แนวคิดของ ANN หรือโครงข่ายประสาทเทียมเริ่มต้นจากความพยายามเลียนแบบสมองมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเซลล์ประสาทและแต่ละเซลล์มีใยประสาทเชื่อมประสานกับเซลล์ประสาทอื่น ๆ
ค.ศ. ๒๐๑๒ จึงเป็นปีประกาศศักดาของ Machine Learning และ Deep Learning ทำให้อัลกอริทึม AI แนวทางอื่น ๆ ตกยุค และนักสร้าง AI ต่างหันมา พัฒนา deep learning อย่างแพร่หลาย
แนวคิดของหลี่ในการสร้างคลังภาพหรือ data set ขนาดมหึมาจึงถือเป็นจุดปฏิวัติวงการ AI จุดหนึ่ง ท่ามกลางนักวิจัยส่วนใหญ่ที่มัวทุ่มเทกับการปรับแก้อัลกอริทึม โดยลืมความสำคัญของ data
และด้วยการมีข้อมูลคุณภาพจำนวนมากมาใช้ training deep learning จึงมีความแม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ
“โอเค มนุษย์ ถ้าคุณเป็น ซาราห์ คอนเนอร์ คุณจะกลับไปขัดขวางนักคอมพิวเตอร์คนไหนดี Jürgen Schmidhuber, Yann LeCun, Geoffrey Hinton หรือผู้หญิงอย่าง Fei Fei Li ? หรือจะย้อนไปถึง Alan Turing”
ก่อนตัดสินใจ ยังมีรายชื่อเพิ่มเติมอีกหนึ่งคน เพราะทุกวันนี้วงการ AI ยกย่องให้ผู้บุกเบิก deep learning มีสามคน คือ Yann LeCun, Geoffrey Hinton และ Yoshua Bengio โดยทั้งสามคนได้รับรางวัล Turing Award ประจำ ค.ศ. ๒๐๑๘ ร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลโนเบลของวงการคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
ยกตัวอย่าง Jürgen ซึ่งมนุษย์ทั่วโลกสัมผัสกับผลงานที่เขาคิดค้นผ่าน AI ในโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา และได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็น Godfather of machine learning แต่ Jürgen ก็ไม่ได้รับรางวัลนี้ และงานวิจัยของเขาก็ไม่ค่อยได้รับการอ้างอิงถึงในวงการ AI ฝั่งสหรัฐอเมริกา
อาจเพราะหลี่เป็นคนผิวสี และเป็นเพศหญิง เธอจึงเห็นความผิดปรกติในวงการคอมพิวเตอร์และนักวิจัยที่พัฒนาอัลกอริทึม AI ว่ามีแต่เพศชายซึ่งชอบฝันเฟื่องถึงหนังไซไฟอย่าง The Terminator หรือ Blade Runner (สร้างจาก นิยายไซไฟเรื่อง Do Androids Dream of Electric Sheep ?) และการหานักวิจัยที่เป็นคนผิวสีและผู้หญิงมาทำงานในห้องวิจัยของหลี่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก็ยากมาก ขณะที่นิสิตปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) ใน ค.ศ. ๒๐๐๐ เป็นผู้หญิง ๒๘ เปอร์เซ็นต์ อีก ๑๕ ปีต่อมาก็ลดลงเหลือ ๑๘ เปอร์เซ็นต์
ตลอดเวลาของการพัฒนา AI วงการนี้ถูกครอบงำด้วยผู้ชายผิวขาว (และยังอาจซ่อนไว้ด้วยการเมืองระหว่างภูมิภาค)
หลี่ชี้จุดที่จะเป็นปัญหาใหญ่ของ AI คือมนุษย์จะป้อนข้อมูลอะไรเข้าไปให้ AI และจะนำสมองกล AI ไปประยุกต์ใช้ทำงานอะไร มากกว่าปัญหาว่าโครงข่ายประสาทเทียมเป็น CNN หรือ RNN หรือ deep learning อื่น ๆ ที่จะมีการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ไมโครซอฟท์ออกแชตบอตตัวใหม่มาแก้ตัว ชื่อ Zo ออกแบบบุคลิกให้เป็นสาววัยรุ่นที่ชอบคุยเล่นไร้สาระ โดยมีอัลกอริทึมเซนเซอร์คำพูดไม่เหมาะสมของมนุษย์ไม่ให้ Zo เห็น และถ้าคุณคุยกับ Zo โดยเอ่ยคำอย่าง “Jew” “Muslim” “Arab” “Hitler” Zo จะไม่คุยต่อด้วย แต่ถ้าคำว่า “Christianity” เธอกลับยอมคุยต่อได้
อคติในตัว Zo ครั้งนี้จึงต่างจาก Tay โดยการสั่งแบนหรือบล็อกคำบางคำตามทัศนคติของมนุษย์ผู้พัฒนา AI ไมโครซอฟท์ปิด Zo ไปใน ค.ศ. ๒๐๑๙ หลังจากทดลองให้เธอพูดคุยกับมนุษย์อยู่ ๓ ปี
ตอนนี้อคติในอัลกอริทึมของ AI อาจซ่อนอยู่ในแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว
