ก้าว(อ)ย่างเกาะยอ
SONGKHLA CONTEMPORARY
สมัยใหม่ในเมืองเก่า
เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
“เกาะยอ” เป็น “ชุมชนเดียว” กลางทะเลสาบอาณาเขต ๑,๐๔๐ ตารางกิโลเมตร
ที่นั่นไม่เหมือนใคร เพราะทะเลสาบทั่วไปไม่มีทางไหลออกทะเล แต่ “ทะเลสาบสงขลา” (ครอบคลุมจังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช และพัทลุง) มีปากน้ำออกสู่ “อ่าวไทย” ทำให้เป็นพื้นที่ “สามน้ำ” (จืด กร่อย เค็ม) และเป็น “ทะเลสาบน้ำเค็มแห่งเดียวในไทย”
เวลาผ่าน เกาะยอยกฐานะสู่ตำบลในอำเภอเมืองสงขลา คนนอกพาวิถีเจริญข้ามทะเล คนรุ่นใหม่ปรับปรุงบ้านเป็นที่พัก ร้านอาหาร คนรุ่นใหญ่ให้ค่าการอนุรักษ์เรือนโบราณที่แสนจะเปี่ยมตัวตน ทำเกษตรเชิงท่องเที่ยว ศูนย์เรียนรู้ทอผ้า เพาะเลี้ยงปลากะพง ทุกอย่างล้วนต่อยอดจากทรัพย์ (ในดิน) สิน (ในน้ำ)
ชวนรู้จักจักรวาล ๑๕ ตารางกิโลเมตร กลางทะเลสามน้ำ ผ่าน คำขวัญตำบล*
* ยึดตามการใช้งานขององค์การบริหารส่วนตำบลเกาะยอ ปี ๒๕๖๖
ไม่ง่ายที่จะพบ “ปลาท่องเที่ยว” ผู้อาศัยโคลนตมทะเลสาบสงขลาเป็นเซฟเฮาส์ อย่างมากก็ปีละครั้งและมีเวลาสัปดาห์เดียวยามน้ำเค็มกลายเป็นน้ำกร่อย
ภาพ : www.wikiwand.com
สมเด็จเจ้าเป็นศรี
ชาวเมืองสงขลารู้ทันทีว่าหมายถึง “สมเด็จเจ้าเกาะยอ”
ผู้มีชาติกำเนิดที่ตำบลบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ ถึงวัยอุปสมบทได้จำพรรษาที่วัดต้นปาบ ถิ่นบ้านเกิด ครั้งหนึ่งธุดงค์ไปเมืองสทิงพระ สนทนาธรรมชอบพอกับ “สมเด็จเจ้าพะโคะ” (หลวงปู่ทวด) จึงร่วมธุดงค์ไปพบ “สมเด็จเจ้าเกาะใหญ่” ที่อำเภอกระแสสินธุ์ (ทั้งสามเมืองอยู่ในสงขลา) แล้วร่วมธุดงค์ข้ามจังหวัดหลายปี
ที่สุดสมเด็จเจ้าพะโคะแยกไปวัดช้างให้ (ปัตตานี) สมเด็จเจ้าเกาะใหญ่กลับวัดเดิม สมเด็จเจ้าเกาะยอจึงธุดงค์สู่สงขลา ลงเรือข้ามฝั่งมาปักกลดบนเกาะยอ ก่อนไปเยี่ยมบุพการีที่บ้านเกิดแล้วคืนเกาะยออีกครั้ง ปักกลดบนเขาลูกใหญ่
คืนหนึ่งนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จลงยอดเขาขอให้จำพรรษา ชาวเกาะราว ๕๐๐ ชีวิตจึงสร้างกุฏิถวายและเรียกเขาลูกนี้ว่า “เขากุุฏิ” รับกับหลักฐาน “แผนที่ภาพกัลปนาวัดพะโคะ” มีเขาลูกหนึ่งตรงปลายแผนที่ระบุ “เข้าก้อะญอ” (เขาเกาะยอ) คล้องกับ “แผนที่เมืองสงขลา” ที่เมอซีิเยอ เดอ ลามาร์ (Monsieur de Lamare) วิศวกรชาวฝรั่งเศสเขียนปี ๒๒๓๐ แสดงการตั้งถิ่นฐานชุมชนบนเกาะยอแล้ว
ทุกวันนี้ “สำนักสงฆ์เขากุฏิ” ยังเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์บรรจุอัฐิสมเด็จเจ้าเกาะยอ พอขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ (ก่อนวันวิสาขบูชา) ชาวบ้านจะมี “ประเพณีขึ้นเขากุฏิ” แห่ผ้าที่ช่วยกันทอขึ้นไปห่มองค์เจดีย์
การสมโภชปีละครั้งคงน้อยไป สิบห้าปีมานี้จึงเพิ่มพิธีสรงน้ำ “สามสมเด็จเจ้าแห่งลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” (สมเด็จเจ้าเกาะยอ สมเด็จเจ้าเกาะใหญ่ และสมเด็จเจ้าพะโคะ) ใน “วันว่าง” ช่วงตรุษสงกรานต์
“แต่คนภาคใต้ตอนกลางกับตอนล่างไม่มีสงกรานต์ที่หมายถึงการ ‘เคลื่อนย้าย’ ดวงดาวจากราศีมีนสู่เมษคนใต้ให้ความสำคัญกับ ‘ตรงกลาง’ ที่เป็น ‘ความว่าง’ เชื่อว่ามนุษย์มีเทวดาประจำราศี เมืองก็มีเทวดาผลัดเปลี่ยนมาอารักษ์ ฉะนั้นเมื่อราศีหนึ่งกำลังเคลื่อนไปขณะที่อีกราศียังมาไม่ถึงภาวะรอยต่อตรงนั้นจึงว่างจากผู้ดูแล เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุร้ายยามไร้ผู้คุ้มครอง จึงกำหนดให้ผู้คนว่างจากงาน งดเดินทางไกล งดออกทะเล แล้วทำบุญให้จิตว่างจากกิเลส บางคนจึงเรียกทำบุญเดือนห้า”