ANSi by Sarakadee
Home
Articles
Issues
Log in
เปลี่ยน “อาวุธ”
เป็น “งานศิลป์”
กอนซาลู มาบุนดา
(Gonçalo Mabunda)
โลกใบใหญ่
เรื่อง : สุเจน กรรพฤทธิ์
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
กอนซาลู มาบุนดา เกิดเมื่อ
ค.ศ. ๑๙๗๕ - ปีเดียวกับ
ที่โมซัมบิกบ้านเกิดของเขา
ได้รับเอกราชจากโปรตุเกสที่ยึดครอง
ดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖
ไม่กี่ปีให้หลังโมซัมบิกมีสภาพไม่ต่างจากอดีตอาณานิคมอีกมากมายในยุคสงครามเย็น คือกลับกลายเป็นเวทีประลองกำลังระหว่างสองขั้วอุดมการณ์ได้แก่คอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย
แนวร่วมปลดปล่อยโมซัมบิก (Mozambique Liberation Front - FRELIMO)
ขบวนการฝ่ายซ้ายที่เคลื่อนไหวผลักดันจนโมซัมบิกได้รับเอกราช ปกครองประเทศ
แบบเผด็จการด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว พร้อมกับปราบปรามฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง จึงเกิดขบวนการต่อต้าน
(Mozambican National Resistance -
RENAMO) ที่จับอาวุธขึ้นต่อสู้ นำไปสู่
สงครามกลางเมืองที่กินเวลาถึง ๑๕ ปี
ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๗๗-๑๙๙๒ ความขัดแย้งยุติลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพโดยมีกองกำลังขององค์การสหประชาชาติเข้าไปรักษาความสงบ จากนั้นโมซัมบิก
ก็ใช้ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย
มาจนถึงปัจจุบัน
ในห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เด็กชาย
กอนซาลูเติบโตขึ้นในกรุงมาปูโต (Mapu
to) นครหลวงของประเทศ
“ผมจับอาวุธครั้งแรกตอน ๗ ขวบ
ลุงลองเอาปืนมาให้ถือแล้วถามว่าอยากเป็นทหารไหม ความรู้สึกของผมคือมันหนักมาก แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรเพราะ
เป็นช่วงสงครามกลางเมือง ทหารเดินเพ่นพ่านอยู่ตลอดเวลา อาวุธคือเรื่องปรกติ ผมไปเยี่ยมญาติต่างเมืองไม่ได้ หรือถ้าจะไปก็ต้องมีทหารคอยคุ้มกัน
คนรู้จักของที่บ้านหลายคนก็เสียชีวิต
ไปในสงครามกลางเมือง” กอนซาลู
เท้าความระหว่างทำงานในเวิร์กช็อปชั่วคราว ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้เขาใช้เป็นสถานที่ผลิตงานศิลปะในฐานะศิลปินรับเชิญ เพื่อจัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) โดยความ
ร่วมมือของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำโมซัมบิก
กอนซาลู (ขวาสุด) กับผู้ช่วยสองคนที่มาทำงานในเมืองไทย
นิทรรศการของกอนซาลูในกรุงเทพฯ ใช้ชื่อว่า “ทำลายเขตแดนวัฒนธรรม : ปลดกับดักความคิด” (Culture breaking barriers : demining min[e]ds) จัดแสดงระหว่างวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ถึงกลางเดือนธันวาคม ๒๕๖๑
ผลงานของเขาก็คือการนำเศษซากอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นลูกระเบิด จรวด หรือกระสุน มาสร้างชิ้นงานศิลปะที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น หุ่นยนต์ บัลลังก์ประธานาธิบดี หรือทำเป็นหน้าคน
แรงขับดันสำคัญของการผลิตงานแนวนี้ย่อมมาจากประสบการณ์วัยเด็กของศิลปิน
“ใน ค.ศ. ๑๙๙๗ เมื่อสถานการณ์สงบแล้วมีการเก็บรวบรวมอาวุธที่อยู่ในมือ
