เรื่องธรรมดา
น่าสนใจด้วยวิธีการเล่า
สนทนาสารคดี
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง 
ในงานเรื่องแต่ง (fiction) กลวิธีการเล่าถือเป็นเนื้อตัวของชิ้นงานก็ว่าได้  ส่วนในงานสารคดี (feature) ก็สำคัญในขั้นที่เป็นเสมือนแขนข้างหนึ่ง

สารคดีที่สมบูรณ์ต้องสมดุลระหว่าง “ข้อมูล” และ “กลวิธีการนำเสนอ”


เมื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลได้ครบถ้วนเต็มอิ่ม
ก็มาสังเคราะห์ ประมวลความ ออกแบบวิธีการเล่า ถ่ายทอดออกมาเป็นงานเขียนสารคดี

กลวิธีการเล่าเรื่องในงานเขียนสารคดี
มีสี่ลำดับขั้นให้ฝึกทำเหมือนการไต่ขั้นบันได

มือใหม่อาจเพียงแต่ เขียนแบบบันทึก อย่างไม่กดดัน ลองเขียนออกมาเหมือนพูด เหมือนเขียนบันทึกประจำวัน เพียงแต่เป็นบันทึกที่มีหัวข้อ แทนที่จะเล่าไปเรื่อยแบบบันทึกส่วนตัว

หากเขียนแบบบันทึกได้คล่องแคล่วลื่นไหลแล้วลอง ลงลึกในประเด็น วางโครงเรื่องออกเป็นประเด็นหลัก ประเด็นย่อย ที่ประกอบกันอยู่ในเรื่องที่จะเล่า แล้วเขียนไล่เรียงไปทีละประเด็น  

วิธีนี้มีข้อดีอย่างแรกคือช่วยให้เนื้อเรื่องยาวขึ้นได้แบบรัดกุม ไม่ฟุ้งออกนอกเรื่อง

อีกทั้งช่วยให้เกาะกุมอยู่กับประเด็นได้ง่ายทั้งคนเขียนและคนอ่าน  คนเขียนเล่าเรื่องไปทีละประเด็น คนอ่านก็ติดตามรู้เรื่องเป็นประเด็น ๆ ไป

ขั้นต่อมาเป็นการ เลือกเฟ้นวิธีการนำเสนอ เป็นเทคนิคกลวิธีการเล่าเรื่อง ที่ต่อเนื่องมาจากการ “ลงลึกในประเด็น” สมมุติว่าหากจัดเรียงประเด็นแยกย่อยได้ ๑๐ ประเด็น หรือ ๑๐ เหตุการณ์ ไล่เรียงตามเส้นเวลา (timeline) ได้ ๑-๑๐  ในการเขียนเล่าไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับเวลาหรือลำดับเหตุการณ์ อาจยกเหตุการณ์ที่ ๙ หรือ ๑๐ มา “เปิดเรื่อง” ก่อนก็ได้ หากนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เร้าใจเรียกร้องความสนใจคนตามอ่านได้  เช่นเดียวกับตอนจบที่เราอาจขยักเหตุการณ์หนึ่งใดเอาไว้ “ปิดเรื่อง” ก็ได้ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเหตุการณ์ที่ ๑๐ ตามลำดับของไทม์ไลน์เสมอไป  ส่วนที่เหลืออีกหลากหลายประเด็นที่จะเป็น “ตัวเรื่อง” ก็ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับช่วงเวลาเช่นกัน หรือจะเรียงตามเวลาก็ได้ ตามแต่กลวิธีนำเสนอที่ผู้เขียนจะเลือกเฟ้นนำมาใช้

เป็นที่รู้กันว่าสารคดียุคใหม่นั้นไม่ใช่สักแต่นำเสนอข้อมูลไปแบบดาด ๆ หากสามารถออกแบบสร้างสรรค์กลวิธีได้อย่างไม่จำกัดและอย่างไม่แตกต่างจากเรื่องแต่ง เรื่องสั้น นิยาย หรือแม้แต่เทคนิคการเล่าเรื่องแบบหนัง

รูปแบบ-วิธีการนำเสนอในงานสารคดีสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างไม่จำกัด ไม่ซ้ำเดิม และไม่มีที่สิ้นสุด

เพื่อนำไปสู่ปลายทางในขั้นที่ ๔ คือ เจอเส้นทางของตัวเอง หรือที่เรียกว่า เป็นนักเขียนที่มีลายมือของตัวเอง คือมีสไตล์เฉพาะตน มีเอกลักษณ์ ผู้อ่านเห็นงานแล้วจำได้

...