หลี่กับลูกศิษย์หญิงชื่อ Olga Russakovsky ได้ก่อตั้งโครงการไม่หวังผลกำไรชื่อ AI4ALL เพื่อทำค่ายพัฒนาเยาวชนหญิง คนผิวสี และผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสเข้าถึงวิทยาการด้าน AI เธอยังมีส่วนร่วมพัฒนา AI ที่ช่วยงานด้านบริการสุขภาพ ปรับปรุงคลังภาพใน ImageNet ให้มีความหลากหลายของภาพมนุษย์มากขึ้น และพยายามผลักดันให้บริษัทใหญ่ ๆ จัดทำแนวปฏิบัติในการพัฒนา AI ที่หลีกเลี่ยงอคติและเป็นอันตรายต่อมนุษย์
ส่วน Buolamwini จัดตั้งองค์กร Algorithmic Justice League เพื่อเคลื่อนไหวและสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของ AI โดยมีจุดประสงค์คือทำให้ระบบนิเวศ (ecosystem) ของ AI มีความรับผิดชอบและเที่ยงตรงยุติธรรม
อย่างที่หลี่กล่าวไว้ในการให้ความเห็นต่อคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาด้านวิทยาศาสตร์ อวกาศ และเทคโนโลยี ในประเด็น “Artificial Intelligence-With Great Power Comes Great Responsibility” ว่า “AI ไม่ใช่ของเทียม ๆ ตามชื่อ มันสร้างขึ้นโดยคน ประพฤติตามคน และที่สำคัญที่สุดคือส่งผลกระทบต่อคนอย่างแน่นอน”
Andrew Ng นักพัฒนา AI ระดับแนวหน้า ผู้ก่อตั้ง Google Brain และยังเคยเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา AI ของ Baidu พูดในการบรรยายเสมอว่า “Artificial Intelligence is new electricity”
ขณะนี้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างทุ่มทุนในการวิจัยพัฒนา AI และขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจด้วย AI เพื่อ เป็น AI Company มีการประเมินว่า AI กำลังสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมนี้ปีละไม่ต่ำกว่า ๑.๕ ล้านล้านบาท ไม่นับสตาร์ตอัปอีกนับไม่ถ้วนที่แข่งกันพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI สร้างบริการใหม่ ๆ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
ในไม่ช้าอัลกอริทึมของ AI จะรุกคืบสู่สินค้าและบริการในทุกภาคอุตสาหกรรม และเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ยานยนต์ไร้คนขับที่ขับถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยด้วย AI จะช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน
ผลิตภัณฑ์ยาที่วิเคราะห์สูตรเคมีใหม่ด้วย AI จะช่วยลดเวลาการพัฒนายาที่ช่วยรักษาโรคให้มนุษย์ได้เร็วขึ้น บริการทางการแพทย์จะมีประสิทธิ-ภาพสูงขึ้นเมื่อ AI เข้ามาช่วยลดภาระของแพทย์และพยาบาลในงานเอกสารและการวิเคราะห์และรักษาโรคของคนไข้
วัสดุสังเคราะห์ต่าง ๆ จะมีคุณสมบัติพิเศษขึ้นจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตในโรงงานด้วย AI ช่วยยกระดับ คุณภาพชีวิตที่ดีให้มนุษย์และสิ่งแวดล้อม
เกษตรกรจะมีรายได้สูงขึ้นจากระบบ AI ที่ทำหน้าที่ช่วยดูแลการผลิตไปจนถึงการตลาด
ผู้สูงวัยและผู้พิการจะใช้ชีวิตในสังคมได้เช่นคนปรกติด้วยอุปกรณ์ฝัง AI ทำหน้าที่ทดแทนอวัยวะที่เสื่อมสภาพ หรือสูญเสียไป …
จากรายงานของสถาบัน McKinsy Global Institute ประเมินว่าภายใน ค.ศ. ๒๐๓๐ ระบบอัตโนมัติของ AI จะเข้าแทนที่งานที่มนุษย์ทำจำนวนมากถึง ๔๐๐-๘๐๐ ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่ก็ประเมินในทางกลับกันด้วยว่า AI จะ สร้างงานใหม่ ๆ ขึ้นมา ๕๕๕-๘๙๐ ล้านตำแหน่ง ขณะที่สหรัฐอเมริกาประเมินงานที่จะถูกแทนที่ไว้ ๑๖ ล้านตำแหน่งใน ค.ศ. ๒๐๓๐ อังกฤษประเมินไว้สูงถึง ๘๐ ล้านตำแหน่งใน ค.ศ. ๒๐๓๕ เป็นตัวเลขในอนาคตที่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นกำลังมาถึงแน่ และอาจเกิดการดิสรัปต์อาชีพต่าง ๆ เป็นระลอก ๆ ตามการพัฒนาของ AI ที่จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง
แนวคิดในการบรรเทาผลกระทบจากการปฏิวัติของ AI ต่อการงานอาชีพของมนุษย์มีการนำเสนอไว้บ้างแล้ว เช่น รัฐต้องจัด basic income เป็นรายได้พื้นฐานเพื่อการดำรงชีพแก่ประชาชน พร้อมกับการสร้างสังคมเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะระบบการศึกษาที่ปั๊มมนุษย์ออกมาทำอาชีพเดิมไป ๔๐ ปีจะล้มเหลวในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราเร่ง ทั้งหมดนี้จึงเกี่ยวข้องกับนโยบายทางการเมืองและการบริหารจัดการของประเทศต่าง ๆ ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับประเทศที่ล้าหลังทางเทคโนโลยี และบริษัทใหญ่ ๆ ที่ครอบครอง big data บวกทรัพยากรในการวิจัยพัฒนาที่จะยิ่งเติบโตก้าวกระโดดกว่าบริษัทเล็ก ๆ ที่พัฒนาได้เชื่องช้า
แม้ AI ที่ใช้งานปัจจุบันจะยังถูกนิยามว่าเป็น ANI - artificial narrow intelligence หรือ weak AI เป็นปัญญาเทียมที่ทำงานอัตโนมัติจำเพาะอย่างและ ยังไม่เข้าใจความหมายใด ๆ ในตัวเลข ข้อความที่ได้ยิน และภาพที่มองเห็น
แต่เป้าหมายที่นักวิจัยพัฒนา AI ฝันจะไปให้ถึง คือ AGI - artificial general intelligence หรือ strong AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เข้าใจเหตุผลและความหมาย มีความคิด ความรู้สึก และสติปัญญาแบบเดียวกับมนุษย์…และอาจมีความรัก
อนาคตที่ AI จะก่อร่างขึ้นเมื่อถึงกึ่งศตวรรษที่ ๒๑ จะมีหน้าตาเป็นเช่นไร อาจเกินจินตนาการของมนุษย์ ค.ศ. นี้
ยิ่งเมื่อเทคโนโลยีชีวภาพก้าวหน้าจนจับมือกับ AI สำเร็จ อัลกอริทึมจะรู้จักตัวตนของมนุษย์ ทั้งร่างกาย ความคิดและจิตใจ มากกว่าที่มนุษย์รู้จักตัวเอง
ยูวัลจินตนาการว่า ในที่สุด Homo sapiens จะอัปเกรดสปีชีส์ตัวเองด้วยเทคโนโลยีชีวภาพผสานกับ AI จน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตาย และวิวัฒน์เป็น Homo deus ซึ่งแปลว่า Human God-พระเจ้ามนุษย์ … แต่ Jürgen Schmidhuber (ชื่อของเขาอ่านว่า ยูอะเกน ชมิดอูเบอร์) ผู้มี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นไอดอล และ ตั้งเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่เด็กว่าจะสร้างสิ่งที่มีสติปัญญาสูงกว่าตัวเขาเองและไอนสไตน์ มองเห็นว่าในอนาคต AI จะพัฒนาถึงจุดที่เป็น true AI ซึ่งมีสติปัญญาสูงส่งกว่ามนุษย์ และจะเริ่มเดินหน้าสร้างเส้นทางประวัติศาสตร์ของ AI เอง
เขาตั้งชื่อจุดเปลี่ยนทางประวัติ-ศาสตร์นี้ว่า OMEGA เลียนเสียงคำว่า “Oh My God”
แล้วมนุษย์จะเป็นอย่างไร จะถูกหุ่นยนต์ AI ล้างเผ่าพันธุ์แบบ The Terminator หรือเป็นทาสแบบ The Matrix ไหม
“ไม่ต้องห่วงหรอก ศัตรูสำคัญของสปีชีส์ไหนก็คือพวกเดียวกันเองเสียมากกว่า AI ที่มีสติปัญญาสูงส่งก็เหมือนกับ นักวิทยาศาสตร์ที่ชอบสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับกำเนิดของชีวิตและอารยธรรม
TED Fei Fei Li : How we teach computers to understand pictures Juergen Schmidhuber : True Artificial Intelligence will change everything Rana el Kaliouby : This app knows how you feel - from the look on your face Yuval Noah Harari : Why humans run the world หนังสือ โฮโมดีอุส ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้ เขียนโดย ยูวัล โนอาห์ แฮรารี แปลโดย ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ และ ธิดา จงนิรามัยสถิต