ANSi by Sarakadee
Home
Articles
Issues
Log in
จากไทยรักไทยถึงวาระรัฐประหาร
และจุดเปลี่ยนการเมืองไทย
จาตุรนต์ ฉายแสง
Political Party
เรื่อง : อิสรากรณ์ ผู้กฤตยาคามี
ภาพ : วิศรุต วีระโสภณ
“จากประวัติศาสตร์หลายสิบปีมานี้
ทำให้เห็นว่าไม่มีทั้งทฤษฎีและข้อเท็จจริงที่จะ
พูดได้ว่า ประเทศไทยจะไม่มีการรัฐประหารอีก
เมื่อมีเงื่อนไขก็ยังมีโอกาสเกิดได้อีก”
“ทุกอย่างทำงาน เพียงแต่ว่าการรัฐประหาร ๒๕๔๙ ไม่ประสบความสำเร็จ
ถึงที่สุด เนื่องจากถ้ามีการเลือกตั้งเมื่อไร ฝ่ายประชาธิปไตย ประชาชนก็จะเลือกพรรคที่เขาต้องการจึงไม่เป็นไปตามความประสงค์ของคณะที่ยึดอำนาจและทำการรัฐประหาร”
สุดท้ายการรัฐประหารนั้นถูกเรียกโดยสื่อและนักวิชาการว่า “เสียของ” เพราะไม่สามารถขจัดอำนาจทางการเมือง
ของพรรคไทยรักไทย หลังการเลือกตั้งปลายปี ๒๕๕๐ พรรคพลังประชาชน
ที่สืบต่อจากพรรคไทยรักไทยกลับมา
จัดตั้งรัฐบาลได้อีก หรือแม้ต่อมาจะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนด้วยข้อหาการทุจริตในการเลือกตั้ง และหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้เป็นรัฐบาลไม่ครบเทอมประกาศ
ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทย
ที่นำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลอีก โดยในปี ๒๕๕๕ หลังครบเวลาการเพิกถอนสิทธิ์ จาตุรนต์กลับมามีบทบาททางการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
รัฐประหาร ๒๕๕๗
“ก่อนหน้าจะเกิดการรัฐประหาร ผมอยู่ในจุดที่พยายามยืนยันว่าต้องทำเรื่องต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ โดยหวังว่าจะช่วยรักษาความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมืองไว้ ลดความเสี่ยงและโอกาสในการเกิดรัฐประหาร เมื่อจะมีการเลือกตั้ง ผมคาดว่าพรรคการเมืองบางส่วนจะ
ไม่ลงสมัครอีกครั้ง และจะมีบอยคอตเพื่อขัดขวางการเลือกตั้ง และสุดท้ายการเลือกตั้งจะถูกตัดสินให้เป็นโมฆะ
“ขณะเดียวกันก็มีการชุมนุมจากฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและประชาธิปไตย
ผมก็ไปร่วมชุมนุมเพื่อพูดเตือนว่าไม่ควรมีการรัฐประหาร ไม่ควรใช้ความรุนแรงกับประชาชน ต่อมาพอมีการประกาศกฎอัยการศึก ผมก็ทักท้วงว่าการประกาศ
กฎอัยการศึกน่าจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย มีการหารือกันในการประชุม ครม. ชุดเล็กว่าน่าจะตรวจสอบว่าผิดกฎหมายหรือไม่ แต่อีก ๒ วัน ผบ.ทบ. ก็เชิญไปประชุม ผมได้รับเชิญจากทาง ครม. และพรรค ผมปฏิเสธและเสนอว่าไม่ควรไปรัฐมนตรีก็ไม่ควรไปเช่นกัน หลังการประชุม คสช. ก็ยึดอำนาจ (๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗) ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทางการเมืองโดนหมายเรียกและให้ไปรายงานตัว
“ผมตัดสินใจไม่ไปรายงานตัว ต้อง
หาที่หลบ ก็มีประกาศออกมาว่า ถ้าใครไม่มาจะมีคดี ทำให้อยู่ในจุดที่มีทางเลือก
ไม่กี่ทาง ทางแรกหลบซ่อนต่อไป ซึ่ง
ผมก็เคยสู้แบบใต้ดินในอดีตสมัยเป็นนักศึกษา (เหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ) แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์ ทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ทางเลือกที่ ๒ ไปต่างประเทศ ก็คิดว่าไปแล้วจะทำอะไรได้ หากอยู่ในประเทศยังต่อสู้ได้มากกว่า แต่คำถามคือจะทำยังไงกับการรายงานตัว มีแค่สองทางเลือก คือ ไปรายงานตัว หรือไม่ก็ให้เขามาจับ แต่ให้จับอย่างไรมันก็มีทางเลือก เช่น ไปยืนที่อนุสาวรีย์ประชา
ธิปไตยแล้วบอกว่ามาจับสิก็ได้
“ผมตัดสินใจไปที่สโมสรผู้สื่อข่าว
ต่างประเทศ ติดต่อขอแถลงข่าว แล้วรอให้เขามาจับ ซึ่งเขาก็มาจับจริง ๆ การที่ผมไม่ไปรายงานตัวทำให้เห็นว่าอย่างน้อยไม่ใช่ทุกคนที่ยอม โดยเฉพาะผมที่เป็นรัฐมนตรีและมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับ และไม่ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร”
ถอดบทเรียน
การ “เสียของ”
จาตุรนต์มองว่าเพื่อไม่ให้การรัฐ-ประหาร ๒๕๕๗ ครั้งนี้ต้อง “เสียของ” อีก คณะรัฐประหารจึงน่าจะถอดบทเรียน
จากการรัฐประหารปี ๒๕๔๙ มาเรียบร้อย
แล้ว
“มีการวางระบบกลไกต่าง ๆ ทางการเมืองที่เข้มข้นและหนักขึ้น กำหนดล่วงหน้าว่าใครจะเป็นรัฐบาลและจะบริหารประเทศ-ทิศทาง-นโยบายอย่างไร มี ส.ว.