และโดยวิธีการเล่านั้นแลที่จะทำให้เรื่องธรรมดา ๆ น่าสนใจขึ้นได้
อย่างเรื่องมีอยู่ว่า 
มีคนตกน้ำที่ท่าเรือ คนยืนมุงกันอยู่เต็ม แต่ยังไม่มีใครลงไปช่วย จนครู่หนึ่งจึงมีคนผลักใครคนหนึ่งลงไป  เขาตกลงไปแล้วก็ช่วยคนตกน้ำขึ้นมาด้วย  คนที่ไม่รู้ก็พากันชื่นชมว่าเขาช่างมีจิตอาสา

ถือเป็นเรื่องที่มีประเด็น ควรแก่การนำมาเล่า แต่แบบที่เล่ามาถือว่ายังราบเรียบมาก ทั้งยังเป็นการเล่าตามลำดับเวลาแบบตรงไปตรงมาอย่างจดหมายเหตุ

แต่หากเป็นงานสารคดีที่จะให้น่าอ่านอย่างสมค่างานวรรณศิลป์ เราควรใส่ใจต่อวิธีการเล่าด้วย และโดยไม่ลืมรายละเอียดด้านข้อมูล

อย่างแรกนักสารคดีควรสืบ (เก็บข้อมูล) รายละเอียดให้รู้ว่า เป็นท่าเรือแห่งไหน ? เหตุเกิดเวลาไหน ? 

สิ่งนี้จะกลายเป็นฉากที่สมจริงและได้บรรยากาศเมื่อนำมาเล่าในงานเขียน...

ที่ท่าพระจันทร์ เวลาเช้า ขณะที่ผู้คนกำลังเบียดเสียดรอเรือข้ามฟาก

ตูม !

เมื่อหันไปตามเสียงก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังผุดโผล่อยู่ริมโป๊ะรอเรือ จากกิริยาอาการดูออกว่าเขาว่ายน้ำไม่เป็น

คนบนฝั่งหันรีหันขวาง มองหน้ากันไปมาเหมือนหารือหรือเกี่ยงกันอยู่ในทีว่าใครจะลงไปช่วย แต่ยังไม่มีใครยอมเป็นผู้เสียสละ เพราะอย่างน้อยก็เปียก เปื้อน รวมทั้งเสี่ยงด้วย

การเล่าแบบหลังนี้เราจะเห็นว่ามีทั้งฉากสถานที่ที่ชัดเจน เวลา เสียง ภาพ (ตามที่ผู้เขียนบรรยาย) รวมทั้งทัศนะของผู้เขียน (ที่ใส่มาแบบเนียน ๆ ว่าที่ใครไม่ลงไปช่วยคงเพราะกลัวเปียกและเสี่ยงอันตราย)

ตูม !

น้ำแตกกระจายใกล้จุดแรกอีกครั้ง ใครคนหนึ่งตามลงไปช่วยคนเคราะห์ร้าย เขาทำได้ พาคนตกน้ำขึ้นฝั่งสำเร็จ

พลเมืองดีที่มุงดูกันอยู่เต็มท่าเรือพากันปรบมือชื่นชมที่เขามีจิตอาสา

แต่เมื่อเดินผละพ้นฝูงชนออกมาแล้ว เขาถ่มน้ำลายแล้วสบถอย่างหัวเสีย “แมร่ง ตะกี้ใครมันผลักกูลงไปวะ”

เคล็ดลับสำคัญจุดหนึ่งในการ “ปิดเรื่อง” นี้คือการซ่อน ขยักหักมุมจุดที่เป็นใจความสำคัญของเรื่องเอาไว้จุดระเบิดในตอนจบ

...

สารคดีนั้นสร้างเรื่องไม่ได้ แต่สามารถประกอบสร้างขึ้นได้จากการที่ผู้เขียนรู้จักหยิบข้อเท็จจริงมาใช้เป็น

นัยหนึ่งสารคดีมีหลักที่ต้องยึดกุมอยู่กับข้อเท็จจริง และมีขนบของการบอกเล่าและให้รายละเอียดข้อมูลที่ต่างไปจากเรื่องแต่ง  ขณะที่อีกนัยหนึ่งก็ไม่มีกฎแห่งสารคดีข้อใดเลย ที่บังคับบงการว่าสารคดีจักต้องบอกเล่าข้อมูลข้อเท็จจริงไปแบบทื่อ ๆ ตรง ๆ เพียงเท่านั้น  ในแง่ศิลปะการนำเสนอ ผู้เขียนจะออกแบบสร้างสรรค์ให้ซับซ้อน ยอกย้อน ซ้อนเรื่อง หรือแม้กระทั่งการจบแบบ “หักมุม” ก็สามารถทำได้อย่างไม่แตกต่างจาก
เรื่องสั้น

