WSA : One of the world's best digital solutions contributing to the UN SDG Goals, Winner of Asia Social Innovation Award,Winners of Karandaaz Fintech Disrupt Challenge 2016 by Gates Foundation etc.
ช่วยเล่าแนวคิดของการนำ AI มาช่วยอาชีพเกษตรกร
ชื่อของ artificial intelligence ก็บอกอยู่แล้วว่า intelligence คือความฉลาด AI จึงเป็นการนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยคิดหรือตัดสินใจแทนคนในการทำงานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างผมเอา AI มาใช้กับอุตสาหกรรมเกษตร คือทำอย่างไรให้เกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้นทุนน้อยลง เป็นต้น
เกษตรกรบ้านเรามีความหลากหลายมาก ถ้าเปรียบเทียบกับนักเรียนในห้องก็จะมีเกษตรกรบางคนที่เป็นทอปชั้น เด็กเกรด A ๔.๐ บางคนก็เป็นเด็กเกรด D F ที่เป็นท้ายห้อง แล้วก็มีอีกครึ่งหนึ่งที่ได้เกรด B C ต่างคนต่างตัดสินใจด้วย ความคิดตัวเอง ซึ่งจะมีเกษตรกรแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ชนะในระบบเศรษฐกิจแบบนี้ คือตัดสินใจถูกต้องว่าจะปลูกอย่างไรให้ได้ผลผลิตที่ดี แต่แทนที่จะพึ่งพาประสบการณ์ของตัวเอง ถ้าเราเปลี่ยนเกษตรกรให้มาใช้เทคโนโลยีที่ฉลาดช่วยการตัดสินใจที่ดีขึ้น การทำเกษตรก็จะมีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คนจะชอบคิดว่า AI เป็นอัลกอริทึม เพราะมันฟังดูหวือหวา น่าสนใจ แต่ยุคนี้มีอัลกอริทึมบนโลกออนไลน์ที่เป็น open source คือมีคนทำไว้เยอะแล้วให้คุณเลือกใช้ได้เลย ความยากจริง ๆ ของ AI คือ data ที่จะใช้เทรน AI โมเดล ผมชอบยกตัวอย่างว่า AI ก็เหมือนเด็ก มีสมองที่ฉลาด แต่เราต้องสอนเขาว่านี่คือแก้วน้ำ นี่คือสีแดง นี่คือสับปะรด ถ้าเราเอาข้อมูลผิดใส่สมองเขา เขาก็จะจำอะไรผิด ๆ
เราแค่เอาสมองหรืออัลกอริทึมที่มีคนทำไว้แล้วมาประยุกต์กับโจทย์ในโลกความเป็นจริง จะเป็นโจทย์การเกษตร การเงิน หรือการขนส่งก็แล้วแต่ จะมีอัลกอริทึมให้เรียบร้อยหมดแล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดค่อนข้างเยอะว่า AI เป็นเครื่องมือพิเศษ ความจริงคือถ้าจะทำ AI ต้องถามก่อนว่ามีข้อมูลสำหรับเทรนโมเดลหรือเปล่า และต้องมีข้อมูลเริ่มต้นที่มีจำนวนและคุณภาพมากพอจะสอนเด็กทารกแบบ AI ให้เข้าใจ
ส่วนสมองคือ deep learning ก็มีโมเดลต่าง ๆ มากมายที่เป็นมาตรฐาน อย่างของ Ricult เราใช้ random forest และ gradient boosting ซึ่งมีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะประยุกต์ใช้กับงานอะไร
มีคำพูดที่ดังมากในต่างประเทศว่า The most valuable resource is no longer oil, but data. บริษัทที่รวยที่สุด เฟซบุ๊ก กูเกิล แอมะซอน เขารวยได้เพราะมีข้อมูลเยอะ ตอนนี้ไม่ว่าผมจะไปบรรยายที่ไหน ผมจะบอกผู้บริหารทุกคนเลยว่าอย่าเพิ่งคิดว่า AI จะมาช่วยยังไง ข้อแรกบอกให้พนักงานเก็บข้อมูลให้ดีก่อนเป็นจุดเริ่มต้น เพราะถ้าคุณมีข้อมูลที่ดีจะไปทำอะไรต่อยอดก็ได้ แต่จุดเริ่มต้นคือต้องมีข้อมูล
สรุปเราเก่งอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการใช้ AI พยากรณ์อากาศช่วยวางแผนการปลูกในแต่ละขั้นตอน แล้วก็มีดาวเทียมเป็นเหมือนเพื่อนช่วยติดตามแปลงเพาะปลูกซึ่งมี AI แจ้งเตือนว่าตรงไหนดีไม่ดี นอกจากนี้เรายังเอา AI มาพยากรณ์เพิ่มเติมว่าแปลงของคุณจะได้ผลผลิตเท่าไรในอีก ๒ เดือนข้างหน้า คุณก็จะได้วางแผนว่าจะเพิ่มผลผลิตอย่างไร หรือรู้ตัวล่วงหน้าว่าจะขาดทุน
AI รู้ได้อย่างไรว่าแปลงไหนพืชเติบโตดีหรือไม่ดี