พลเรือนมาทำลาย องค์กรศาสนาคริสต์ของโมซัมบิกจึงเกิดแนวคิดว่าน่าจะนำอาวุธเหล่านี้ไปทำงานสร้างสรรค์ได้เลยรวบรวมศิลปิน ๑๐ คน ให้นำเศษซากอาวุธพวกนี้มาทำงานศิลปะ ก่อนหน้านี้ใน ค.ศ. ๑๙๙๔ ผมเคยเรียนรู้การทำงานศิลปะแนวนี้จาก อันเดรส โบทา (Andries
Botha) ศิลปินแอฟริกาใต้ที่ให้ผมไปเป็นผู้ช่วยอยู่ ๓ เดือน ผมจึงพอมีพื้นฐาน
การทำงานวัสดุประเภทเหล็ก”
กอนซาลูอธิบายแนวคิดของเขาว่าเป็นการ “เปลี่ยนวัตถุอันตรายให้กลายเป็น
มิตรเพื่อสื่อสารเรื่องสันติภาพ” เขาเชื่อว่าลูกกระสุนทุกนัดที่เขานำมาทำงานศิลปะ อาจหมายถึงชีวิตของคนคนหนึ่งที่ลูกปืนนั้นพรากไป
“ผมอยู่กับสงครามกลางเมืองมานาน เวลาเอาอาวุธพวกนี้มาทำงานศิลปะผมจะรู้สึกดีมาก เพราะขึ้นชื่อว่าอาวุธเราจะกลัวมัน แต่นี่เราเปลี่ยนมันมาเป็นของ
ที่ปลอดภัย” เขาย้ำ
ผลงานของกอนซาลูได้รับการจัดแสดงทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เป็นที่ชื่นชมของผู้นำระดับโลกจำนวนมาก เช่น บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ใน ค.ศ. ๒๐๑๘ เขาตอบรับคำเชิญจากสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุง
มาปูโต ให้มาจัดแสดงงานศิลปะในไทยโดยใช้ “วัสดุ” จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ของไทยซึ่งทำ
หน้าที่เก็บกู้กับระเบิดตามแนวชายแดน
กอนซาลูนำผู้ช่วยมาด้วยอีกสองคนก่อนลงมือสร้างงานนับสิบชิ้นเพื่อจัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เจ้าตัวเล่าว่า “ผมใช้เวลาแค่ ๘ วัน เป็นเรื่องท้าทายมากเพราะต้องสร้างงานหลายชิ้นภายในเวลาจำกัด”
งานที่จัดแสดงที่หอศิลป์ทุกชิ้นมีลักษณะเฉพาะคือทำมาจากเศษซากอาวุธ บ้างก็เป็นวิทยุสื่อสาร แบตเตอรี่ที่ผ่าครึ่งทำเป็นรูปหน้าคน ลูกปืนถูกเชื่อมเข้ากับเหล็กจนกลายเป็นเก้าอี้ผู้นำ ฯลฯ
“อย่างกรณีของเก้าอี้ ผมนึกไปถึงประธานาธิบดีที่เข้าสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังอาวุธ ไม่ผ่านการเลือกตั้ง... จริง ๆ ชิ้นงานจะเล่าเรื่องของตัวมันเอง เราใส่ความคิดลงไปก็จะสื่อสารได้กับคนทุกชาติทุกภาษา เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน ผมชอบที่หลายคนพยายามไปมองชิ้นงานใกล้ ๆ ก่อนจะอุทานว่า ว้าว ! นี่มันอาวุธนี่นา”
บางชิ้นเขาก็ทำงานร่วมกับนิสิตคณะครุศาสตร์ “ผมสร้างโครงขึ้นมาแล้วปล่อยให้เด็ก ๆ ทำไปตามใจ ซึ่งก็ออกมาเป็น ‘บังตา’ เขามองเรื่องการเติบโต ซึ่งก็สนุกดีครับ”
กอนซาลูยืนยันกับเราว่าศิลปินอย่างเขาทำงานเชื่อมร้อยกับสังคมรอบตัวตลอดเวลา
“คุณจะสื่อสารกับสังคมได้ถ้าคุณ
เล่าเรื่องราวของเขา ศิลปินไม่สามารถตัดขาดตัวเองออกจากสังคมได้ ยิ่งในโลกยุคปัจจุบัน น่าอายมากที่ศิลปินบางคนหันไปสนับสนุนเผด็จการ ผมจะไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น เพราะนั่นคือเรื่องของอำนาจ เขาให้เงินคุณ
แล้วคุณก็จะไม่เป็นตัวของตัวเอง ผม
เชื่อว่าปัญหาใหญ่ของโลกยุคนี้คือการแสวงอำนาจและเงินตรา โลกมันซับซ้อนครับ แทนที่จะสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล เขากลับสร้างระเบิด
“แต่ที่มันซับซ้อนก็คือมีคนได้ประโยชน์จากการสร้างของแบบนั้นขึ้นมา...”