เคยเจอเรื่องทำนองนี้จากงานเขียนสารคดีเรื่อง “ครอบครัวรถเมล์ โลกใบเล็กของเด็กชายวัน” ของ ธีรนัย โสตถิปิณฑะ นักเขียนค่ายสารคดีรุ่นที่ ๖  เขาเห็นเด็กวัยอนุบาลคนหนึ่งที่ผู้ปกครองพามาเลี้ยงดูบนรถเมล์ก็สนใจ เขานั่งรถเมล์สายนั้นบ่อย ๆ อู่เลี้ยงเด็กกั้นเป็นคอกอยู่ข้างคนขับ ตอนรถว่าง ๆ ผู้โดยสารไม่หนาแน่นเด็กชายก็ออกมาเที่ยวเดินเล่นอยู่ในรถ เวลากลุ่มเด็กช่างกลขึ้นรถมาแบบพร้อมรบเจ้าหนูก็มีเสียวบ้าง ฯลฯ เป็นภาพละครชีวิตจริงที่ผู้เขียนตามเก็บมาเรื่อย ๆ

นักเขียนหนุ่มเอะใจอยู่บ้างที่คู่ผัวเมีย-คนขับและกระเป๋ารถเมล์ ดูสูงอายุพ้นวัยเป็นพ่อแม่อยู่สักหน่อย แต่ฝ่ายหญิงบอกเขาว่าเจ้าหนูเป็นลูกหลง

ต่อมาเขาขอตามครอบครัวรถเมล์ไปถึงบ้านช่องที่หลับนอน ได้ร่วมวงกินข้าวไข่เจียวฝีมือเธอ ได้ดูอัลบั้มรูปถ่ายของบ้านนี้  เขาเห็นตัวละครเพิ่มขึ้นมา เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น แม่เด็กบอกว่านั่นเป็นลูกชายคนโตของเธอ อายุห่างเจ้าหนูคนเล็กเกือบ ๒๐ ปี

ลงเก็บข้อมูลซ้ำ ๆ จนสนิทคุ้นเคย แหล่งข้อมูลวางใจและเข้าใจจุดหมายของการนำข้อมูลไปใช้  ตอนหลัง ๆ เหมือนเธอมีอะไรจะบอกอีก แต่ก็ยั้งไว้แค่นั้น
ผู้เขียนนำข้อมูลที่เก็บเกี่ยวจนเต็มอิ่มมาเขียนเป็นงานสารคดีและนำกลับไปให้เธอตรวจทาน

ในตอนนั้นเองที่เธอได้ให้ข้อมูลใหม่ที่ผู้เขียนคาดไม่ถึง

“สารคดีนี่ต้องเป็นเรื่องจริงใช่ไหม” เธอเป็นฝ่ายสัมภาษณ์นักเขียนบ้าง

“ใช่ครับ”

“พี่มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ได้บอกน้อง ความจริงน้องวันไม่ได้เป็นลูกของพี่หรอก เป็นลูกของลูกชายพี่ พ่อแม่เด็กยังอยู่ในวัยเรียนทั้งคู่ เราเลยรับเป็นพ่อแม่แทน”

ความหวั่นใจและเห็นใจว่านักเขียนหนุ่มจะเขียนเรื่องที่ไม่จริงออกไป ทำให้นางยอมเผยเรื่องเก็บงำของครอบครัว

นักเขียนรีบนำเรื่องนี้มาปรึกษาผมในฐานะครูค่ายฯ ว่าเขาจะต้องรื้อโครงเรื่องใหม่หมดหรือไม่ เขาเริ่มใจเสียเพราะตอนนั้นจวนถึงวันส่งต้นฉบับเต็มทีแล้ว

แต่ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังตระหนกว่าเป็นวิกฤตนั้นคือวัตถุดิบชั้นเยี่ยมที่จะหยิบมาแปรเป็นสารคดีหักมุมได้โดยไม่ต้องแต่งเติมเลย

เพียงแต่เล่าไปตามที่เขาเขียนมาแต่ต้น และใช้ข้อความสุดท้ายที่แหล่งข้อมูลเพิ่งเปิดเผยกับเขานั่นแลในการปิดเรื่อง

สารคดี “ครอบครัวรถเมล์ โลกใบเล็กของเด็กชายวัน” ประสบความสำเร็จตามสมควรได้รับรางวัลในค่ายฯ และภายหลังผ่านการตีพิมพ์ในนิตยสาร สารคดี รายการสารคดีของสถานีโทรทัศน์ NHK มาถ่ายทำเรื่องครอบครัวรถเมล์ไปเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น

นี่ไงที่เป็นบทพิสูจน์ว่า สารคดีส่งผลสะเทือน
ได้ไม่ต่างจากเรื่องแต่ง หากผู้เขียนทำได้ถึง !