาหมด คณะสงฆ์หลับตาเชื่อรัฐบาลหมด ถ้ามหาเถรสมาคมมีความกล้าหาญ ท้าทายรัฐประหาร เพียงคำสองคำเท่านั้น ผมว่ารัฐบาลทหารพังครับ เพราะอำนาจในทางธรรมสูงกว่าอำนาจในทางกองทัพทั้งหลาย อันนี้ผมยืนยันได้และสามารถเอาประวัติศาสตร์มาพูดได้ อย่างที่ผมบอกว่าในกรณีของลังกา พระรวมตัวกันปลดประธานาธิบดี ที่พม่าพระรวมตัวกันเรียกร้องเอกราช
พอมีพระไทยออกมา โดนข้อหาทำตัวไม่เหมาะสม ไม่สำรวม
พระมหาสมปองออกมาทางโทรทัศน์ ท่านพูดตลกโปกฮาคนก็ตกใจ การพูดตลกโปกฮามีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ผมเคยบวชเณรเมื่อสมัยสงครามโลก สมัยนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ ถ้าไปฟังเทศน์มหาชาติในวันออกพรรษา ท่านถกเถียงกันแหลกเลย ท่านแหย่กัน มีสัปดี้สีปดน คนก็สนุก ชอบใจ เพราะศาสนาสอนให้ซีเรียสอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้
ยุคต่อมาพระท่านก็เทศน์ทางวิทยุ ต่อมาพระมหาสมปอง พระมหาไพรวัลย์ท่านก็ออกอากาศทางสื่อสมัยใหม่ ทุกคนก็ชอบใจฟังกัน ท่านแสดงออกทัศนคติของท่าน
วิพากษ์วิจารณ์เป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่มหาเถรสมาคมต้องการให้พระอยู่ในระเบียบ จะเต้นแร้งเต้นกาต้องหลังฉาก ออกมาหน้าฉากไม่ได้ นี่ผมว่าเมืองไทยโดยเฉพาะมหาเถรสมาคม พูดอย่างฝรั่งว่าเป็น hypocritical
พระผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนศีลาจารวัตรไม่ได้ เจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวงบางแห่งปล้ำพระปล้ำเณรในวัดเลย ไม่ต้องพูดถึงธรรมกาย นั่นโกงแล้ว สอนให้คนทำบุญไปตามทุนนิยม บริโภคนิยม เรื่องนี้สมเด็จพระญาณสังวรเคยมีพระลิขิตว่าหัวหน้าวัดธรรมกายนี้เป็นปาราชิก เพราะคนเขาถวายที่ดิน ควรจะเป็นของสงฆ์ แต่ไอ้เสือนั่นรับในนามส่วนตัวเลย มีพระลิขิตชัดเจนว่าปาราชิกจากความเป็นพระแล้ว แต่มหาเถรสมาคมกลับไม่เห็นด้วย เพราะธรรมกายอุดหนุนเอาเงินถวาย สมเด็จฯ ท่านก็เลยไม่เข้าประชุมกับมหาเถรฯ เลย ตอนหลัง เห็นไหมครับว่าเลวร้ายขนาดนี้
ถ้านิมนต์สมเด็จบางรูปไปฉันทีหนึ่งเรียกกันแสนสองแสนเลยนะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่จับพระวัดสระเกศ ปรากฏว่าในกุฏิมีสมุดฝากเงินไม่รู้กี่ร้อยล้าน ไม่เห็นมหาเถรสมาคมทำอะไร แต่ตอนพระมหาสมปอง พระมหาไพรวัลย์พูดแสดงความเห็น ก็ออกมาเต้นเชียว ผมว่านี่อะไรกัน ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอกหรือ
สมณศักดิ์ในเมืองไทยก็อุดหนุนให้เข้าไปหาขัตติยาธิปไตย เราต้องหันมาหาประชาธิปไตยที่เนื้อหา เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน ลูกโสเภณีก็เข้ามาสู่สงฆ์ได้เท่ากันหมด ไม่ว่าภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณีสงฆ์ และมีความรักใคร่กันเป็นพื้นฐาน มีพระอุปัชฌาย์เป็นพ่อ กรรมวาจาจารย์เป็นแม่ คนมาบวชเพื่อให้ได้เสรีภาพจากความโลภ โกรธ หลง
เป็นสถาบันที่มีอิทธิพลและความสำคัญ แต่ทำไมจำนวนพระสงฆ์เหมือนมีแต่ลดลง
ลดตลอดเลยครับ เพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรเพื่อที่จะอุดหนุนจุนเจือให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นคุณงามความดีในการบวช อันนี้อันตรายมาก ในขณะเดียวกันฝรั่งมังค่าอยากบวชกันมาก ยกตัวอย่างวัดของท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท ที่อุบลราชธานี พระฝรั่งมาบวชกับท่าน จนเดี๋ยวนี้สายพระอาจารย์ชาเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลกแล้ว
คนที่มีวิชาความรู้หลายต่อหลายคนเขาเห็นโทษทางโลกเพราะทุนนิยม บริโภคนิยมมันให้โทษ เขาเลยหันมาหาพระศาสนา คนไปเรียนเมืองนอกกลับมาบวชกับท่านเงียบ ๆ คนไม่รู้จัก แต่คนที่ดังขึ้นมาหน่อย มหาเถรสมาคมก็หมั่นไส้แล้ว