ถ้าลงลึกคือพืชแต่ละชนิดจะสะท้อนแสงที่ใบแตกต่างกัน เป็นรังสีที่ตาของเรามองไม่เห็น แต่ดาวเทียมมีกล้องจับรังสีพวกนี้ พืชที่ตาย พืชที่โตแล้ว พืชที่ยังเด็กอยู่จะสะท้อนแสงไม่เหมือนกัน เราก็เทรน AI โมเดลของเราให้จับการสะท้อนแสงพวกนี้ มันมีอัลกอริทึมที่เป็น open source ให้เราเอามาใช้อยู่แล้ว แต่เราต้องมาประยุกต์ให้เข้ากับใบพืชที่เมืองไทย อันนี้คือความยากของ AI โมเดล ยกตัวอย่าง AI ในรถที่ขับด้วยตัวเองแบบที่ อีลอน มัสก์ ใช้ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าเอามาขับที่เมืองไทยอาจจะไม่ได้ เพราะเมืองไทยอยู่ดี ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์ขับข้างถนนบ้าง คนไม่เคารพกฎจราจรบ้าง คือเราต้องเทรน AI โมเดลให้เข้ากับบริบทของบ้านเราด้วย
ที่ผ่านมาใช้คนตัดสินใจว่าถ้าโรงงานขายยาสีฟันอยู่ที่ชลบุรี เวลาไปส่งของตามซูเปอร์มาร์เกตหรือร้านโชห่วย ๒๐ ร้านต่อวัน เขาต้องเดินทางยังไงต้นทุนถึงจะถูกที่สุดแล้วก็ประหยัดเวลามากที่สุด หรือในรถหกล้อจะวางกล่องสินค้ายังไงให้ได้เยอะที่สุด ซึ่งบางครั้งจะมีกล่องทรงแปลก ๆ ทำให้มีช่องโบ๋ ๆ ในท้ายรถเยอะ เราก็ถ่ายรูปมาเทรน AI ให้ช่วยวางแผนการวางของเพื่อจะประหยัดเนื้อที่มากที่สุดและอัดเข้าไปให้เร็วที่สุด และก็เทรน AI วางแผนว่าจะขนส่งอย่างไรเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ความยากของการขนส่งคือบางร้านเปิดแค่ตอนเช้า บางร้านเปิดแค่ตอนเย็น บางสถานที่รถติดตอน ๔-๖ โมงเพราะมีโรงเรียนอยู่หน้าร้าน มีตัวแปรเข้ามาเยอะมากที่ต้องใช้ AI ช่วยตัดสินใจ ตอนนี้ก็มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ สี่ถึงห้าบริษัทที่ใช้ AI ของเราช่วยวางแผนแล้ว
ผมมองว่ามีโอกาสเยอะมากสำหรับอุตสาหกรรมไทย ถ้าเราจะเพิ่มขีดการแข่งขันธุรกิจไทยก็ต้องใช้ AI ช่วย บ้านเราถูกจีนแซงไปนานแล้ว และกำลังจะโดนเวียดนามแซง เพราะเราไม่ค่อยมีนวัตกรรมเท่าไร ไม่ค่อยมีใครเอา AI หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง (middle income trap) มานานแล้ว ไม่ไปไหนสักที ถ้าเราอยากเติบโตต้องเอาข้อมูล เอา AI มาประยุกต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดการแข่งขันเพื่อเข้าสู่ยุค new economy
“ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง (middle income trap) มานานแล้ว ไม่ไปไหนสักที ถ้าเราอยากเติบโตต้องเอาข้อมูล เอา AI มาประยุกต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดการแข่งขันเพื่อเข้าสู่ยุค new economy”
ผมคิดว่าต่อไปภาครัฐต้องทำเรื่อง open data เพราะคนที่มีข้อมูลเยอะที่สุดในประเทศไทยคือภาครัฐ กรมหรือกระทรวงต่าง ๆ
open data สำคัญมาก ข้อ ๑ คือเพิ่มความโปร่งใสที่ประชาชนจะรู้ได้ว่ารัฐเอาเงินไปทำอะไร มีโครงการที่โปร่งใสหรือไม่ อย่างมีเพื่อนผมบางคนสนใจเขียน AI ตรวจจับการโกงของภาครัฐ แต่ถ้าไม่เปิด open data ก็ทำไม่ได้ ข้อที่ ๒ บริษัทเอกชนสามารถเอาข้อมูลไปต่อยอดและทำเป็นธุรกิจต่อยอดได้ อย่างเรื่องการเกษตร คนที่มีข้อมูลมากที่สุดในบ้านเราคือกระทรวงเกษตรฯ กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน ที่มีข้อมูลน้ำ ข้อมูลดิน ข้อมูลการเพาะปลูกต่าง ๆ ซึ่งถ้าได้ข้อมูลพวกนี้มาก็จะทำให้การทำ AI โมเดลยิ่งมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ยิ่งแม่นยำกว่าเดิม
ในส่วนของสตาร์ตอัปเมืองไทย อุปสรรคอยู่ตรงไหน
ปัญหาของคนไทยคือชอบคิดแค่ตลาดของเมืองไทย แต่ถ้าเราอยู่ในวงการสตาร์ตอัป นักลงทุนส่วนมากอยากจะให้เรา go global คือขยายไปต่างประเทศ เพราะต้องยอมรับตามตรงว่าตลาดบ้านเราไม่ใหญ่พอที่นักลงทุนใหญ่ ๆ จะมาลงทุนต้องคิดว่าทำอย่างไรบริษัทเราจะเป็นเหมือน Grab, Uber, Shopee ที่ขยายไปต่างประเทศได้ ต้องคิด global ตั้งแต่เร็ววัน ให้ธุรกิจขยายไปต่างประเทศได้
อีกอย่างหนึ่งคือองค์ความรู้ระดับโลกอยู่ในต่างประเทศ เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนตัวผมชอบอ่านบทความจาก World Economic Forum จากมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพราะว่าเขาจะพัฒนาองค์ความรู้ มี AI โมเดลใหม่ ๆ ภาษาจึงสำคัญมากในการรับข้อมูลใหม่ ๆ