๒๕๐ คน ที่มาจากการแต่งตั้ง มียุทธ-ศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
โดยคณะบุคคลเหล่านี้เชื่อมโยงกันทั้งทางตรงและทางอ้อม การคิดแข่งขันทางนโยบายของพรรคการเมืองจึงลดความหมายลงไปมากเพราะถูกกำหนดให้ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ต้องนำเสนอว่าใช้งบประมาณเท่าไร ทำให้พรรคการเมืองก็ไม่กล้าเสนอ แล้วที่สำคัญการเลือกตั้งก็มีความหมายน้อยมาก หรืออาจเรียกว่าเป็นการเลือกตั้ง
ที่ไม่มีความหมาย
“หากมีคะแนนเต็ม ๑๐ การรัฐ-ประหารปี ๒๕๔๙ ได้คะแนนแค่ ๖ ส่วนรัฐประหารปี ๒๕๕๗ ได้ ๑๐ เต็ม เพราะ
มีการวางกลไกจัดการขับเคลื่อนในระยะยาว ทำให้เกิดระบบการปกครองที่เป็นเผด็จการแบบแยบยล ใช้รูปแบบประชา
ธิปไตยมาตกแต่ง เป็นระบบที่มีภูมิคุ้มกัน
ตัวเองที่เข้มแข็ง สามารถสืบทอดอำนาจและความเป็นเผด็จการต่อไปได้ยาว เพราะฉะนั้นเป็นรัฐประหารที่ไม่เสียของ ได้คะแนนเต็ม
“แต่การสร้างระบอบเผด็จการที่
มั่นคงและเข้มแข็งมาก ๆ มาปกครองบริหารประเทศ เป็นผลเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง และจะเป็นหายนะที่ต่อเนื่องยาวนาน”
“ต้องทำให้กองทัพ
เป็นกองทัพอาชีพ
ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ เรื่องสำคัญที่ขอยืนยัน
คือกองทัพต้องอยู่
ภายใต้การกำกับของ
รัฐบาลพลเรือนที่มา
จากการเลือกตั้ง”
วาระทหาร
และการรัฐประหาร
แน่นอนว่าการรัฐประหารทั้ง ๑๓ ครั้งล้วนเกิดจากอำนาจของกองทัพ
และหากจะป้องกันการเกิดรัฐประหาร จาตุรนต์จึงเชื่อว่าทางที่ดีที่สุดคือต้อง
นำทหารออกจากการเมืองไทยให้ได้
“ในอดีตทหารผู้นำกองทัพมีอำนาจมาก พอยึดอำนาจจากบุคลาการฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ ก็ใช้ปัญญาชน นักวิชาการ เทคโนแครตมาช่วยงาน แต่พอหลังปี ๒๕๕๗ มีปรากฏการณ์พิเศษที่พัฒนา
ต่อเนื่องมาจากปี ๒๕๔๙ คือมีการ
ร่วมกันอย่างเข้มแข็งระหว่างผู้นำกองทัพกับชนชั้นนำผู้มีอำนาจที่ไม่นิยมหรือ
เชื่อถือการเลือกตั้ง และใช้กลไกของระบอบประชาธิปไตยให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความมั่นคงให้แก่ระบอบเผด็จการ
“วันนี้จะให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยโดยจัดการกับกองทัพอย่างเดียว
ก็ใช่ว่าจะได้ประชาธิปไตย แต่ถามว่าต้องจัดการกับกองทัพไหม ก็ต้องจัดการ เพราะขณะนี้กองทัพทั้งใหญ่โตเทอะทะ และใช้ทรัพยากรมหาศาลโดยไม่เป็นประโยชน์ แล้วก็เข้ามามีบทบาทมากมาย
ไปหมดในเรื่องที่ไม่ควรเป็นหน้าที่ของ
กองทัพ ต้องทำให้กองทัพเป็นกองทัพอาชีพ ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ เรื่องสำคัญที่ขอยืนยันคือกองทัพต้องอยู่
ภายใต้การกำกับของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง”
เขาเสนอว่าวันนี้ดูเหมือนโจทย์การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของกองทัพจะ
อีกยาวไกล แต่สิ่งที่ใกล้ที่สุดและทำได้คือ “การเปลี่ยนรัฐบาล”
“คงต้องเปลี่ยนรัฐบาลและต้องแก้ไข
ระบบกติกาด้วย ทำให้เป็นประชาธิปไตย ทำให้การเลือกตั้งมีความหมายจริง ๆ สภาทำหน้าที่ได้จริง รัฐบาลทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการประชาชนได้จริงและตรวจสอบได้จริง ด้วยระบบที่เที่ยงตรงและยุติธรรม ซึ่งหมายความว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง”
จาตุรนต์ยืนยันว่าหากเกิดรัฐประหารอีกในอนาคต เขาก็จะยังคงคัดค้าน
“ไม่ว่าบ้านเมืองมีปัญหามากขนาด
ไหน การรัฐประหารทุกครั้งจะทำให้บ้านเมืองยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีกเสมอ แต่จะคัดค้านด้วยวิธีไหน คงต้องดูสถานการณ์ว่าทำอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์”
วันสัมภาษณ์ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