หลายวัดมีรูปพระพิฆเนศ รูปหลวงตาโน่นหลวงตานี่ หลายวัดทำรูปบูชาชูชก ชูชกนี่เป็นตัวร้าย ตอแหลขอลูกพระเวสสันดร หลายวัดบอกชูชกเก่งขอแล้วได้นู่นได้นี่ เป็นเรื่องของการมอมเมาทั้งนั้น พุทธพาณิชย์ในเมืองไทยนี้มากมาย ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนเลยให้เข้าใจศาสนาพุทธ อย่าไปสนใจไสยศาสตร์ อย่าไปสนใจสิ่งปลอมต่าง ๆ
บทบาทหรือที่ทางของพุทธศาสนาต่อสังคม ควรจะเป็นอย่างไร
พุทธศาสนามีคำสอนให้คนพิจารณา ที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งหมดไม่ต้องเชื่อ ท่านบอกให้มาฝึกศึกษาและปฏิบัติ เห็นดีด้วยตา อย่างเรารับศีลเป็นพิธีกรรมเท่านั้น แต่คุณอ่านดูสิ
ศีล ๕ ข้อแรก ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ การทำให้สัตว์อื่น มนุษย์อื่นสูญเสียชีวิต ทำลายล้างเขามันไม่ดี เพราะเหตุว่าเขาเดือดร้อน และเราก็ไม่ดี เพราะเพิ่มโทสจริต เพิ่มความโกรธความเกลียดมากขึ้น
ศาสนาพุทธเสนอว่ามนุษย์ทุกคนควรจะมีความเป็นปรกติ ต้องไม่มีอะไรผิดปรกติ ศีลเป็นวิธีปฏิบัติให้เกิดความยุติธรรมกับตัวเอง ความยุติธรรมในสังคม ความยุติธรรมต่อธรรมชาติด้วย
คนแต่ก่อนนี้จะหยุดงานวันโกนวันพระ ไปวัดเพื่อปฏิบัติตนเอาอย่างพระ เพื่อจะได้ลดความเห็นแก่ตัวและจะเพิ่มการ
ให้ทานอันเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ทานเป็นพื้นฐานของการให้นอกจากรักษาศีล ศีลคือฝึกตนให้มีความเป็นปรกติ ถ้าฝึกได้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น
แต่ก่อนคนจะเข้าวัดต้องถอดเกือกหมดเลยนะ เป็นการแสดงการอ่อนน้อมถ่อมตัว ถ้าเข้าไปในวัดเราก็นั่งกับพื้น ให้พระท่านนั่งอาสน์สงฆ์ นั่งสูงกว่าเรา เพราะเชื่อว่าท่านมีคุณงามความดีมากกว่าเรา ศาสนาพุทธถือว่าการอ่อนน้อมถ่อมตัวเป็นข้อแรกของคุณงามความดี
และจะทำได้ชัดเจนต้องมีสมาธิ กล่าวคือ ให้รู้จักตัวเองว่าเราแต่ละคนมีลมหายใจสำคัญที่สุด ถ้าเราได้ฝึกลมหายใจ เราจะรู้เลยว่าลมหายใจสั้นจะเป็นอันตราย หายใจยาวจะดีกว่า ฝึกจากอันนี้จะรู้เลยว่าจะลดความเห็นแก่ตัวได้อย่างไร เราจะเปลี่ยนความเกลียดเป็นความรักได้อย่างไร เปลี่ยนความงกเป็นการให้ได้อย่างไร ถึงที่สุดเราเปลี่ยนความโง่เขลาให้เป็นปัญญา เห็นชอบเป็นองค์รวมได้อย่างไร
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ไม่ต้องไปวัดก็ได้ ไม่ต้องทำพิธีรีตองอะไรก็ได้ ฝึกตัวเองก็ได้ แต่ถ้าไปวัดไปวาพระท่านฉลาด ท่านก็แนะนำเรา เพราะท่านปฏิบัติดีกว่าเรา
แต่ว่าหลายต่อหลายวัดตอนนี้ก็เลอะเทอะหมดแล้ว วัดเดิมเรียกว่าอาราม เต็มไปด้วยต้นไม้ พระสมัยนี้ก็ตัดต้นไม้หมดแล้ว
สิ่งสำคัญเวลานี้กลายเป็นเมรุเผาผี เพราะได้เงินมาก คืนหนึ่งพระสวดได้กี่พัน หัวใจของพระคือท่านไม่รับเงินรับทองเพราะฉะนั้นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็ให้เข้าใจสาระของศาสนาพุทธ ถ้าไม่เข้าใจสาระก็ถูกมอมเมา
หลายวัดมีรูปพระพิฆเนศ รูปหลวงตาโน่นหลวงตานี่ หลายวัดทำรูปบูชาชูชก ชูชกนี่เป็นตัวร้าย ตอแหลขอลูกพระเวสสันดร หลายวัดบอกชูชกเก่งขอแล้วได้นู่นได้นี่ เป็นเรื่องของการมอมเมาทั้งนั้น พุทธพาณิชย์ในเมืองไทยนี้มากมาย ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนเลยให้เข้าใจศาสนาพุทธ อย่าไปสนใจไสยศาสตร์ อย่าไปสนใจสิ่งปลอมต่าง ๆ
ถ้าเราเข้าใจจุดนี้จะยกศาสนาพุทธมาใช้ได้เหมาะสม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เขียนเรื่องพุทธธรรม หนังสือเล่มนี้ดีที่สุด ท่านถามว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตเป็นอย่างไร จะเดินไปทางไหน จะเอาชนะความทุกข์ได้อย่างไร
กลับมาหาศาสนาพุทธที่เนื้อหาสาระ ที่แก่น อย่าไปหลงพิธีกรรม อย่าไปหลงพุทธพาณิชย์ อย่าไปหลงสมณศักดิ์ ซึ่งเป็นไปในทางขัตติยาธิปไตย ที่คนโบราณเขาบอกยศช้างขุนนางพระ อย่าไปหลงกับสิ่งเหล่านั้น