เมดินาแห่งเฟส (Fes) อดีตเมืองหลวงเก่าของโมร็อกโกได้ชื่อว่ามีตรอกซอกซอยเยอะที่สุดในโลกตามผังเมืองโบราณจะต้องมีมัสยิดให้ทั่วถึง สังเกตได้จากหออะซานที่กระจายโดดเด่นเหนือบ้านเรือน เพื่อส่งสัญญาณเมื่อถึงเวลาละหมาด
The Medina of
Morocco
scoop
เรื่องและภาพ : กิตติธัช โพธิวิจิตร
โ ม ร็ อ ก โ ก อยู่สุดชายขอบด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา พื้นที่ทอดยาวตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติกไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ห่างจากทวีปยุโรปเพียง ๕ กิโลเมตรตรงช่องแคบยิบรอลตาร์ ทำให้โมร็อกโกเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาตั้งแต่อดีตที่คึกคักด้วยผู้คนต่างถิ่น สั่งสมความหลากหลายในศิลปวัฒนธรรม จนทำให้โมร็อกโกดูจะก้าวกระโดดและมีพัฒนาการไกลกว่าประเทศอื่นๆ ในทวีปเดียวกัน
เสียงขับอะซานแว่วดังในห้วงแสงโพล้เพล้ยามอาทิตย์ตก บอกว่านี่คงเป็นสัญญาณเรียกละหมาดครั้งที่ ๔ ของวัน
ต้นทางของเสียงมาจาก เมดินา (Medina) - คำเรียกสำหรับเขตเมืองอาหรับเก่าที่ล้อมรอบด้วยกำแพงป้อม ภายในหนาแน่นด้วยชุมชน ตลาด สุเหร่า โรงเรียน และสถานที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ จนแทบไม่มีพื้นที่ว่าง
ด้วยพื้นที่ในเมดินาเก่ามีกฎหมายคุ้มครองไม่อนุญาตให้ทุบกำแพงขยายพื้นที่ การสร้างเมืองใหม่หรือเมดินาใหม่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้ดูเหมือนจะมาลดทอนความเป็นเมืองเก่าลงบ้าง แต่ด้วยความแข็งแรงในรสนิยม เมดินาใหม่ก็ได้รับการพัฒนาด้วยแนวทางศิลปกรรมที่คล้ายคลึงกัน ดังเช่นเมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) และเมืองเอสเซาอิรา (Essaouira) ที่ยังคงเน้นการทาสีฟ้าและน้ำเงินเป็นสีเดียวกันทั้งเมือง ทั้งหน้าต่าง บานประตู ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหม่ที่ขยายตัวหรือเมืองเก่าที่ต้องปรับซ่อมบำรุงก็ตาม หรือเมืองเททวน (Tetouan) และเมืองแทนเจียร์ (Tangier) ที่มีข้อตกลงว่าอาคารต้องมีสีขาวและของตกแต่งต้องมีสีเขียว
ไม่แปลกใจเลยหากเดินเข้าไปในตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ในเมดินาแล้วจะสัมผัสได้ถึงสังคมที่ผ่านการตกลงเพื่อแสดงตัวตนอันชัดเจน และรู้ทันทีว่าเมืองนี้ให้ความสำคัญกับศิลปะมากเพียงใด
ช่างอู่ซ่อมเรือเริ่มงานในช่วงเช้าของวันที่ท่าเรือของเมืองเอสเซาอิรา (Essaouira) เมืองท่าประมงสำคัญของโมร็อกโก
เมืองน้ำเงินเชฟชาอูน (Chefchaouen) เมดินาเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขารีฟล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองและป้อม ชาวเมืองเชื่อว่าสีน้ำเงินคือสัญลักษณ์ของเทพเจ้า อีกทั้งเป็นสีของท้องฟ้า น้ำทะเล และความสมดุลกึ่งกลางระหว่างขาวกับดำ
บรรยากาศตลาดปลายามเช้าที่เมืองเอสเซาอิรา
ฝูงนกนางนวลทะเลบินว่อนหาปลาที่ตกอยู่
ตามพื้นถนน
ชายชรานั่งตากแดด
คลายความหนาว
อยู่บนกำแพงเมือง
ที่มองเห็นเบื้องหลังคือ
ป้อมปราการของเมือง
แมวส้มกับผนังสีฟ้า
ของเมืองเชฟชาอูน
แมวจรมีมากมายในเมดินา
ประตูหน้าต่าง
มิเตอร์วัดน้ำ-ไฟและช่องลม
ของเมืองสีน้ำเงิน
เอสเซาอิราและเชฟชาอูน
Maroc Style
“อย่าแปลกใจเลยหากภายในบ้านของชาวมาร็อกจะแตกต่างกับภายนอกบ้านราวฟ้ากับเหว”
Maroc style ขับเน้นและใส่ใจทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถันทั้งการประดับตกแต่งกระเบื้องสีชิ้นเล็ก ๆ ลายรูปทรงเรขาคณิตหรือลายโค้งอ่อนช้อย แต่ด้วยสภาพอากาศที่แห้งแล้งภายนอกของริยาด (riad - ชื่อเรียกที่พักอาศัยของชาวโมร็อกโก) จึงมักเป็นสีตุ่น ๆ
ศิลปะอิสลามของโมร็อกโกนิยมแสดงความอลังการและน่าทึ่งของช่างผู้ออกแบบที่รังสรรค์ ตัวโครงสร้างอาคารยังออกแบบโดยคำนึงถึงการไหลของลม การตกกระทบของแสง หรือการวางน้ำพุเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นภายในบ้าน
Maroc style จึงเป็นที่นิยมอย่างมากของโรงแรมและคฤหาสน์หรูทั่วโลก
ลานกลางบ้านเป็นที่รวบรวมความอลังการอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงานหัวเสาไม้แกะสลัก โคมไฟฉลุลวดลายวิจิตร หรืองานตกแต่งกระเบื้องละเอียดยิบ
เพดานทองประดับกระจกสีและกระเบื้องตกแต่งลายรูปทรงเรขาคณิตในสุสานฝังพระศพของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ ๕ ของชาวโมร็อกโก
ประตูแห่งเม็กเนส (Meknes) ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดของโลกด้วยความยิ่งใหญ่และการออกแบบ นับเป็นผลงานชิ้นเอกของยุคสมัย
ประตูสีฟ้ากับกระเบื้องพื้นสีน้ำเงิน-เหลืองสะท้อนความสามารถของช่างในการจับคู่สี
กระเบื้องห้องน้ำที่มีลวดลายและสีคุมโทนฟ้าเมืองเอสเซาอิรา
ลวดลายประณีตและละเอียดยิบของประตูไม้บุโลหะสีทองหน้าพระราชวังเฟส
งานปูนปั้นและประดับกระเบื้องประตู เมืองเม็กเนส
งานไม้แกะสลักและงานปูนปั้นพิมพ์ลาย เมืองเม็กเนส
โมร็อกโกเป็นประเทศที่ติดกับขอบตะวันตกของทะเลทรายสะฮารา (Sahara) ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ราว ๙ ล้านตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ เนินทรายมหึมา (เทียบขนาดกับคนที่ยืนบนยอดเนิน) แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริเวณที่เรียกว่า Erg Chebbi ซึ่งเป็นทะเลทรายที่สวยและทรงเสน่ห์ที่สุดในโมร็อกโก