กำแพงประตูหน้า กั้นทางเชื่อมระหว่างแหลมหิน หลังกำแพงที่ล้อมด้วยทะเลกับแผ่นดินชายฝั่ง เหลือทางเข้าออกทางเดียว
อารามนักบุญแห่ง
Tynemouth
สุสานโบราณและม้านั่ง
ของความคิดถึง
Foto Essay
เรื่องและภาพ : สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
“บ้านของเรากักตัวบนผาหินที่ล้อมรอบด้วยทะเลสามด้าน ยกเว้นก็เพียงด้านเดียว ซึ่งเป็นทางเข้าอารามผ่านช่องประตูแคบ ๆ ที่เจาะผ่านกำแพงหิน ซึ่งขนาดเกวียนสักเล่มยังผ่านยาก ทั้งวันและคืนคลื่นซัดหน้าผาคำรามก้อง หมอกทะเลหนาแผ่คลุมทุกสิ่งให้ตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ผลที่ตามมาคืออาการตาพร่า เสียงแหบแห้ง และระคายคอ...
“มีเรือแตกบ่อย ๆ เป็นความสลดที่เห็นลูกเรือตัวแข็งทื่อซึ่งไม่มีอำนาจใดบนโลกนี้ช่วยชีวิตเขาได้ ลำเรือและเสากระโดงโยกคลอนก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ที่นี่ไม่มีนกไนติงเกลและนกพิราบ มีเพียงนกสีเทาที่ทำรังบนหน้าผาและรอกินเหยื่อจมน้ำอย่างตะกละตะกลาม เครื่องสังเวยที่พายุต้องการก็คือเสียงกรีดร้องโหยหวนของพวกเขา...
“พี่น้องที่รัก อย่าได้มาสถานที่อันข้นแค้นนี้ แต่โบสถ์แห่งนี้คือความงามอันอัศจรรย์ ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ไม่นาน ภายในโบสถ์ ร่างของออสไวน์(Oswine) มรณสักขีผู้น่ายกย่อง สถิตในศาลสีเงิน ประดับตบแต่งด้วยทองและเพชรมลังเมลือง เขาช่วยฆาตกร โจร และกบฏ จากบทลงโทษสาหัสให้เป็นการเนรเทศ เขารักษาผู้คนที่หมอไม่อาจเยียวยา การปกป้องของมรณสักขีและความงามของโบสถ์โอบอุ้มเราไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน”
นี่คือส่วนหนึ่งจากบันทึกของพระดื้อแพ่งที่ถูกคริสต์ศาสนจักรลงโทษด้วยการส่งตัวมาอยู่ที่อาราม Tynemouth ไม่ปรากฏวันเวลาบันทึกแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงหลังคริสต์ทศวรรษ ๑๓๔๐ เนื่องจากเป็นปีที่โบสถ์ใหม่สร้างเสร็จแล้ว
อาณาบริเวณโบสถ์ฝั่งตะวันออก ร่องรอยฐานที่ยืนของคณะนักร้อง ผนังสูงเกือบ ๑๐ ชั้นเทียบกับอาคารปัจจุบัน เจาะเป็นหน้าต่างและช่องทางเดิน ครั้งหนึ่งเคยจุดไฟส่องสว่างเป็นแสงนำทางให้เรือใกล้ฝั่ง